ตอนที่ 114 ถ้าคุณอยากเลิก ฉันยินดีที่จะเลิก

เดิมพันเสน่หา

อวี้หลานซีเป็นคนฉลาด เธอเข้าใจในสิ่งที่ก่วนอวี้พูด แต่เธอไม่เชื่อว่าเรื่องความรู้สึกนั้นจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง เธอเชื่อว่าความจริงใจและความกล้าหาญของเธอต้องทำให้หนานกงเยี่ยหวั่นไหวได้แน่นอน เธอคิดว่าตนเองเป็นคนที่เหมาะสมที่จะเป็นภรรยาของหนานกงเยี่ย ความรักของเธอสามารถยอมรับความเอาแต่ใจและตามใจเขาได้ เธอรักเขาด้วยความจริงใจ 

 

 

ก่วนอวี้พาอวี้หลานซีเข้ามาในห้องของหนานกงเยี่ย แล้วเดินออกไปเงียบๆ พร้อมกับปิดประตู เขายืนอยู่ด้านนอกประตูจัดการกับความรู้สึกของตนเอง มองดูผู้หญิงที่ตนแอบรักตั้งแต่เด็กจนโตกำลังคลั่งรักผู้ชายคนหนึ่ง หัวใจของเขาเจ็บปวดมาก แต่เขาที่ไม่สามารถทำอะไรได้ทั้งนั้น นอกจากถอนหายใจแล้ว เขาจะทำอะไรได้อีก 

 

 

เข้าไปในห้อง มองดูแผ่นหลังของหนานกงเยี่ย อวี้หลานซีกลัวมาก แต่เธอก็ยังรวบรวมความกล้าแล้วก้าวเดินไป อวี้หลานซีพูดขึ้น “เยี่ย” 

 

 

หนานกงเยี่ยหันหลังให้กับประตู ยืนอยู่ตรงหน้าต่างขนาดใหญ่ แสงแดดในฤดูร้อนสาดส่องเข้ามาผ่านกระจกหนา แสงแดดรวมเป็นหนึ่งกับความโมโหของเขา ทำให้เขาดูเหมือนเทพเจ้าผู้ทำลายโลก หนานกงเยี่ยเงียบอยู่นาน เพราะเขากำลังควบคุมตนเอง เขากลัวว่าคำพูดของตนเองจะระเบิดความโกรธออกมา แล้วทำให้อวี้หลานซีตกใจ 

 

 

อวี้หลานซีรู้จักหนานกงเยี่ยเป็นอย่างดี รู้ว่าตอนนี้เขากำลังปรับอารมณ์ของตนเอง ดังนั้นเธอจึงเลือกที่จะยืนรอเงียบๆ 

 

 

หลังจากผ่านไปนานครู่หนึ่ง หนานกงเยี่ยค่อยๆหันกลับมา แววตาเย็นยะเยือกจ้องมองไปที่อวี้หลานซี เสียงของเขาทำให้เขารู้สึกหนาวจนตัวสั่นแม้ในยามฤดูร้อน “ทำไมต้องทำแบบนี้” 

 

 

อวี้หลานซีเผชิญหน้ากับเขาด้วยความกล้าหาญ “เยี่ย ฉันแค่อยากพิสูจน์ให้คุณเห็น ฉันสามารถยืนเคียงข้างคุณได้ ฉันไม่ใช่ตัวถ่วงของคุณ” เธอยิ้มด้วยความกลัวทว่ากลับภาคภูมิใจ “คุณรู้ไหมคะ ตอนนี้ฉันใช้ปืนเป็นแล้วและฉันยังเรียนรู้ท่าต่อสู้อีกหลายท่า ยิ่งไปกว่านั้น…” 

 

 

“พอได้แล้ว!” หนานกงเยี่ยขมวดคิ้วเป็นปมด้วยความปวดหัว “ต้องให้ผมบอกคุณอีกกี่ครั้ง คุณไม่ต้องทำอะไรพวกนี้ แค่เป็นตัวของตัวเองก็พอแล้ว” 

 

 

“การรักคุณคือการเป็นตัวของตัวเองของฉัน การรักคุณบทเรียนของชีวิตที่ฉันต้องเรียนรู้!” อวี้หลานซีใจกล้ามากกว่าเมื่อก่อนมาก “เยี่ย ฉันรักคุณ ฉันอยากใช้ชีวิตในที่แจ้ง ไม่อยากใช้ชีวิตอยู่ด้านหลังคุณอีกแล้ว ถ้าการทำแบบนี้จะทำให้เกิดอันตราย ต่อให้ฉันต้องตายฉันก็ไม่เสียใจ คุณเองก็ไม่ต้องเสียใจ เพราะถึงยังไงคุณก็ไม่ได้รักฉัน” 

