“เช่นนั้นไม่ทราบว่าท่านอาพอใจกับความคิดของข้าหรือไม่” หลินสวินถาม

หลินต้าหงยิ้มเจื่อน ครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้นว่า “ข้าไม่แน่ใจ แต่ถ้าบอกว่าไม่พอใจ นั่นคงเป็นคำพูดที่ขัดต่อใจแน่นอน”

หลินสวินเอ่ยคล้ายครุ่นคิด “แล้วท่านอาคิดว่าอย่างไร”

หลินต้าหงเอ่ยตามตรง “ไม่ติดใจอันใด การกระทำก่อนหน้านี้ของเจ้าได้ผ่านด่านข้าแล้ว กับบางเรื่องข้าจะไม่ปิดบังเจ้าอีกต่อไป”

เขาหยุดไปครู่ ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าตึงเครียด “ตอนนี้คนส่วนใหญ่ในตระกูลหลินแห่งแสงอุดรต่อต้านการสืบทอดอำนาจตระกูลหลินของเจ้า คิดว่าเจ้าคงรู้เหตุผลดี เจ้ายังเด็กและขาดประสบการณ์ ยากจะได้รับการยอมรับจากทุกคน”

หลินสวินพยักหน้า “ข้าเข้าใจ”

สีหน้าของหลินต้าหงทวีความอ่อนโยนขึ้นไม่น้อย ก่อนพูดต่อ “แต่สุดท้ายเป็นผู้อาวุโสเป่ยกวงของเจ้าออกหน้า เพื่อให้โอกาสเจ้าสักครั้ง!”

ผู้อาวุโสเป่ยกวง!

คำเรียกนี้หมายถึงผู้อาวุโสของตระกูลหลินแห่งแสงอุดร…หลินเป่ยกวง เป็นน้องชายคนที่ห้าของหลินเฟยถิงท่านปู่ของหลินสวิน และอาห้าของหลินเหวินจิ้งบิดาของหลินสวิน

สำหรับตระกูลหลินแห่งแสงอุดรตอนนี้ แม้หลินเป่ยกวงจะปลีกวิเวกและยกอำนาจให้หลินไหวหย่วน แต่หากเขาออกหน้า ย่อมไม่มีใครกล้าต่อต้าน!

เรื่องทั้งหมดเหนือความคาดหมายของหลินสวิน ไม่คิดว่าท่านปู่ห้าผู้ไม่เคยเห็นหน้าค่าตาจะหยิบยื่นโอกาสให้ตนเอง

นี่ทำให้เขารู้ว่าท่ามกลางสายรองทั้งสี่ของตระกูลหลิน ก็ไม่ใช่ทุกคนที่ปฏิเสธการครอบครองภูเขาชำระจิตและสืบทอดอำนาจของเขา!

เหมือนกับท่าทีที่ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรเผยออกมา ควรค่าที่ตนต้องให้ความสำคัญและไขว่คว้ามา

“โอกาสอันใดหรือขอรับ” หลินสวินเอ่ยอย่างแปลกใจ

หลินต้าหงสูดหายใจเข้าก่อนพูดว่า “ง่ายมาก หนึ่งเดือนหลังจากนี้ ให้เจ้าไปประลองกับหลินเสวี่ยเฟิง ญาติผู้พี่ของเจ้า ที่ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรด้วยตัวเอง”

“หากชนะ ผู้อาวุโสเป่ยกวงจะมาพบเจ้าด้วยตัวเอง”

“หากแพ้…”

พูดถึงตรงนี้ หลินเต้าหงเริ่มลังเล

หลินสวินหรี่ตาพูดพร้อมรอยยิ้ม “หากแพ้ ข้าก็จะไม่ได้รับการยอมรับจากตระกูลหลินแห่งแสงอุดรใช่หรือไม่”

หลินต้าหงพยักหน้าพร้อมยิ้มขื่น “นี่คือทางออกที่ดีที่สุดเท่าที่ผู้อาวุโสเป่ยกวงสามารถทำได้ แม้ท่านจะมีฐานะอำนาจสูง หากก็จำต้องคำนึงถึงผู้คนในวงศ์ตระกูล”

