ภายในประตูเมือง ศีรษะของอาชานรกถูกกระบองเงินของราชาวานรเนตรทองฟาดจนแตกละเอียด
เนื้อตัวของราชาวานรเนตรทองมีแผลไฟไหม้เล็กน้อย อ่อนกำลังลงไม่น้อย
แต่หลังมันสังหารอาชานรกแล้ว ยังคงยืนหยัดเฝ้าช่องโหว่ตรงประตูเมืองกับทหารมนุษย์
เหนือกำแพงเมือง พญาอินทรีอัคคีอินทนิลถูกกงจักรแสงจันทร์ของซูเฉี่ยนอวิ๋นฟันจนร่วงหล่นลงมา
เสียดายที่หลังอินทรีอัคคีอินทนิลตาย ร่างกายของมันก็เริ่มลุกไหม้ มิเช่นนั้นนางจะเข้าไปตรวจสอบดูว่ามีขุมพลังสัตว์หลงเหลือหรือไม่
เจ้าเมืองเจิ้งเชียนชิวที่อยู่บนกำแพงเมืองก็เป็นผู้แข็งแกร่งระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นปลายเช่นกัน
เขากับเซวียนหยวนเฉิง ซูเฉี่ยนอวิ๋นและลู่จ้านเฝ้ากำแพงเมืองในตำแหน่งที่ต่างกันออกไป รับมือกับการบุกรุกของสัตว์ประหลาดบนอากาศ คอยอารักขาจอมขมังเวทย์ที่ร่ายมนตร์บนกำแพงสุดความสามารถ
สัตว์ประหลาดบนพื้นตายไปมากกว่าครึ่งภายใต้การโจมตีอย่างไม่หยุดยั้งของจอมขมังเวทย์และนักเรียนห้องหนึ่ง กองกำลังถูกทำลาย หมดสิ้นความทรงพลังในยามแรกเริ่มของกองทัพสัตว์ไปแล้ว
แนวโน้มเริ่มมั่นคงขึ้นเรื่อยๆ ลำดับต่อไปเป็นช่วงเวลาแห่งการเก็บกวาดสัตว์ประหลาดที่หลงเหลือแล้ว
ในสมรภูมิรบ อันหลินชำแหละท้องของหมียักษ์แล้วค้นหาทุกซอกทุกมุม สุดท้ายก็เจอขุมพลังสัตว์สีขาวที่แผ่ไอเย็นในช่องท้อง
“หึๆ คราวนี้รวบรวมขุมพลังสัตว์ได้สามเม็ดแล้ว…” อันหลินหัวเราะอย่างเริงร่า
ขุมพลังสัตว์สามเม็ดครบแล้ว ต่อไปก็ได้เวลาเรียกมังกรเทพแล้ว
เขานำสัตว์ภูตสองตัวที่กลายเป็นรูปสลักน้ำแข็งออกจากแหวนมิติ
ในเมื่อได้ขุมพลังสัตว์ครบแล้ว ซากศพนี่ก็ไม่มีประโยชน์แล้ว
สิ่งที่เขาไม่สังเกตคือ บางส่วนบนร่างกายสัตว์ภูตเหล่านี้ค่อยๆ หม่นหมองลง ดุจดวงดาวที่สูญสลาย
ทันใดนั้นก็มีเสียงแผดร้องของช้างดังมาจากม่านหมอกขาวโพลน
เสาอัคคีพุ่งขึ้นฟ้า คลื่นพลังสะเทือนม่านหมอกจนสลายตัว
สวีเสี่ยวหลานเหงื่อโซมกาย ปาดเม็ดเหงื่อบนหน้าผากขาวผ่องแล้วเดินตรงไปหาอันหลิน
ร่างของช้างที่อยู่ข้างหลังนางถูกย่างจนกรอบนอกนุ่มใน ล้มลงพื้นโดยพลัน
“ทำอะไรน่ะ ดีใจขนาดนั้นเชียวหรือ”
สวีเสี่ยวหลานเห็นอันหลินคุกเข่ากับพื้นอย่างเบิกบานใจ ในมือถือเม็ดหลากสีสามเม็ด จึงอดถามไม่ได้
อันหลินตื่นจากภวังค์ เก็บขุมพลังสัตว์ใส่แหวนมิติ พูดอย่างมีเลศนัยว่า “ความลับ! รอศึกนี้จบแล้วค่อยบอกเจ้า”
