บทที่ 107 ชุลมุน (3)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

ตกดึก แสงจันทร์กระจ่างใส

ในเสียงครืนๆ ประตูหินค่อยๆ อ้าออก ลู่เซิ่งก้าวออกมาจากด้านในห้องสงบใจ สีหน้าดูอิดโรย

ฝึกฝนติดต่อกันหลายชั่วยาม หนำซ้ำยังเพ่งสมาธิทั้งหมด ต่อให้ตอนนี้เขากระปรี้กระเปร่า ร่างกายแข็งแรง แต่ก็รับไม่ไหวอยู่บ้าง

ลู่เซิ่งเดินมาถึงในลานบ้าน พ่นลมหายใจยาวๆ จิตใจปลอดโปร่งเป็นพิเศษ

‘แช่น้ำแกงโอสถหลายครั้ง ดูดซับฤทธิ์ยากมากมาย ใกล้แล้วๆ ขาดอีกนิดเดียวก็จะถึงระดับเบื้องต้น’ สามารถเข้าสู่ระดับเบื้องต้นของวิชาด้ายทองอย่างแท้จริงได้ในเวลาอันสั้น ต่อให้เป็นลู่เซิ่งก็เหนือคาดหมายอยู่บ้าง

เดิมทีวิชาแข็งกร้าวประเภทนี้อย่างน้อยต้องใช้เวลาสิบวันครึ่งเดือนจึงค่อยฝึกฝนถึงระดับเบื้องต้นได้ แต่เป็นเพราะเขามีพื้นฐานวิชาแข็งกร้าว บวกกับน้ำแกงโอสถและขี้ผึ้งสุคนธ์ทองที่ล้ำค่า ความคืบหน้าเร็วขึ้นมากพอให้อภัยได้

‘พรุ่งนี้ปิดด่านอีกวัน คาดว่าจะเข้าสู่ระดับเบื้องต้นของวิชาด้ายทองที่แท้จริงได้ ขณะเดียวกันก็ใช้เครื่องมือปรับเปลี่ยนยกระดับมันจนสำเร็จ!’ ลู่เซิ่งตาเป็นประกายในท้องฟ้ายามราตรี

‘ข้าไม่เชื่อว่าจะสู้ความประหลาดลี้ลับไม่ได้! วิชาแข็งกร้าววิชาเดียวไม่พอก็ใช้สองวิชา! สองวิชาไม่พอก็สามวิชา! สะสมไปเรื่อยๆ อยากจะเห็นนักว่าความประหลาดลี้ลับของจริงนั่นร้ายกาจขนาดไหน!’

ลู่เซิ่งจิตใจลุกโชน เขาค้นพบความปรารถนาที่ซ่อนในส่วนลึกสุดของตนมานานแล้ว

นั่นคือความกระหายต่อการต่อสู้ ความมุ่งมาดปรารถนาต่อความรู้สึกตื่นเต้น

เทียบกับชีวิตน่าเบื่อไร้รสชาติแล้ว เขาชอบความสุขจากการต่อสู้ในห้วงคับขันเป็นตายมากกว่า

‘พรุ่งนี้หลังปิดด่าน ค่อยเริ่มรวบรวมของที่มีปราณหยิน ช่วงเวลาพิเศษก็มีการปฏิบัติพิเศษ ผู้ใดไม่กล้าให้ ฟันตายในดาบเดียว!’ ลู่เซิ่งม่านตาแดงอยู่บ้าง เลียรีมฝีปาก หมุนตัวเข้าไปในห้องสงบใจ เริ่มเข้าด่านไม่หลับไม่นอนอีกรอบ

เช้าตรู่ของอีกวัน

ในสถานศึกษาเขาบูรพา เฉินอวิ๋นซีสวมกระโปรงขาว เผยขาขาวผ่องต่ำกว่าเข่า ผิวที่กระชับสะท้อนแสงราวหยกขาวในแสงอาทิตย์

นางมัดผ้าสีดำสนิทไว้ที่เอว ผมยาวพัดพลิ้ว ต่างหูสีเงินรูปจันทร์เสี้ยวขยับไปมาระหว่างเส้นผมตลอดเวลา บวกกับใบหน้างดงาม ร่างท่อนบนที่อุดมสมบูรณ์ สร้างความเสียดายให้แก่นักศึกษาในสถานศึกษาจำนวนไม่น้อย

