บทที่ 89 เดินทางไปยังรัฐเจ้า

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

บทที่ 89 เดินทางไปยังรัฐเจ้า Ink Stone_Romance

หลงกู่ปู้วั่งกัดฟันเลือกดาบเล่มที่สะดุดตาที่สุด จี๋อวี่กับจี้ฮ่วนก็ต่างเลือกคนละหนึ่งเล่มด้วยความเด็ดขาด

หลังจากดาบทั้งสี่เล่มถูกเลือกแล้ว ชายชราก็หยิบกล่องเคลือบเงาขนาดหนึ่งฉื่อกล่องหนึ่งออกมา ยื่นให้ซ่งชูอี “นี่คือมีดซ่อนที่เจ้าต้องการ”

มีดซ่อนถูกจัดให้เป็นหนึ่งในชนิดดาบ ส่วนใหญ่แล้วเป็นเพราะว่ามันยาวกว่ามีดกริชหน่อยหนึ่ง ทว่าใบมีดบางกว่ามาก

ซ่งชูอีวางจวี้ชางลง รับกล่องเคลือบนั้นไว้ ทันทีที่เปิดแง้มกล่องก็ราวกับมีแสงหิมะสะท้อนวาบออกมา เมื่อเปิดทั้งกล่องออกดูก็เห็นเพียงมีดซ่อนแสนธรรมดาที่มีขนาดยาวไม่ถึงหนึ่งฉื่อนอนอยู่

มีดเล่มนี้ธรรมดาเป็นที่สุด จวี้ชางแม้ดูเรียบง่าย แต่ถึงอย่างไรก็ยังดูหยิ่งผยองน่าเกรงขาม ทว่าดาบสั้นที่อยู่ในกล่องนี้ คล้ายกับนักตีดาบคุณภาพต่ำก็สามารถตีออกมาได้อย่างง่ายดาย

“แม้นดาบเล่มนี้จะดูขี้เหร่ไปหน่อย แต่ว่าใช้งานได้ดี” ชายชราเห็นว่าสีหน้าของซ่งชูอีเรียบเฉย ในใจก็ผ่อนคลายลงมามาก รู้สึกว่าในที่สุดก็เจอกับคนที่รู้จักของดี ไม่เสียแรงที่เขายอมทนทุกข์เพื่อตัดใจจากของรักของหวงชิ้นนี้

“ขอบคุณผู้อาวุโส!” ซ่งชูอีรีบปิดกล่องทันที หันไปส่งให้จี๋อวี่ ราวกับกลัวว่าชายชราจะเปลี่ยนใจ

“เด็กดี” ชายชรายิ่งชอบใจ เอ่ยว่า “เห็นว่าเจ้ามีสายตาหลักแหลม ข้าผู้เฒ่าได้เช็ดเศษเหล็กให้แล้วด้วย”

หากคิดจะมอบคำชมเชยให้กับช่างตีเหล็กคนหนึ่ง วิธีที่ดีที่สุดมิใช่การกล่าวชมทางวาจา ในทางกลับกันการแสดงออกถึงความปรารถนาในการครอบครองอย่างแรงกล้าเช่นซ่งชูอีจะยิ่งทำให้เขารู้สึกมีประโยชน์มากกว่า

แม้นจะใช้กลอุบายเพียงเล็กน้อย ทว่าเพื่อเป็นการตอบแทน ซ่งชูอียิ้มเอ่ย “เช่นนั้นต้องขอบคุณท่านอาสุโวแล้ว ที่จริงข้าน้อยยังมีสูตรสุราที่ท่านพ่อหวงแหนอีกสองสูตร ในเมื่อท่านอาวุโสมีใจเยี่ยงนี้ ข้าน้อยก็จะมอบให้ท่าน!”