เด็กหนุ่มครุ่นคิดก่อนจะพูดว่า “แม้ข้าต่อต้านการทดสอบเช่นนี้ และเดิมทีก็ไม่คิดว่าคุณสมบัติในการสืบทอดภูเขาชำระจิตของข้าจำเป็นต้องได้รับการยอมรับจากคนอื่น แต่ในเมื่อเป็นการจัดการของท่านปู่ห้า หากข้าปฏิเสธ ก็เห็นจะไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีเกินไป”

“เช่นนั้นเจ้ารับปากแล้วกระมัง” หลินต้าหงตื่นเต้น

หลินสวินพยักหน้า “ข้าไม่เคยคิดจะเป็นศัตรูกับคนในตระกูลรอง หากเรื่องนี้สามารถแก้ไขปมขัดแย้งของทุกฝ่ายได้ ข้าก็ยินดียิ่งนัก”

พูดถึงตรงนี้ หลินสวินพลันพูดว่า “หลินเสวี่ยเฟิงผู้นี้เป็นใครหรือขอรับ”

ครั้นได้ยินดังนั้น หลินต้าหงจึงแนะนำหลินเสวี่ยเฟิงรอบหนึ่ง

หลินเสวี่ยเฟิงผู้นี้ก็คือลูกชายของหลินไหวหย่วน หัวหน้าตระกูลหลินแห่งแสงอุดรคนปัจจุบัน ตามลำดับอาวุโสนับว่าเป็นญาติผู้พี่ของหลินสวิน

คนผู้นี้อายุเพิ่งจะสิบแปด มีพรสวรรค์ เฉลียวฉลาดไหวพริบเป็นเลิศ เมื่อเข้าถึงขั้นผสานใจแห่งระดับจิตผสานวิญญาณตอนอายุสิบหก เขาได้กลั่นเกลาและหล่อหลอม ‘ภูผาธาราหมอกพิรุณ’ บ่อพลังวิญญาณชั้นสูงออกมา สร้างความฮือฮาไปทั่วทั้งตระกูลหลินแห่งแสงอุดร ได้รับการยกย่องให้เป็นผู้ถูกเลือกที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาหนุ่มสาวของวงศ์ตระกูล!

และยามนี้หลินเสวี่ยเฟิงอยู่ในขั้นผสานฟ้าแล้ว ความสามารถยิ่งลึกล้ำยากคาดเดา

‘อายุสิบหก ได้ครอบครองบ่อพลังวิญญาณชั้นสูงแล้ว พออายุสิบแปดพลังปราณก็ไต่ถึงขั้นผสานฟ้า…ดูท่าทาง ความสามารถของหลินเสวี่ยเฟิงผู้นี้น่าทึ่งอย่างแท้จริง ถึงขั้นที่ไม่ด้อยไปกว่าพวกศิษย์ที่สำเร็จวิชาจากค่ายกระหายเลือดเลย…’ หลินสวินใคร่ครวญ

ก่อนหน้านี้เขาก็คิดแล้วว่า ในเมื่อตระกูลหลินแห่งแสงอุดรหยิบยื่น ‘โอกาส’ แบบนี้ให้เขา ย่อมไม่มีทางยอมให้เขาผ่านไปได้ง่ายๆ

ทว่าเขาไม่เคยคิดว่าอีกฝ่ายจะส่งยอดฝีมือเยาว์วัยอย่างหลินเสวี่ยเฟิงออกมา

สำหรับหลินสวินแล้ว นี่กลับยิ่งทำให้เขาโล่งใจ เพราะในระดับจิตผสานวิญญาณนี้ เขาไม่กลัวใครทั้งนั้น!