ถ้าหากขาสั้นหน่อย คงจะดีมาก

นี่เป็นเสียงในใจของคนส่วนใหญ่

เฉินอวิ๋นซีเดินเข้าประตูใหญ่ของสถานศึกษา มองห้องเรียนหลักที่พวกนักเรียนเข้าๆ ออกๆ จากนั้นมองโรงอาหารที่เป็นรูปพัด นั่นเป็นที่กินอาหาร

“ซีซี เหตุใดเจ้ามาแล้ว ไม่ใช่บอกว่า จะไปเป็นครูที่บ้านนอกหรอกหรือ” นักเรียนหญิงที่รู้จักกันคนหนึ่งเห็นเฉินอวิ๋นซีแต่ไกล พลันเข้ามาทักทายอย่างกระตือรือร้น

“เยี่ยนเอ๋อร์ ลู่เซิ่งมาหรือไม่” เฉินอวิ๋นซีคว้าแขนสหายสนิท ถามเบาๆ

“ลู่เซิ่งหรือ ไม่เห็น นับตั้งแต่สอบติดเมื่อครั้งก่อน ก็ไม่ได้ยินว่าเขามาสถานศึกษานานแล้ว เขาคือคนที่จะไปสอบระดับฝู่ ไหนเลยมีเวลามาเดินเล่นที่นี่ ทำไมหรือ เขาไม่ได้ติดต่อเจ้าใช่หรือไม่” เยี่ยนเอ๋อร์ประหลาดใจอยู่บ้าง

นางเป็นหนึ่งในคนที่เห็นว่าเฉินอวิ๋นซีกับลู่เซิ่งค่อยๆ ใกล้ชิดกัน ตั้งแต่ต้นจนจบลู่เซิ่งไม่ได้รุกหนักนัก ทั้งหมดเป็นเฉินอวิ๋นซีเข้าหาด้วยตัวเอง แต่ดูจากเปลือกนอก สองคนเข้ากันได้ดียิ่ง

ต่อให้เฉินอวิ๋นซีขายาวเกินไป ร่างกายบกพร่อง แต่นางมีชาติกำเนิดดี หากลู่เซิ่งตอบรับนางจริงๆ อนาคตจะต้องดีไม่น้อย

เมืองเลียบคีรีแห่งนี้ไม่ใช่เมืองเล็กๆ ทั่วไปเหมือนเมืองเก้าประสานบ้านเกิดของลู่เซิ่ง เขตปกครองของเมืองเลียบคีรีมีหลายสิบแห่ง ตระกูลร่ำรวยจากเมืองเล็กๆ ระดับนั้นไหนเลยเทียบได้ ที่นี่เป็นเมืองใหญ่ใจกลางที่เทียบเท่าเมืองหลวง

“เขาไม่เคยมาเลยหรือ” เฉินอวิ๋นซีตาละห้อย

“อือ ไม่เห็นเขามานานแล้วจริงๆ อาจกำลังอ่านหนังสืออย่างหนักเพื่อสอบเอาบรรดาศักดิ์อยู่ที่บ้านก็ได้” เยี่ยนเอ๋อร์ทาย เห็นสีหน้าสหายสนิท นางเชื่อมโยงถึงสภาพไม่ดีส่วนหนึ่งได้พอประมาณ

“ไม่อย่างนั้นเจ้าไปที่อื่นดู หรือไปหาซ่งเจิ้นกั๋วสหายสนิทของเขา”

“งั้นหรือ…” เฉินอวิ๋นซียิ้มฝาด มองดูเวลาอีกครั้ง สายแล้ว อีกเดี๋ยวคุณชายหวังผู้นั้นจะมา นางสมควรกลับแล้ว

“ช่างเถอะ ข้าก็แค่มาดูเท่านั้น”