ชายชราดวงตาเป็นประกาย หัวร่อเสียงดัง “ประเสริฐนัก! ข้าผู้เฒ่าชอบ ดาบจวี้ชางที่ข้าผู้เฒ่าตี ก็ยกให้เจ้าแล้วกัน ไม่คิดเงินแม้แต่แดงเดียว ส่วนดาบเล่มอื่นนั้นผู้อื่นเป็นคนตี ข้าไม่อาจตัดสินใจ”

ซ่งชูอีคาดไม่ถึงว่าชายชราจะมีความสุขเพียงนี้ รีบสะบัดแขนเสื้อโค้วคำนับยาวนาน “ท่านอาวุโสใจกว้างนัก หวยจินไม่ผิดหวังเลยจริงๆ หวยจินจักจดจำพระคุณนี้ไว้ในใจ”

“เรื่องเล็กน้อย” ชายชราพูดพลางลากซ่งชูอีไปเขียนสูตรสุรา

ซ่งชูอีรู้จักชายชราผู้นี้เพียงน้อยนิด ทว่านิสัยของผู้ที่โปรดปรานสุราส่วนใหญ่มีจิตใจกว้างขวาง ดังนั้นนางจึงหยั่งเชิงดู

เงินทองเป็นเรื่องภายนอกในการคบค้าสมาคม สิ่งที่ค้นหาคือความสุข โดยเฉพาะช่างตีดาบที่กว่าจะใช้ความพยายามอย่างเต็มที่เพื่อตีดาบล้ำค่านั้น ล้วนมีความรักและความอาลัยอาวรณ์อันยากจะอธิบาย ด้วยเหตุนี้แม้นชายชราจะมีดาบจำนวนมากอยู่ในมือ กลับไม่เคยขายออกไปทันที เขาต้องการเวลาระยะหนึ่งเพื่อทำใจ

อย่างไรก็ดี นักตีดาบก็เป็นผู้ที่มั่งคั่งไปด้วยอารมณ์หลงใหลที่สุดในโลกใบนี้ บางครั้งพวกเขาจะต่อรองทุกอีแปะ ครั้นเอ่ยราคาออกมาแล้วถึงตายก็ไม่เปลี่ยน ทว่าบางครั้งเมื่อพบกับวีรบุรุษหรือคนที่มีนิสัยเข้ากันได้ดีก็อาจยกดาบให้เปล่าๆ

จุดที่สำคัญทีสุด คือการทำให้เขารู้สึกว่าท่านคู่ควรกับดาบที่เขาตี

จุดนี้ฟังดูง่ายดาย ทว่ายากยิ่ง ที่จริงซ่งชูอีก็เพียงโชคดีเท่านั้น

เดิมทีดาบห้าเล่มมีราคาทั้งหมดแปดร้อยเจ็ดสิบตำลึงทอง สุดท้ายก็จ่ายเพียงเจ็ดร้อยตำลึงทองเท่านั้น

หนึ่งร้อยเจ็ดสิบตำลึงทองนับว่าเป็นเงินก้อนใหญ่ การได้ประหยัดก็เท่ากับว่าได้เงินเพิ่ม

หลังจากออกจากร้านตีเหล็กแล้ว แต่ละคนกลับจวนที่พักด้วยความปีติยินดี แม้แต่จี๋อวี่ที่เงียบสงบตลอดเวลา ก็มีรอยยิ้มที่ซ่อนไว้ไม่อยู่ตรงหางตาของเขา

ผู้ชายส่วนใหญ่มักเกิดมาพร้อมความหลงใหลได้ปลื้มในอาวุธสงคราม ดังที่กล่าวกันว่าอารมณ์ความสุขยากที่จะซื้อด้วยเงิน โดยเฉพาะพวกเขาสามคน คนหนึ่งนำกองทัพออกรบ คนหนึ่งก็คลั่งไคล้ในกองทหารเข้มแข็ง จู่ๆ มีอาวุธหายากในใต้หล้าอยู่ในมือ จะไม่ให้ดีใจจนเนื้อเต้นได้เยี่ยงไร?