แต่หลินต้าหงกลับพูดต่อ “ข้าว่าเจ้าอย่าประมาทไป ช่วงที่ผ่านมาเสวี่ยเฟิงปลีกตัวฝึกวิชาสู่ระดับมหาสมุทรวิญญาณตลอด คาดว่าอีกไม่เกินเจ็ดวันคงเข้าสู่ขั้นต้นได้ ถึงตอนนั้น…”

แววตาของหลินสวินฉายความเคร่งขรึมทันที

ที่แท้ ‘ไม้ตาย’ ของอีกฝ่ายก็คือสิ่งนี้!

ให้คนหนุ่มชั้นยอดที่เพิ่งทะลวงเข้าระดับมหาสมุทรวิญญาณมาสู้กับเขา นี่มันออกจะรังแกกันไปหน่อยแล้ว

ระหว่างระดับมหาสมุทรวิญญาณกับขั้นผสานดินในระดับจิตผสานวิญญาณ ไม่ได้ห่างกันเพียงสองขั้นตามชื่อเรียกเท่านั้น แต่ห่างกันระดับใหญ่ๆ เลยเชียว!

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณมีฝีมือระดับสูงในการเคลื่อนไหวกลางอากาศ เรียกวายุหยุดพิรุณ ไม่เพียงสามารถแผ่พลังทำร้ายคนกลางอากาศ ยังสามารถใช้พลังจากฟ้าดินได้!

ส่วนผู้ฝึกปราณระดับจิตผสานวิญญาณขั้นผสานดิน ก็แพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มแล้ว!

เห็นหลินสวินเงียบไป หลินต้าหงก็หัวใจกระตุกวูบ ก่อนพูดอย่างลำบากใจ “การประลองครั้งนี้แม้จะลำบาก แต่ผู้อาวุโสเป่ยกวงกล่าวว่า การจะสืบทอดอำนาจของวงศ์ตระกูลมีหรือจะเป็นเรื่องง่ายดาย แต่ว่านี่หาใช่การกลั่นแกล้งเจ้า ขอเพียงเจ้ายืนหยัดได้มากกว่าร้อยกระบวนท่า ก็ถือว่าผ่านแล้ว”

หลินสวินรับคำในลำคอ ทำให้ไม่สามารถรู้ได้ว่าเขาคิดอะไรอยู่กันแน่ พาให้หลินต้าหงยิ่งรู้สึกประหม่า

แม้แต่หลินต้าหงเองยังรับรู้ได้ถึงความยากของการประลองในแต่ละครั้ง แต่ก็จนปัญญา ด้วยนี่ถือเป็นความต้องการของตระกูลหลินแห่งแสงอุดร

แต่หลินสวินกลับพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ “ข้าพอจะเข้าใจ แต่ว่าท้ายที่สุดนี้ยังมีข้อสงสัยข้อหนึ่ง”

หลินต้าหงแอบโล่งอก รีบพูดขึ้น “เจ้าว่ามา”

หลินสวินเอ่ย “เหตุใดต้องรอหนึ่งเดือนกว่าจะเริ่มประลอง?”

หลินต้าหงอธิบายอย่างใจเย็น “อีกยี่สิบวัน เสวี่ยเฟิงก็จะเข้าร่วมการทดสอบระดับอาณาจักร จึงต้องล่าช้าไปหนึ่งเดือน”

การทดสอบระดับอาณาจักร!

หลินสวินตกใจ เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าช่วงนี้ยุ่งกับการแก้ไขปัญหาต่างๆ จนลืมไปว่าอีกเพียงยี่สิบวันก็จะเริ่มการทดสอบระดับอาณาจักรแล้ว…

จวบจนกระทั่งหลินต้าหงกลับไป หลินสวินจึงนั่งคิดเรื่องเกี่ยวกับการทดสอบระดับอาณาจักรเพียงลำพัง

ความจริงแล้ว ตามแผนเดิมตอนที่เขาออกจากเมืองหมอกอำพราง หลังจากเข้าสู่นครต้องห้ามแล้ว เขาจะเข้าร่วมการทดสอบระดับอาณาจักร