 

 

อวี้หลานซีเดินไปด้านหน้าสองสามก้าวด้วยความใจกล้า เธอซบลงในอ้อมกอดของเขาเบาๆ “เยี่ย คุณทิ้งผู้หญิงคนไหนก็ได้ นอกจากฉันคนเดียวที่คุณห้ามทิ้ง ไม่มีใครรักคุณได้มากกว่าฉันและไม่มีใครคู่ควรที่จะเป็นภรรยาของคุณนอกจากฉัน” 

 

 

“…” หนานกงเยี่ยขมวดคิ้วเป็นปม ถ้าเป็นคนอื่น เขาจะทั้งโมโหทั้งตวาดหรือทุบตีก็ทำได้ทั้งนั้น แต่ว่าอวี้หลานซีเขาทำแบบนั้นไม่ได้ ไม่ได้เพียงเพราะตระกูลหนานกงติดหนี้ชีวิตเธอถึงสองคน แต่เป็นเพราะความรักความผูกพันที่พวกเขาเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เล็ก เธอใช้คำว่ารักมาบีบบังคับเขา เขาไม่สามารถใจร้ายแล้วผลักไสเธอไปได้ 

 

 

ผ่านไปนานครู่หนึ่ง หนานกงเยี่ยทำการตัดสินใจ “นับตั้งแต่วันนี้ คุณห้ามออกไปจากคฤหาสน์แม้แต่ก้าวเดียว ผมจะให้ก่วนอวี้ส่งคุณกลับไป” 

 

 

อวี้หลานซีเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ “เยี่ย คุณขังฉันแบบนี้ไม่ได้นะคะ!” 

 

 

หนานกงเยี่ยหันหน้าไปอีกด้านหนึ่ง “ในเมื่อคุณกล้าเปิดเผยตัวตน คุณก็ต้องยอมรับกับผลลัพธ์ที่ตามมา” 

 

 

พูดจบ หนานกงเยี่ยเดินไปที่ประตู เขาเปิดประตู แล้วหันไปออกคำสั่งกับก่วนอวี้ที่ยืนอยู่ตรงประตู “ส่งเธอกลับไป เอาคนไปเพิ่มด้วย หลังจากนี้ถ้าไม่มีคำสั่งจากฉัน ห้ามเธอออกไปจากคฤหาสน์แม้แต่ก้าวเดียว” 

 

 

“…ครับ” ก่วนอวี้มองดูอวี้หลานซีด้วยความปวดใจ เขาก้มหน้าลง 

 

 

หนานกงเยี่ยไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเดินไปที่ลิฟต์ 

 

 

“เยี่ย!” 

 

 

อวี้หลานซีจะวิ่งตามเขาไป แต่ถูกก่วนอวี้รั้งเอาไว้ “คุณอวี้ครับ คุณเชื่อฟังคำสั่งของคุณชายเยี่ยเถอะครับ กลับไปที่คฤหาสน์” 

 

 

“ไม่ ก่วนอวี้ ฉันขอร้องเถอะนะ ให้ฉันไปหาเขา ฉันไม่อยากถูกขัง” 

 

 

ก่วนอวี้ถอนหายใจ “คุณน่าจะรู้จักนิสัยของคุณชายเยี่ยเป็นอย่างดี สิ่งที่คุณชายเยี่ยตัดสินใจแล้วไม่มีวันเปลี่ยน ถ้าคุณยังขืนดื้อต่อไปจะเป็นการทำร้ายตัวเองเสียเปล่านะครับ” 

 

 

ทำร้ายตัวเอง! ประโยคนี้ดังก้องในหูของอวี้หลานซี เหมือนกับเข็มที่ทิ่มแทงเธอ ความรักจากใจที่เธอมีต่อเขา คือการทำร้ายตัวเอง? 