“ไปกินของอร่อยที่หอดึงสุคนธ์ด้วยกันไหม” เยี่ยนเอ๋อร์มีนิสัยร่าเริง ชอบกินอาหาร

“ไม่ล่ะ ข้าต้องกลับแล้ว ที่บ้านยังมีงานอยู่” เฉินอวิ๋นซีฝืนยิ้ม

“งั้นหรือ…น่าเสียดายจริงๆ…อาหารที่ออกใหม่ของหอดึงสุคนธ์ไม่เลวเลย” เยี่ยนเอ๋อร์กล่าวอย่างเสียดาย

เฉินอวิ๋นซีบอกลาสหาย ในที่สุดก็ทนไม่ไหว ไปยังห้องเรียนที่ซ่งเจิ้นกั๋วเคยอยู่ ถามคนหลายคน ไม่เห็นพวกลู่เซิ่งโผล่มา คงจะไม่มาโรงเรียนอีกแล้วจริงๆ

ทางบ้านของลู่เซิ่ง นางเคยไปมาแล้ว ประตูบ้านปิดแน่นหนา เฉี่ยวเอ๋อร์สตรีรับใช้ก็ย้ายไปแล้ว ไม่ทราบไปไหน

ภายใต้ความจนปัญญา เฉินอวิ๋นซีได้แต่พกพาความเสียดาย สุดท้ายได้แต่นั่งรถม้ากลับบ้าน

“ยินดีต้อนรับคุณชายหวัง พวกเรารู้สึกเป็นเกียรติจริงๆ” เฉินเต้าเจ่านั่งในโถงหลักกับหวังซุ่นหย่ง หญิงรับใช้ส่งสุราชั้นดีอาหารโอชะมาอย่างต่อเนื่อง

“ผู้เฒ่าเฉินเร็วหน่อยเถอะ ของประหลาดที่ท่านเล่าก่อนหน้านี้ข้ารอมาหลายวันแล้ว ตอนนี้ในที่สุดก็ขนส่งมาถึง รีบนำออกมาดู!” หวังซุ่นหย่งอายุน้อย แค่ยี่สิบปี ปกตินอกจะเขียนอักษรวาดพู่กัน แต่งกาพย์กลอน สิ่งที่สนใจมากที่สุดคือของแปลกๆ หายากหลากหลายแบบ

เขายึดถือสิ่งเหล่านี้เป็นของประหลาด กลับเป็นของน่าสนใจที่ฆ่าเวลาได้ดี

ได้ยินว่าเฉินเต้าเจ่า ผู้เฒ่าเฉินได้ของเล่นพิสดารมาชิ้นหนึ่ง พอดีที่อีกฝ่ายตั้งใจเชิญตนมาชม จึงตอบรับอย่างยินดี กินอาหารเช้าเสร็จก็รีบแจ้นมา

“คุณชายหวังไม่ต้องรีบ ของสิ่งนั้นจำเป็นต้องจัดการอย่างละเอียดรอบหนึ่งค่อยนำมาแสดงได้” เฉินเต้าเจ่าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

เห็นเขาเกลี้ยกล่อม หวังซุ่นหย่งก็ไม่อาจแสดงความหงุดหงิดมากเกินไป อดกลั้นอารมณ์ไว้

สักพักหนึ่ง สาวงามคนหนึ่งก็นวยนาดเข้ามา มือประคองถาดเงินงดงาม คันฉ่องสี่เหลี่ยมสีทองแดงใบหนึ่งวางอยู่ในถาด

คันฉ่องนี้หนาอยู่บ้าง หนาเท่าฝ่ามือ

“มาๆๆ คุณชายหวัง นี่คือของประหลาดที่ข้าพูดถึง คันฉ่องเอกภพ!” เฉินเต้าเจ่ายิ้มพร้อมนำคันฉ่องสีทองแดงใบนั้นส่งให้หวังซุ่นหย่ง

“คันฉ่องเอกภพ?! ชื่อยิ่งใหญ่นัก!” หวังซุ่นหย่งงงวย รับมาตรวจสอบอย่างละเอียด “นี่มีความหมายว่าด้านในมีเอกภพอีกแห่งหรือ”

“คุณชายฉลาดยิ่ง!” เฉินเต้าเจ่าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านลองเขย่าเบาๆ”