ทว่าจนกระทั่งเข้านครต้องห้าม เขาถึงพบว่า ไม่ว่าจะวางแผนมารัดกุมเพียงใด ก็ไม่สู้การเปลี่ยนแปลง นับตั้งแต่เหยียบเข้ามาในภูเขาชำระจิต ปัญหาที่เข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อนทำให้เขาแทบไม่มีเวลาไปฝึกหรือพักผ่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องความใส่ใจในการทดสอบระดับอาณาจักรนี้เลย

ไม่นานหลินจงก็กลับมา ทำให้หลินสวินหลุดจากห้วงความคิด

“ลุงจง มีเรื่องหนึ่งที่ข้าอยากให้ท่านช่วย” หลินสวินพูด

“ขอรับนายน้อย” หลินจงตอบรับ

หลินสวินหยิบกระดาษพู่กันขึ้นมาเขียนตัวหนังสือลงเต็มแผ่น แล้วยื่นให้หลินจงพลางพูดว่า “เอานี่ไปให้สืออวี่ คุณชายสามแห่งอัครการค้า บอกว่าไม่ว่าจะวิธีใดก็ต้องเผยแพร่เนื้อหาให้สะพัด”

หลินจงรับกระดาษแผ่นนั้นมา สายตากวาดมองผ่านโดยไม่ตั้งใจ แต่กลับต้องอึ้งงันจนตัวแข็งค้าง

เนื้อหาในกระดาษไม่ได้เป็นความลับสะท้านโลกอะไร เป็นเพียงประวัติโดยคร่าวของหลินสวิน

ที่สะดึดตาที่สุดคือบรรทัดที่ว่า ‘ในนามผู้ฝึกปราณระดับจิตผสานวิญญาณขั้นผสานใจ ผู้คว้าชัยอันดับหนึ่งในการทดสอบระดับมณฑล มณฑลซีหนาน’

นี่ไม่ใช่ความลับในมณฑลซีหนาน แต่สำหรับหลินจงกลับราวกับฟ้าผ่าที่สั่นสะเทือนจิตใจเขา

เขาเพิ่งจะรู้ ว่านายน้อยท่านนี้เคยได้มีผลงานอันทรงเกียรติขนาดนี้!

อันดับหนึ่งในการทดสอบระดับมณฑลเชียวนะ!

ท่ามกลางสามสิบสี่มณฑลในจักรวรรดิ มีผู้ได้ที่หนึ่งในการทดสอบระดับมณฑลเพียงสามสิบสี่คน แล้วนายน้อยของเขาก็คือหนึ่งในนั้น!

ที่น่าทึ่งที่สุดคือ ตอนนั้นนายน้อยยังเป็นเพียงผู้ฝึกปราณระดับจิตผสานวิญญาณขั้นผสานใจ…

พออ่านต่อไป ความตะลึงในใจของหลินจงพลันถูกความแปลกใจเข้ามาแทนที่ เพราะเห็นข้อความบรรยายสถานการณ์ของหลินสวินในตอนนี้

เมื่อเห็นประโยคที่ว่า ‘ภาระรัดตัว จำต้องสละสิทธิ์การทดสอบระดับอาณาจักร’ หลินจงก็ตัวสั่นเทา สีหน้าเผยความร้อนรน

เขาอดถามไม่ได้ “นายน้อย ท่าน…ไม่คิดจะเข้าร่วมการทดสอบระดับอาณาจักรจริงๆ หรือ”

หลินสวินพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ตอนนี้ข้ากำลังตกที่นั่งลำบาก จะมีกะจิตกะใจและเวลาที่ไหนไปสนใจเรื่องพรรค์นั้น ไม่เข้าร่วมก็ไม่เห็นจะเป็นไร”

หลินจงดูไม่จำยอม “นายน้อย นี่มันการทดสอบระดับอาณาจักรเชียวนะ! ท่าน…ลองไตร่ตรองดูอีกทีดีหรือไม่”