 

 

น้ำตาสองเม็ดหยดลงมาช้าๆ อวี้หลานซีก้มหน้าลงเงียบๆ 

 

 

ก่วนอวี้โทษตัวเองที่ปากพล้อย เขาอยากจะปลอบเธอแต่ไม่รู้จะปลอบยังไง สุดท้ายทำให้ทุกอย่างพังไปหมด 

 

 

ผ่านไปนานครู่หนึ่ง อวี้หลานซีพูดเสียงเบา “ค่ะ ฉันกลับคฤหาสน์กับคุณ” 

 

 

***** 

 

 

มื้อเที่ยง เหลิ่งรั่วปิงสั่งเดลิเวอรี่ เธอนั่งกินมื้อเที่ยงในห้องทำงานพร้อมกับอ่านข่าวในอินเทอร์เน็ต การกระทำแบบนี้ของอวี้หลานซี ทำให้เธอตกใจมาก คิดไม่ถึงว่าผู้หญิงที่บอบบางอย่างอวี้หลานซี เพื่อความรักแล้วเธอจะกล้าหาญมากขนาดนี้ แต่ว่า ถ้าหัวใจของผู้ชายไม่ได้อยู่ที่เรา สิ่งที่เราทำไปทั้งหมดจะมีประโยชน์อะไร 

 

 

ผู้ชายอย่างหนานกงเยี่ย เขาจะรักผู้หญิงคนหนึ่งจริงๆ หรอ หรือต่อให้เขารักทว่าความรักของเขาจะอยู่นานเท่าไหร่ 

 

 

ดังนั้น คืนวันสิ้นปี ที่หนานกงเยี่ยสารภาพรักกับเธอ เธอไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวมากเท่าไหร่ เพราะเธอรู้สึกว่าความรักของเขาเป็นเพียงแค่ความรักสั้นๆ ชั่วคราวเท่านั้น ราชาที่เย็นชาและหยิ่งทระนงตนอย่างเขาไม่มีวันยกหัวใจให้ผู้หญิงคนหนึ่งหรอก 

 

 

เธอดูออก แต่น่าเสียดายที่อวี้หลานซีกลับไม่เข้าใจในข้อนี้ 

 

 

เหมือนกำลังอ่านข่าวที่ไม่สำคัญอย่างไรอย่างนั้น เหลิ่งรั่วปิงอ่านข่าวไปด้วยพยักหน้าไปด้วย ปากของเธอเคี้ยวตุ้ยๆ ทันใดนั้นเองเสียงโทรศัพท์ในห้องทำงานดังขึ้น 

 

 

“มาที่ห้องทำงานของผม” เป็นเสียงของหนานกงเยี่ย น้ำเสียงของเขาดูเหนื่อยมาก 

 

 

“?” เหลิ่งรั่วปิงตกใจจนลืมกลืนข้าวในปาก เขาควรอยุ่กับอวี้หลานซีไม่ใช่หรอ หรือว่าหวั่นไหวกับอวี้หลานซีแล้ว ทั้งสองตกลงปลงใจที่จะรักกันแล้ว “มี…มีธุระอะไรคะ” 

 

 

“ต้องมีธุระก่อนหรอถึงจะเจอคุณได้” ดูเหมือนหนานกงเยี่ยจะอารมณ์ไม่ดีเท่าไหร่ 

 

 

“ค่ะ ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันกินข้าวเสร็จแล้วไปหานะคะ” 

 

 

“ไม่ต้องกินแล้ว เดี๋ยวผมพาคุณออกไปกินข้าวเอง” 

 

 

“…” เหลิ่งรั่วปิงไม่เข้าใจว่าเขาจะทำอะไรกันแน่ เธอทำได้เพียงวางตะเกียบในมือลง ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากห้องทำงาน ขึ้นลิฟต์ไปชั้นบนสุด 

 

 

หลังจากหนานกงเยี่ยแยกกับอวี้หลานซี เขาก็หงุดหงิดมาก ความดื้อดึงของเธอทำให้เขาอึดอัด เขาเชื่อว่าบนโลกใบนี้ไม่สามารถหาอวี้หลานซีคนที่สองได้แล้ว ไม่มีใครรักเขาได้มากเท่ากับอวี้หลานซี แต่ว่าเขาไม่ได้รู้สึกแบบนั้นกับเธอ ตอนนี้หัวใจของเขามีแค่เหลิ่งรั่วปิงคนเดียวเท่านั้น แต่ว่าเหลิ่งรั่วปิง…เธอเย็นชาเกินไป ตอนนี้เธอยังคงตัดสินใจที่จะไปจากเขาและเมืองหลงหลังจากแก้แค้นเสร็จใช่หรือไม่ 

 

 