หวังซุ่นหย่งได้ยินก็เขย่าดู

แกร่ก

ได้ยินเสียงจากด้านในคันฉ่อง คล้ายกับมีจีหวง(สปริง) หน้าคันฉ่องในตอนแรกเลื่อนไปทางขวา กลายเป็นรูปภูเขา ธารา กระเรียนเซียนมีสีเดียวกับคันฉ่องสำริด

“เอ๋?” หวังซุ่นหย่งพลันสงสัย พิจารณาภาพนี้ เห็นรายละเอียดสมจริงราวมีชีวิต วาดอย่างประณีต เหมือนกับกระเรียนเซียนที่แท้จริงก้มหัวดื่มน้ำในคันฉ่อง

เขาเขย่าอีกรอบ เสียงแกร่กดังขึ้นอีกครั้ง

หน้าคันฉ่องหมุนอีกหน เปลี่ยนภาพ ครั้งนี้เป็นภาพร้อยบุปผาเบ่งบาน บุปผามากมายหลายชนิดเบียดกัน สมจริงเป็นอย่างยิ่ง

“ความสามารถเช่นนี้… ร้ายกาจ ต้องเป็นคนมีชื่อเสียงวาดแน่!” หวังซุ่นหย่งมีพรสวรรค์ไม่ใช่ชั่วในด้านภาพวาด ย่อมมองออกว่าภาพนี้อยู่ระดับไหน

“คุณชายเนตรปัญญาดั่งคบเพลิง น่าเลื่อมใส แต่ของสิ่งนี้ไม่ใช่มีแค่นี้ ท่านดูนี่…” เฉินเต้าเจ่าเริ่มอธิบายของเล่นพิศวงให้หวังซุ่นหย่งฟังอย่างละเอียด

ด้านนอกประตู

เฉินอวิ๋นซียืนอยู่ที่มุมระเบียง สุราใสสีเขียวมรกตสองจอกวางอยู่บนถาดเงินในมือ นี่เป็นสุราหายากที่มาจากต่างประเทศ จอกหนึ่งในนี้เตรียมให้หวังซุ่นหย่งโดยเฉพาะ

นางซ่อนถุงยาสำหรับเตรียมวางยาไว้ในแขนเสื้อ มาถึงตอนนี้ จิตใจโศกเศร้า เหตุใดขยับตัวไม่ได้

“ฮ่าๆๆ คุณชายหวัง เชิญเข้าไปในลานบ้าน ข้ามีของดีอีกอย่างหนึ่งให้ท่านตัดสิน”

“ยังมีอีกหรือ ข้าอยากเห็นว่าของชิ้นที่สองที่ผู้เฒ่าหวังเตรียมไว้คืออะไร”

มุมด้านหน้าแว่วเสียงสนทนาของทั้งสอง คล้ายย้ายไปที่ลานบ้านแล้ว

ที่นี่เป็นโถงหลักของบ้านตระกูลเฉิน พวกเขาออกประตูไป สถานที่ที่จะไปก็คือสวนไพรงามที่มีบุปผาหญ้าประหลาดอยู่เนืองแน่น

เฉินอวิ๋นซีมองจอกสุราที่ประคองอยู่ตรงหน้า ขอบตาเปียกชื้นอยู่บ้าง จุกอกเพราะความอัปยศกับความทุกข์ใจจนแทบหายใจไม่ออก

“คุณหนู ถึงเวลาของท่านแล้ว” ผู้ดูแลชรายืนอยู่ด้านข้าง มองนางพร้อมเร่งอย่างจนปัญญา เขาเป็นหนึ่งในคนที่ทราบเรื่อง เป็นคนสนิทของตระกูลเฉิน เพียงแต่ขณะมองคุณหนูที่เห็นมาตั้งแต่เด็กจนเติบใหญ่สุดท้ายมีจุดจบเช่นนี้ รู้สึกรับไม่ได้เช่นกัน แต่ก็เป็นเรื่องที่ทำอะไรไม่ได้

“ทราบแล้ว…” เฉินอวิ๋นซีใช้แขนเสื้อปิดบังใบหน้า ในที่สุดก็หยิบถุงยาออกมาเทใส่จอกสุราสองจอก ผงเล็กละเอียดสีขาวเทใส่น้ำก็ละลาย พริบตาเดียวก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