เด็กหนุ่มยังคงยืนยันคำเดิม “ลุงจง ปีนี้ข้าเพิ่งสิบห้า พลาดการทดสอบระดับอาณาจักรเพียงครั้งเดียวจะเป็นไรไป รอให้จัดการเรื่องภูเขาชำระจิตให้อยู่ตัวก่อนค่อยเข้าร่วมก็ยังไม่สาย”

สีหน้าของหลินจงเผยความผิดหวังอย่างบอกไม่ถูก เหมือนจะพูดอะไรต่อแต่ก็เงียบไป สุดท้ายเพียงถอนหายใจครั้งหนึ่งก่อนจะหมุนตัวออกไป

ครั้นมองหลินจงจนลับสายตาไป หลินสวินเองก็อดถอนหายใจไม่ได้ มีหรือที่เขาจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบระดับอาณาจักร?

ทว่าความจริงโหดร้ายเกินไป จนเขาจำต้องถอนตัว!

“จูเหล่าซาน ครั้งนี้ขอบคุณท่านมาก จบเรื่องแล้ว ท่านกลับไปพักเถอะ” จู่ๆ หลินสวินก็พูดขึ้น ในขณะที่สายตากวาดมองไปยังชายหนุ่มรูปร่างกำยำล่ำสันที่ยืนนิ่งเป็นรูปปั้นตั้งแต่ต้น

จูเหล่าซานพยักหน้าเงียบๆ ก่อนจะก้าวเท้ายาวเดินออกไป เพียงแต่ตอนที่เดินออกจากโถงเขากลับพูดขึ้นมาว่า “ฝืนไปหาใช่เรื่องดี ยอมจำนนบ้างก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสมอไป”

เสียงลุ่มลึกกึกก้องอยู่ในโถงอันโล่งกว้าง ส่วนจูเหล่าซานได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว

หลินสวินอึ้งงัน ก่อนจะเผยรอยยิ้ม จูเหล่าซานคนนี้ อันที่จริงก็ไม่ได้เป็นคนนิ่งขรึมทึ่มทื่อขนาดนั้น

เขาบิดขี้เกียจจนสุดตัว ก่อนหมุนตัวเดินขึ้นห้องฝึกชั้นสามของตำหนักไป

วันๆ เพียงแค่จัดการปัญหาต่างๆ ก็เสียเวลาและพลังของเขาไปมาก หลินสวินจำต้องใช้ทุกเวลาที่มีกับการฝึก

ยิ่งไปกว่านั้น คู่ประลองที่เขาต้องเผชิญในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า เป็นถึงผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมการทดสอบระดับอาณาจักร ทั้งยังได้รับการยกย่องให้เป็นผู้ถูกเลือกที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาหนุ่มสาวของตระกูลหลินแห่งแสงอุดร

ที่สำคัญที่สุดคือ ถึงตอนนั้นพลังปราณของคนคนนั้นคงอยู่ในระดับมหาสมุทรวิญญาณแล้ว!

ด้วยเหตุนี้ หลินสวินจะประมาทไม่ได้เด็ดขาด

หลังจากถอนรากโสมหิมะหยกเข้าปากไปหนึ่งเส้น หลินสวินก็สงบจิตใจเริ่มนั่งสมาธิ

ไม่นานทั่วร่างของเขาก็มีหมอกสีขาวเข้ามาปกคลุม ราวกับภาพลวงตาอันรางเลือน

ขณะเดียวกัน ณ ตระกูลหลินแห่งธารประจิม

บรรยากาศภายในโถงประชุมใหญ่ของตระกูลกลับตึงเครียดอย่างถึงที่สุด แม้แต่ผู้คุ้มกันทั้งสองที่เฝ้าอยู่หน้าโถงยังรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง อกสั่นขวัญแขวน

ผู้ดูแลต่างสกุลทั้งสาม เซียวเฟิ่งหรู สือจั่น และฉางจื่อเหิงที่ถูกทำลายพลังปราณต่างล้มทรุดอยู่บนพื้น สีหน้าดูย่ำแย่ ตัวสั่นเทา