สวีเสี่ยวหลานเดาะลิ้น ไม่ค่อยพอใจกับท่าทางลับๆ ล่อๆ ของอันหลิน
นางส่ายหน้าเล็กน้อย มือหิ้วกระบี่เดินไปสังหารสัตว์ประหลาดรอบตัวต่อ
ไม่นานแมลงสาบยักษ์สีดำตัวหนึ่งก็กระโดดเข้าใส่อันหลิน
สองแขนดุจเคียวของมันโบกไปมา บีบคั้นให้อันหลินต้องเข้าร่วมสมรภูมิรบอีกครั้ง
ในบริเวณหนึ่งซึ่งห่างจากสนามรบสามลี้ เซียนกระบี่หลิงเซียวปลิดชีพชายที่สวมชุดเกราะสีดำ เนื้อตัวปกคลุมไปด้วยเกล็ด
พสุธาทุกหัวระแหงถูกทำลายให้ราบเป็นหน้ากลอง ทิ้งไว้เพียงรอยแยกที่ตัดสลับกันไปมา
ชายที่สวมชุดเกราะสีดำคนนี้ เป็นคนที่ขว้างหอกดำทะมึนคนนั้นนั่นเอง มีพลังยุทธ์ระดับแปลงจิตขั้นกลาง
เซียนกระบี่หลิงเซียวสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของสัตว์ปราณจากตัวเขา เห็นได้ชัดว่าเป็นสัตว์ประหลาดเผ่าพันธุ์อื่น
ชั่วขณะที่ชายคนนี้ล้มลง ลำแสงเลือนรางเส้นหนึ่งบนตัวเขาค่อยๆ เลือนรางลงไป
“เอ๊ะ…นี่มันอะไรกันน่ะ”
เซียนกระบี่หลิงเซียวขมวดคิ้วน้อยๆ เมื่อลำแสงกระบี่กะพริบ ร่างของชายคนนี้ก็ถูกเขาชำแหละ
เขามองตำแหน่งที่แสงสลัวลง แต่กลับไม่พบอะไรเป็นพิเศษ
เซียนกระบี่หลิงเซียวกวาดสายตามองรอบกาย ภายในใจว้าวุ่นไม่สงบ ความคิดบางอย่างผุดวาบขึ้นมา
ช่างเถอะ กลับไปกวาดล้างสัตว์ประหลาดที่เหลือก่อนแล้วกัน
เขาขี่กระบี่ลอยขึ้นฟ้า เหาะไปยังสมรภูมิรบที่อยู่ไม่ไกลอีกครั้ง
เพราะมีเซียนกระบี่หลิงเซียวร่วมรบ การกวาดล้างสัตว์ประหลาดจึงรวดเร็วยิ่งขึ้น
ไม่นาน สัตว์ประหลาดในกองทัพสัตว์ก็ถูกสังหารจนเหี้ยน
อาทิตย์อัสดงบนท้องนภาแดงระเรื่อ พสุธานองเลือด กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ
ซากศพของสัตว์ประหลาดสองพันกว่าตัวกองเกลื่อนเต็มนอกเมือง รอบกายเงียบสงัด
นักเรียนหลายสิบคนอาบเลือด บาดเจ็บไม่น้อย โชคดีที่ไม่มีใครตาย
ต่อมา ทหารนับพันก็กรูกันออกจากประตูเมือง เพื่อกำจัดซากสัตว์ประหลาด
สัตว์ประหลาดบางตัวมีค่าทั้งตัว การจัดการซากศพเหล่านี้ เหล่าทหารย่อมคล่องมือดังใจคิด
ตกกลางคืน
เจิ้งเซียนชิวจัดงานเลี้ยงอีกครา ปูนบำเหน็จรางวัลแก่เหล่าขุนศึก รวมถึงพลทหารป้องกันเมืองทั้งหมด
ศึกต่อต้านกองทัพสัตว์ในครั้งนี้ ผลการรบอุดมสมบูรณ์อย่างยิ่ง แถมพลทหารก็ตายน้อย ล้วนเป็นเพราะการเข้าร่วมของนักเรียนยอดฝีมือกลุ่มใหญ่ พวกเขาเข่นฆ่าอย่างหาญกล้า ทำให้แรงกดดันของทหารเฝ้ายามลดลงเป็นอย่างมาก