นางพยายามฝืนยิ้ม ปกปิดความซึมเซาในดวงตา ประคองถาดเดินไปยังลานบ้านอย่างเชื่องช้า

ในลานบ้าน เฉินเต้าเจ่ากับหวังซุ่นหย่งนั่งตรงข้ามกัน กำลังคุยกันอย่างออกรส คันฉ่องเอกภพที่เล่นเมื่อก่อนหน้านี้วางอยู่บนโต๊ะหิน

เฉินอวิ๋นซีถือถาดเดินเข้าไป

“มาๆๆ นี่เป็นสุราองุ่นหยกม่วงที่ข้าส่งคนไปซื้อจากรัฐมหาเกียรติประเทศทางตะวันออก สถานที่อื่นๆ ไม่มีสิ่งนี้ สุรานี้งดงามน่าดื่มด่ำ เป็นของชั้นเลิศ คุณชายหวังทดลองดู!”

เฉินเต้าเจ่าทำท่าให้หวังซุ่นหย่งเลือกก่อน ถึงอย่างไรทั้งสองจอกก็วางยาไว้ เขารับประทานยาแก้ไปก่อนแล้ว ไม่กลัวฤทธิ์ยา ดังนั้นเอาจอกไหนก็ได้

หวังซุ่นหย่งได้ยินว่าส่งมาจากประเทศตะวันออก สีหน้าฉายแววยินดี

“ในเมื่อเป็นของจากประเทศตะวันออก ข้าอยากรู้ว่ารสชาติเป็นอย่างไร!” เขายิ้มพลางชูจอกสุราขึ้น

มองเขายกจอกสุราถึงริมฝีปาก เฉินเต้าเจ่ากับผู้ดูแลชราจ้องเขาอย่างกระวนกระวายอยู่ด้านข้าง

ตรงหน้าของเฉินอวิ๋นซีกลับมีใบหน้าลู่เซิ่งแวบผ่าน สายตาค่อยๆ พร่ามัว

โครม!

ทันใดนั้นเอง

ประตูลานบ้านถูกกระแทกเปิดออกอย่างรุนแรง

ชายฉกรรจ์ผมยุ่ง เปลือยร่างท่อนบนถลันเข้ามา เขาสักมังกรเขียวตัวหนึ่งบนหน้าอก เอวหยาบไหล่กลม ยามเดินเหมือนกับหมีดำเปิดทาง

ด้านหลังเขา มีชายฉกรรจ์ล่ำสันอีกสองแถวพุ่งเข้ามา แต่ละคนใส่เสื้อดำตัดผมสั้น ร่างกายกำยำ

“เป็นมัน!” ชายฉกรรจ์ตวาดพร้อมชี้ไปที่หวังซุ่นหย่งที่กำลังนิ่งอึ้ง “กล้าแย่งสตรีของนายท่าน อัดมันให้เละ! ถ้าตายข้ารับผิดชอบเอง!”

ทันใดนั้นเหล่าชายฉกรรจ์รุมกันเข้าไป กดหวังซุ่นหย่งที่แตกตื่นหน้าถอดสีให้อยู่กับพื้น แล้วทุบตี กำปั้นใหญ่ดุจหม้อกระหน่ำลงไป

อ๊ากๆๆๆ!

หวังซุ่นหย่งถูกทุบตีอยู่กับพื้น ชายฉกรรจ์ผลัดกันทุบและอัดอย่างบ้าคลั่ง

เฉินเต้าเจ่ากับเฉินอวิ๋นซีที่อยู่ใกล้ๆ ตกตะลึง ยังมีข้ารับใช้กับคนคุ้มกันคิดเข้าไปห้ามปราม แต่อีกฝ่ายแบ่งคนออกมาหลายคน สะกดยอดฝีมือของตระกูลเฉินไว้

เหล่าอาจารย์สอนวรยุทธ์ระดับพลังปลอดโปร่งเห็นท่วงท่านี้ ยิ่งไม่กล้าเงยหน้า เงียบงันไม่เปล่งเสียง

……………………………………….