จู่ๆ เขาก็คิดขึ้นได้ว่า คนที่ดื้อดึงไม่ได้มีแค่อวี้หลานซี แต่ยังมีตัวเขาเองด้วย ความเป็นจริงเวลาที่อยู่ตรงหน้าเหลิ่งรั่วปิง ก็น่าสงสารเหมือนตอนที่อวี้หลานซีอยู่ตรงหน้าเขา 

 

 

เขาเริ่มถามใจตนเองอีกครั้งว่ารู้สึกยังไงกับเหลิ่งรั่วปิง 

 

 

ดังนั้นตอนที่เหลิ่งรั่วปิงเดินเข้ามา เขาไม่ได้ส่งยิ้มอบอุ่นให้เธอเหมือนทุกครั้ง แต่กลับมองดูเธอนิ่งๆ มองดูอยู่นาน 

 

 

หนานกงเยี่ยในวันนี้ ทำให้เหลิ่งรั่วปิงมองไม่ออก เขาเหมือนตอนแรกที่เจอกัน เขานิ่งเงียบ เย็นชาและไร้ซึ่งอารมณ์ เธอเป็นคนที่มีความอดทนมาโดยตลอด ในเมื่อเขาไม่พูด เธอก็ไม่ขยับ 

 

 

หลังจากผ่านไปนานครู่หนึ่ง ในที่สุดหนานกงเยี่ยก็พูดขึ้น “มานี่” 

 

 

เหลิ่งรั่วปิงยังคงทำเหมือนทุกครั้ง เดินเข้าไปซบอกเขา “คุณอารมณ์ไม่ดีหรอคะ” 

 

 

“อืม” 

 

 

“เพราะอวี้หลานซี?” 

 

 

“อืม” 

 

 

เหลิ่งรั่วปิงคลายยิ้มบางๆ แล้วไม่ได้พูดอะไรอีก การที่เขาเงียบและพูดน้อยแบบนี้ทำให้เธอเดาไม่ออก ดังนั้นเธอจึงรู้สึกว่าการอยู่นิ่งๆ น่าจะดีกว่า 

 

 

หลังจากที่เงียบอยู่นาน หนานกงเยี่ยพูดขึ้น “เหลิ่งรั่วปิง คุณบอกผมหน่อยสิ ผมอยู่ในฐานะไหนในใจคุณ” 

 

 

“…” เหลิ่งรั่วปิงมองตาเขา เธอกำลังคิดว่าควรจะตอบยังไง เธอมั่นใจว่าตนเองไม่ได้รักเขา แต่เธอมีความรู้สึกดีๆ ต่อเขาแล้ว ความรักที่เขามอบให้เธอ ความอ่อนโยนและอบอุ่นที่เขามอบให้เธอ เธอชอบความรู้สึกเหล่านี้ “คุณ…” 

 

 

“ช่างเถอะ คุณไม่ต้องตอบคำถามผมแล้ว” จู่ๆ หนานกงเยี่ยก็รู้สึกกลัวที่จะฟังคำตอบจากเธอ เขาจึงหยุดเธอเอาไว้ “พวกเราไปกินข้าวกันเถอะ” 

 

 

เหลิ่งรั่วปิงลุกขึ้น เดินตามเขาออกไป ในเมื่อเขาไม่อยากฟัง เธอก็จะไม่พูด เพราะถึงยังไงคำตอบของเธอก็คงไม่ทำให้เขารู้สึกดี ไม่พูดจึงดีที่สุด 

 

 

หนานกงเยี่ยขับรถด้วยตนเอง เขาพาเหลิ่งรั่วปิงไปภัตตาคารหรู ตอนกินข้าว เขายังคงนั่งข้างๆ เธอ คอยตักอาหารให้เธอ ไม่ได้แตกต่างจากเดิม แต่เหลิ่งรั่วปิงรู้สึกถึงความไม่เหมือนเดิม ความไม่เหมือนเดิมนั้นไม่ใช่ด้านการกระทำ แต่เป็นบรรยากาศที่ไม่เหมือนเดิม ในตัวของหนานกงเยี่ยมีความรู้สึกเหงาแผ่ซ่านออกมา ซึ่งเธอไม่เคยสัมผัสถึงความรู้สึกนี้ในตัวเขา เธอเป็นคนทำให้เขาเหงา หรืออวี้หลานซีเป็นคนทำ 

 

 