ครั้นกลับมาถึงจวนที่พัก และหลังจากกินอาหารเที่ยงหรูหราภายใต้การรับใช้ของไป๋ผิงเรียบร้อยแล้ว ขบวนรถก็พร้อมที่จะออกเดินทาง

หลังจากหยุดพักสองเค่อ ทุกคนก็ออกเดินทาง

เนื่องด้วยซ่งชูอีขอร้องว่ามิให้เอิกเกริกจนเกินไป หลังจากไป๋ผิงส่งพวกเขาออกไปทางประตูทิศเหนือแล้ว ก็รีบกลับเข้านคร

แสงอาทิตย์สีอ่อนส่องสะท้อนอยู่บนพื้นหิมะกว้างใหญ่ ทอแสงสว่างจ้าจนทำให้ไม่สามารถลืมตาได้ สายลมไม่แรงมากทว่าอากาศหนาวเหน็บยิ่ง น้ำแข็งบนท้องถนนนั้นหนาจนขบวนรถไม่สามารถเดินทางได้เร็วนัก พวกเขาเพียงต้องถึงที่พักก่อนตะวันตกดิน และที่แห่งนั้นก็ไม่ไกลมากฉะนั้นจึงไม่จำเป็นต้องกังวล

มีผู้คนสัญจรไปมาบนถนนเป็นครั้งคราว แต่ล้วนเป็นขบวนพ่อค้ากว่าร้อยชีวิต ด้วยเหตุนี้ขบวนของซ่งชูอีจึงไม่เป็นที่เตะตา

การเดินทางราบรื่นตลอดเส้นทาง เมื่อพลบค่ำก็มาถึงโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งพอดี โรงเตี๊ยมแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นไม่ไกลจากทุ่งพักม้าขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ขบวนพ่อค้าต้องจ่ายเงินเพียงเล็กน้อยก็สามารถพักผ่อนที่นี่ได้

อย่างไรก็ดีโรงเตี๊ยมประเภทนี้มีข้อเสียอย่างหนึ่ง คือไม่มีห้องส่วนตัว ใช้เพียงไม้กระดานกั้นเป็นพื้นที่กึ่งปิดขนาดเล็กเท่านั้น

ครั้นอากาศแจ่มใส ขบวนรถก็มีชีวิตชีวาขึ้น พวกซ่งชูอีโชคไม่ดีอย่างเห็นได้ชัด บัดนี้ภายในห้องมีคนอยู่อย่างหนาแน่นแล้ว

ซ่งชูอีจึงตัดสินใจลงไปยืดเส้นยืดสายเสียหน่อย แล้วนอนบนรถม้าในตอนกลางคืน

ทว่าเมื่อสายลมยามราตรีพัดผ่านก็ไม่สามารถทนอยู่ข้างนอกได้ จี้ฮ่วนกับผู้อารักขาสองสามคนพบสถานที่เล็กๆ ในห้องด้วยความยากลำบาก

สิ่งที่ทุกคนสังเกตเห็นเป็นอันดับแรกมิใช่พวกเขา ทว่าเป็นหมาป่าหิมะขนาดมหึมาตัวหนึ่ง ร่างกายแข็งแรง ขนทั้งตัวเป็นสีขาวเงางาม ท่าเดินอันเป็นเอกลักษณ์นั้นน่าเกรงขามอย่างเด่นชัด มีเพียงรอยแหว่งบนหัวที่ทำให้ความน่าเกรงขามลดลงจนถึงระดับต่ำสุด อีกทั้งยังดูงี่เง่าเล็กน้อย

ฝูงชนที่แตกตื่นบ้างในตอนแรกสงบลงอย่างน่าประหลาด

หลายคนคุกเข่าลงบนพื้นที่ว่าง ไป๋เริ่นขยับตัวไปข้างๆ ซ่งชูอี วางศีรษะลงบนตักของนางพร้อมนอนลงอย่างสบายๆ

ทุกคนมองด้วยความอัศจรรย์ใจ ข้อแรก สัตว์ที่ดุร้ายเช่นหมาป่ายากที่จะทำให้เชื่อง ข้อสอง หมาป่าธรรมดาล้วนมีใบหน้าที่ดุร้าย หมาป่าตัวนี้กลับมิได้เป็นเยี่ยงนั้น

หลังจากทุกคนมองดูไป๋เริ่นสักพักแล้วก็หันมามองเจ้าของของมัน เขาเป็นเด็กหนุ่มสามัญคนหนึ่ง ทว่าเด็กหนุ่มในชุดจีนที่อยู่ข้างๆ นั้นบุคลิกไม่สามัญ ผู้อารักขาก็กำยำและทรงพลังมาก