เมื่อผ่านกองทัพสัตว์ครั้งนี้ไป จำนวนสัตว์ประหลาดก็ลดฮวบ เหล่าทหารเฝ้ายามสามารถผ่อนคลายได้อีกพักใหญ่เลย
เหล่าทหารจึงดื่มอย่างสบายอุรา แม้แต่เหล่านักเรียนห้องหนึ่งก็ฮึกเหิม พากันยกจอกขึ้นร่วมเฉลิมฉลอง
ศึกใหญ่ในครั้งนี้ สังหารสัตว์ประหลาดไปทั้งสิ้นสองพันสามร้อยกว่าตัว
แต่เมื่อรวมผล เซียนกระบี่หลิงเซียวนับแต้มสัตว์ประหลาดให้นักเรียนเพียงหนึ่งพันตัว
เพราะสัตว์ประหลาดบางส่วน เป็นฝีมือของเหล่าทหารเมืองติ้งอัน บางส่วนเขาเป็นคนสังหาร
ช่องว่างเหล่านี้จะปล่อยให้นักเรียนฉวยโอกาสไม่ได้ ฉะนั้นเขาจึงคำนวณจำนวนคร่าวๆ และเฉลี่ยจำนวนให้นักเรียนแต่ละคนเท่า ๆ กัน
แม้จะเป็นเช่นนี้ ทุกคนก็พึงพอใจเป็นอย่างมาก
สามารถทำแต้มเกินเป้าหมายได้มากขนาดนี้ในระยะเวลาหนึ่งชั่วยาม สำหรับพวกเขานับว่าเป็นผลลัพธ์ที่ไม่เลวแล้ว
ขณะที่ผู้คนในเมืองติ้งอันกำลังชื่นชมยินดี
ลึกเข้าไปในเขตหมื่นเขา ในตำหนักสีแดงฉานหลังหนึ่ง
ชายที่มีเขาสีทอง เนื้อตัวเป็นสีแดงคล้ำกำลังคุกเข่าด้วยความเคารพ
เขาเป็นเทพเจ้าแห่งสัตว์ของเขตหมื่นเขา เป็นผู้ดำรงอยู่อันสูงส่งของบรรดาสัตว์ประหลาด
เดิมทีตำหนักแห่งนี้เป็นวังของเขา แต่บัดนี้เขากลับทำได้เพียงอยู่ในท่วงท่านี้ ไม่กล้าล่วงเกินชายบนบัลลังก์เลยแม้แต่นิด
ชายที่สวมชุดดำ ใบหน้าประหลาดคนหนึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์
ดวงตาของเขามีดวงดารากะพริบระยิบระยับ สุดท้ายดวงดาวหลายดวงก็ค่อยๆ อับแสงลง
ชายคนนั้นหลับตาพริ้ม ปีกดำทมิฬที่พับอยู่ข้างหลังสั่นระริก
“ท่านเทพปีศาจอัคคี ภารกิจครั้งนี้นับว่าราบรื่น เพียงแต่ว่าทำให้เจ้าเสียขุนศึกที่รักไปหลายนาย…”
“เอาไปเถอะ ข้าให้เจ้าเป็นรางวัล”
เสียงอ่อนโยนนุ่มนวลดังขึ้น ชายชุดดำโยนเม็ดบัวสีดำเม็ดหนึ่งให้เทพแห่งสัตว์
เทพแห่งสัตว์รับเม็ดบัวสีดำไป ก้มหน้าพูดอย่างตื้นตันว่า “ขอบพระทัยราชาซิงเย่!”
ราชาซิงเย่พยักหน้า สองมือฉีกมิติแล้วก้าวเข้าไป
เมื่อเห็นราชาซิงเย่จากไปแล้ว มิติก็ค่อยๆ หดตัวแล้วหายไป เทพแห่งสัตว์ปีศาจอัคคีถอนหายใจ “บัดซบ ทำข้าตกใจเกือบตาย เจ้าคนชายก็ไม่ใช่หญิงก็ไม่เชิงคนนี้ช่างเอาใจยากเสียจริง”
ชิ้ง
มิติถูกฉีกอีกครั้ง
เทพแห่งสัตว์ปีศาจอัคคีเห็นดังนั้นก็สั่นไปทั้งตัว ความเย็นปกคลุมตั้งแต่หัวจรดเท้า
พับผ่าสิ เขาได้ยินงั้นหรือ!
