ความสำเร็จของเฟเรสตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มีเพียงแค่โยบาเนสกับอาจารย์สอนฟันดาบเท่านั้นที่ทราบ

ไม่สิ อาจารย์สอนฟันดาบเป็นคนที่มาจากการแนะนำของลอมบาร์เดียตั้งแต่แรก ดังนั้นรูลลักเองก็คงจะได้รับรายงานเรื่องนี้เช่นกัน

แต่นอกจากพวกเขาแล้ว เฟเรสก็ยังคงเป็นเจ้าชายที่ถูกลืมเหมือนเคย

แตกต่างกับอาสทาน่าที่ได้รับความสนใจจากพวกชนชั้นสูงในทุกย่างก้าว ราวกับถ่ายทอดสดทุกการเคลื่อนไหวอย่างสิ้นเชิง

พวกนั้นรู้เพียงแค่ว่าเฟเรสมีตัวตนอยู่เท่านั้น

“เฟเรส”

เฟเรสวางส้อมกับมีดลงเมื่อได้ยินเสียงเรียกของโยบาเนส

“งานเลี้ยงประจำอาณาจักรครั้งนี้ เจ้าจงเข้าร่วมด้วย”

นัยน์ตาสีแดงของเฟเรสมององค์จักรพรรดิด้วยความสงสัย

โยบาเนสมองนัยน์ตาคู่นั้นในขณะเดียวกันก็คิดว่ามารดาของเฟเรสที่ตนจำหน้าไม่ได้เสียแล้วนางนั้น มีนัยน์ตาสีแดงแบบนั้นด้วยหรือเปล่า

“…ไม่น่าจะเป็นความคิดที่ดีเสียเท่าไหร่กระมังพ่ะย่ะค่ะ”

สิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมาหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง กลับเป็นคำพูดสุภาพ แต่มันเป็นคำปฏิเสธที่ราบเรียบเหลือเกิน

โยบาเนสตื่นตกใจ ตนไม่เคยคิดเลยว่าเฟเรสจะกล้าขนาด ‘ปฏิเสธ’ รับสั่งของพระองค์

ในเมื่อที่ผ่านมาต้องใช้ชีวิตหลบซ่อนอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีใครพบเห็น เขานึกว่าเด็กคนนี้จะดีใจเสียอีกที่ได้มีโอกาสในการเผยโฉมออกสู่สังคมเสียที

แต่ใบหน้าของเฟเรสกลับไม่มีความต้องการที่ว่านั่นเลยแม้แต่น้อย

ทั้งยังมีสีหน้ารำคาญใจอีกด้วย

“มันเป็นงานที่เจ้าจะได้รับการยอมรับในฐานะเจ้าชายลำดับที่สอง”

โยบาเนสกล่าวเตือนเป็นครั้งสุดท้าย

“จำเป็นต้องยอมรับด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ”

“…ว่าไงนะ”

ถึงแม้จะถามกลับไป แต่เฟเรสก็ไม่คิดที่จะอธิบายอะไรเพิ่มเติม เขาปิดปากแน่นอย่างดื้อรั้น

จักรพรรดิเหลือบมองภาพนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพูดพึมพำกับตัวเอง

“เจ้านี่มัน ช่างเหมือนกับข้าเสียจริง”

ชั่วขณะความไม่พอใจที่ไม่อาจเก็บซ่อนเอาไว้ได้พาดผ่านอยู่ข้างในนัยน์ตาของเฟเรส แต่โยบาเนสที่มัวแต่ตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเองไม่ทันได้สังเกตเห็น พระองค์ยังคงกล่าวต่อไปเรื่อยๆ

“ใช่แล้ว ต่อให้ขุนนางพวกนั้นไม่ให้การยอมรับ อย่างไรเจ้าก็เป็นสายเลือดของข้า เป็นเจ้าชายลำดับที่สองของอาณาจักรแลมบลูแห่งนี้”

‘การยอมรับ’ ที่เฟเรสพูดถึง มันไม่ใช่การยอมรับแค่เฉพาะจากขุนนางพวกนั้นเหมือนอย่างที่โยบาเนสเข้าใจ

มันมีอีกความหมายว่า เขาจำเป็นต้องได้รับการยอมรับจากองค์จักรพรรดิด้วยหรือไง

ว่ากันตามตรง องค์จักรพรรดิเองก็ไม่ได้สนใจว่าเฟเรสจะเป็นหรือจะตายมาสามปีแล้วไม่ใช่หรือ

เมื่อก่อนก็เพียงแค่โยนเฟเรสให้จักรพรรดินี คาดหวังอยากให้เขาตาย บางทีจักรพรรดิเองก็คงหวังอยากให้ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในค่ำคืนเดียวหายไปเช่นนั้นก็เป็นได้