พวกเขาล้วนเป็นพ่อค้าที่เดินทางทั่วทุกสารทิศ มีสิ่งมหัศจรรย์ใดบ้างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน? ด้วยเหตุนี้จึงมองเพียงครู่หนึ่ง จากนั้นก็เริ่มพูดคุยกันเองแล้ว

ครั้นท้องฟ้าเริ่มมืดก็ได้เวลาทานอาหารเย็น คนส่วนใหญ่ในห้องล้วนกำลังรับประทานอาหาร ไม่ช้าจี๋อวี่ก็นำอาหารเข้ามา

ซ่งชูอีไม่ต้องการโยนเนื้อทั้งชิ้นให้ไป๋เริ่น เพราะมันจะทำให้อุ้งเท้าของมันเต็มไปด้วยน้ำมัน อีกทั้งระหว่างก็ไม่สะดวกที่จะทำความสะอาดให้ ด้วยเหตุนี้จึงกินพลางป้อนมันพลาง ความเฉื่อยชาของซ่งชูอีทำให้มันตะกุยพื้นพร้อมครางอิ๋งอิ๋งด้วยความร้อนใจ

“ซางจวินสิ้นแล้ว พวกเจ้าว่ารัฐฉินจะล้มล้างกฎหมายใหม่หรือไม่?” คนหนึ่งในกลุ่มคนที่นั่งอยู่ข้างกองไฟตรงกลางห้องถามขึ้น

ความระส่ำระส่ายในรัฐฉินนั้นมีอิทธิพลต่อการค้าขายอย่างมาก สำหรับพวกเขาแล้วมันเป็นทั้งวิกฤตและโอกาสทางการค้า

มีคนพูดออกมาอย่างเด็ดขาด “ต้องล้มล้างอยู่แล้ว พวกเจ้าดูสิ ตั้งแต่ที่จวินองค์ก่อนเสด็จสวรรคต ซางจวินถูกสังหาร แม้แต่กองกำลังหนึ่งเดียวยังถูกถอนรากถอนโคน จวินองค์ใหม่ยังเยาว์ กลัวว่าพวกตระกูลเก่าแก่จะฉวยโอกาสช่วงที่อำนาจอธิปไตยยังไม่มั่นคงล้มล้างกฎหมายใหม่ในคราเดียว”

ทุกคนราวกับกำลังครุ่นคิด คนนั้นเสริมต่อ “เห็นว่าจวินองค์ใหม่เป็นคนสนับสนุนการสังหารซางจวิน ข้าว่าก็น่าเชื่อถือได้ คิดดูสิตอนที่จวินองค์ใหม่ยังเป็นองค์ชาย องค์ชายกงจื่อเฉียน[1]ถูกทรมานเพราะละเมิดกฎหมายใหม่ นี่เป็นการตบหน้าองค์ชายเข้าอย่างจัง จะมิให้เคียดแค้นได้เยี่ยงไร? และองค์ชายก็ถูกเนรเทศด้วยเหตุนี้ ความแค้นใหญ่หลวงเช่นนี้ ลูกผู้ชายกระหายเลือดคนไหนบ้างที่ไม่คิดแก้แค้น?”

“แต่ข้าว่าไม่ใช่” ชายหนุ่มผู้หนึ่งคัดค้าน

ทุกคนต่างหันมองเขา ชายหนุ่มกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าทุกท่านถูกพายุหิมะปิดกั้น จึงไม่ทราบเรื่องภายในเสียนหยาง กงจื่อเฉียนถูกคุมขังก็เพราะเป็นราชโองการของจวินองค์ใหม่”

“จริงหรือ? เพราะเหตุใด?” มีคนถามขึ้นทันที

……………………………

[1] กงจื่อเฉียน (ไม่ทราบวันเกิดและวันเสียชีวิต) แซ่อิ๋ง นามเฉียน เป็นองค์ชายในยุคสมัยจั้นกั๋ว พี่ชายคนโตของฉินเซี่ยวกงหรืออิ๋งฉวีเหลียง และเป็นเสด็จลุงของ

อิ๋งซื่อ ต่อมาเพราะทำผิดกฎหมายจึงถูกทรมานและถูกขังเป็นเวลาแปดปี