ปลาหมอตายเพราะปากหรือ
อย่านะ จะตายแบบนี้ได้อย่างไร!
เทพแห่งสัตว์ปีศาจอัคคีทั้งตกใจและหวาดกลัว ไม่กล้าแสดงกิริยาอื่นใดเลย
“จริงสิ จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องต้องเตือนเจ้า ช่วงนี้เก็บตัวหน่อยจะดีที่สุด อย่าสร้างเรื่อง”
พูดจบมิติก็หดตัวอีกครั้ง
เทพแห่งสัตว์ปีศาจอัคคีขาเปลี้ยทรุดลงกับพื้น เหงื่อชุ่มโชก “บัดซบ ทำข้าตกใจเกือบตาย เจ้าคนชายก็ไม่ใช่…”
เมื่อพูดถึงตรงนี้เขาก็หยุดชะงักทันที
ไม่ได้ แม้ราชาซิงเย่จะไม่ได้ยิน แต่ก็ต้องสำรวมสักหน่อย
ในมิติลึกลับแห่งหนึ่ง ขุนศึกปีกทมิฬทั้งหกกำลังต้อนรับราชาของพวกเขา
“ยืนยันแล้วว่า กระบี่พิชิตมารอยู่ในมือนักพรตคนนั้นจริง”
“และมองจากภายนอกแล้ว พลังยุทธ์ของเขาเป็นกายแห่งมรรคขั้นสิบจริง…”
ราชาซิงเย่พูดเสียงเรียบ
เหล่าขุนศึกเงียบงัน รอให้ราชาซิงเย่พูดต่อ
“แต่ทว่า ยิ่งเป็นเช่นนี้ ก็ยิ่งทำให้รู้สึกกลัว!”
“นักพรตกายแห่งมรรคขั้นสิบธรรมดาๆ คนหนึ่ง เมื่อถูกสัตว์ภูตสี่ตัวโจมตี จุดจบคือต้องตายแน่นอน”
“แต่เขากลับได้รับชัยชนะจากสิ่งที่ดูเหมือนเป็นเรื่องบังเอิญ…”
“นักพรตคนนี้ต้องเป็นหมาป่าห่มหนังแกะแน่ๆ!”
ใบหน้าของราชาซิงเย่เคร่งขรึม วิเคราะห์ต่อว่า
“เพราะนักพรตคนนั้นเป็นบุคคลที่ทำให้ราชินีอ้านเย่ตายอย่างสิ้นเชิง โดยที่ไม่ทันใช้ค่ายกลสังหารพิฆาตดาวดาราด้วยซ้ำ”
“ข้าเสี่ยงชีวิต ใช้วิชาดวงดาวควบคุมสัตว์ภูตไปหยั่งเชิงเขา ไม่แน่ว่าอาจถูกเขาจับได้แล้ว ยอดฝีมือที่เชี่ยวชาญกฎแห่งกรรมอาจตามร่องรอยนั้นจนเจอตำแหน่งของข้าได้”
“ฉะนั้น…”
“ข้าตัดสินใจว่าจะกลับไปกบดานที่วังเคลื่อนที่ก่อน ยกเลิกภารกิจชั่วคราว!”
เหล่าขุนศึกก้มหัวอย่างพร้อมเพรียงกัน “ราชาทรงพระปรีชาสามารถ!”
การกลัวความตายของราชาซิงเย่เลื่องชื่อ เขากล้าขัดคำสั่งจักรพรรดิปีกทมิฬ ออกปฏิบัติการครั้งนี้ด้วยตัวเอง เหล่าขุนศึกไม่รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด
ใบหน้าประหลาดของราชาซิงเย่ฉายความกระหยิ่มใจ เห็นได้ชัดว่าพอใจกับการวิเคราะห์ของตัวเองเป็นอย่างมาก
เขาไม่อยากเจริญรอยตามราชินีอ้านเย่ ภารกิจสุดโต่งแบบนี้ใครอยากทำก็ทำไป
เขาขัดคำสั่งอย่างมากก็แค่ถูกลงทัณฑ์เท่านั้น ชีวิตต่างหากที่สำคัญที่สุด ครั้งนี้คุ้มค่าแล้ว!