เหลิ่งรั่วปิงนึกถึงสิ่งที่เขาถามตนที่บริษัท เธอคิดว่าคงเป็นเพราะเรื่องของอวี้หลานซี ผู้ชายที่คุ้นชินกับการอยู่เหนือทุกอย่าง กลับรู้สึกเศร้าในเรื่องความรัก สิ่งนี้ทำให้เหลิ่งรั่วปิงตกใจ ที่เขารู้สึกเศร้ามันเป็นเพราะเธอ หรือว่าเป็นเพราะอวี้หลานซี 

 

 

น่าจะเป็นอวี้หลานซีแหละ พวกเขาเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เล็ก ความรักและความผูกพันธ์ของพวกเขาแน่นแฟ้น อวี้หลานซีรักเขามากขนาดนี้ ครั้งนี้ยังเปิดเผยตัวตนต่อหน้าสื่อมวลชนเพื่อเขาอีก หนานกงเยี่ยคงรู้สึกหวั่นไหว 

 

 

เขาอยากบอกเลิกเธอแต่ไม่รู้จะพูดยังไงดี? เพราะถึงอย่างไรตอนแรกที่เขาทิ้งเธอไป เขาใช้วิธีรุนแรงในการพาเธอกลับมา ครั้งนี้ถ้าให้เขาเป็นคนบอกเลิกอีกคงจะรู้สึกละอายใจ 

 

 

เห็นแก่ที่เขารักและตามใจเธอมานาน ถ้าอย่างนั้นเธอจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ถึงยังไงเธอก็แค่รู้สึกดีกับเขานิดหน่อยเท่านั้น ไม่ได้รักเขาและไม่เคยคิดว่าจะอยู่กับเขาไปอีกนาน อีกทั้งสุดท้ายแล้วเธอก็จะไปจากที่นี่ การทำให้พวกเขาได้รักกันถือเป็นสิ่งที่ดี 

 

 

เมื่อคิดได้แบบนี้ เหลิ่งรั่วปิงจึงหันไปหาหนานกงเยี่ยแล้วส่งยิ้มหวาน “คุณหนานกง คุณมีอะไรอยากจะบอกฉันใช่ไหมคะ” 

 

 

หนานกงเยี่ยตะลึงงัน สีหน้าของเขาแสดงออกชัดขนาดนั้นเชียว เขามีอะไรอยากจะถามเธอ เขาอยากถามเธอว่ารู้สึกยังไงกับเขากันแน่ แต่หลังจากเขาถามคำถามนั้นกับเธอที่บริษัทแล้ว เขารู้สึกเสียใจที่ถามไปแบบนั้น เขาเพิ่งค้นพบว่าตนเองกลัวที่จะได้ยินเธอบอกว่าไม่รัก ไม่ว่าเธอจะรักหรือไม่รักเขา เขาก็ไม่มีวันปล่อยเธอไป ดังนั้นสู้ไม่ถามเสียยังดีกว่า 

 

 

หนานกงเยี่ยถอนหายใจ “ที่จริงผมมีเรื่องอยากจะพูดกับคุณ แต่ตอนนี้ไม่อยากพูดแล้ว” 

 

 

“คุณรู้สึกละอายใจหรอคะ” 

 

 

หนานกงเยี่ยขมวดคิ้ว เธอเป็นพยาธิในท้องเขาหรือไง “นิหน่อยครับ” 

 

 

“ที่จริงไม่ต้องคิดอะไรมากหรอกค่ะ ฉันเป็นคนปล่อยวางเป็น ถึงแม้ฉันจะไม่ใช่คนดีอะไรและไม่ใช่คนที่ชอบช่วยเหลือคนอื่น แต่ฉันไม่ใช่คนไร้ยางอาย ดังนั้น ถ้าคุณอยากจะเลิก ฉันก็จะ…” 

 

 

หนานกงเยี่ยตัวแข็งทื่อ ตะเกียบคาอยู่ที่ปาก นัยน์ตาของเขาว่างเปล่า ความเย็นที่แผ่ซ่านจากตัวเขาทำให้อากาศโดยรอบเกาะตัวเป็นน้ำแข็ง หลังจากครู่หนึ่ง เขาวางตะเกียบลง หันไปมองเหลิ่งรั่วปิง “คุณจะทำอะไร” 

 

 

เมื่อเห็นเขาโมโหขึ้นมากะทันหัน เหลิ่งรั่วปิงลังเลที่จะพูด แต่สุดท้ายเธอก็เลือกที่จะพูดในสิ่งที่ตนอยากจะพูด “ฉันยินดีที่จะเลิกกับคุณ”