แต่ดูเหมือนโยบาเนสจะเข้าใจคำพูดนั้นไปคนละความหมาย

“เรื่องนั้น…”

เฟเรสตั้งใจจะแก้ไขความเข้าใจผิด แต่องค์จักรพรรดิกลับพูดขัดเอาไว้

“แต่จำเป็นต้องให้ขุนนางพวกนั้นได้รับรู้เหมือนกัน ว่าเจ้าชายที่ได้รับการยอมรับจากข้าผู้เป็นจักรพรรดิ ไม่ได้มีแค่อาสทาน่าคนเดียว”

อาสทาน่า

ชื่อของเจ้าชายลำดับที่หนึ่งทำให้แววตาของเฟเรสเปลี่ยนไปในทันที

โยบาเนสสังเกตเห็นแววตาคู่นั้นจึงยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย

“ใช่แล้ว เจ้าเองก็คงจะเห็นด้วยในเรื่องนั้นสินะ”

อันที่จริงเพื่อผลประโยชน์ของตัวเฟเรสเอง การซ่อนเขาต่อไปแบบนี้อีกหลายปีอาจจะดีกว่าก็ได้

อำนาจในการขวางอังเกนัส ตระกูลฝ่ายมารดาที่อาสทาน่าครอบครองเอาไว้นั้น เฟเรสยังคงไม่อาจคว้ามันไว้ได้

เด็กคนนี้อาจจะมีรูลลัก ลอมบาร์เดียเป็นเหมือนผู้ปกครองก็จริง แต่เรื่องนั้นก็เป็นเพียงแค่ผลพลอยได้จากข้อตกลงระหว่างรูลลักกับจักรพรรดิเท่านั้น

ดังนั้นการแอบสร้างอำนาจอย่างลับๆ แบบนี้ย่อมต้องดีกว่า

แต่นั่นก็เป็นหนทางเพื่อตัวเฟเรสเอง

ไม่ใช่หนทางเพื่อโยบาเนส

“งานเลี้ยงประจำอาณาจักรมีความหมายพิเศษในหลายๆ เรื่องมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว”

เมื่อไม่นานมานี้ ตระกูลอังเกนัสได้ถวายทองคำแท่งให้เขาสิบหีบ

อังเกนัสทำแบบนั้นก็เพื่อประเมินน้ำหนักตัวตนของเฟเรส และตั้งใจแสดงออกเพื่อให้พวกเขาดูดีในสายตาของโยบาเนส

หากเฟเรสปรากฏตัวขึ้นในงานเลี้ยงประจำอาณาจักรครั้งนี้ อังเกนัสย่อมต้องใส่ใจในเรื่องนี้แน่

มากยิ่งกว่าทองคำแค่สิบหีบ

“ปีนี้ยิ่งสำคัญมากเข้าไปใหญ่ แคลอฮัน ลอมบาร์เดียเองก็จะเข้าวังเพื่อรับเหรียญรางวัลยกย่อง พวกชนชั้นสูงที่เข้าร่วมงานเลี้ยงในปีนี้เองก็มีมากกว่าปีอื่นๆ เป็นเท่าตัว…”

“จะเข้าร่วมพ่ะย่ะค่ะ”

จู่ๆ เฟเรสก็พูดขึ้น

จนถึงเมื่อครู่นี้ยังหน้าบูดบึ้งอยู่เลย ตอนนี้นัยน์ตากลับเป็นประกายเสียแล้ว

‘คงจะเริ่มโลภขึ้นมาบ้างแล้วสินะ’

โยบาเนสพยักหน้าพลางใช้ผ้าเช็ดริมฝีปาก

เพราะโยบาเนสไม่มีวันคิดได้เลยว่า การที่ท่าทางของเฟเรสเปลี่ยนไปนั่น ที่แท้จริงแล้วมันเป็นเพราะชื่อ ‘แคลอฮัน ลอมบาร์เดีย’ ต่างหาก ไม่ใช่โลภอยากแข่งขันกับใครแต่อย่างใด

วันงานเลี้ยงเฉลิมฉลองวันชาติประจำอาณาจักร

ฟีเรนเทียได้รับความช่วยเหลือจากลอรีลเตรียมตัวจนเสร็จเรียบร้อย

“ใช่แล้ว นี่แหละ”

เธอยืนหมุนตัวไปมาอยู่หน้ากระจก ยิ้มด้วยความพอใจ

“ว้าว คุณหนูน่ารักมากเลยค่ะ!”

“ใช่มั้ยล่ะ”

ปกติแล้วเด็กๆ วัยประมาณเธอจะไม่ค่อยชอบใจกันหรอกเวลาพวกผู้ใหญ่บอกว่า ‘น่ารักจัง’ น่ะ

แต่ไม่ว่าเด็กพวกนั้นจะคิดยังไง การดูน่ารักในสายตาพวกผู้ใหญ่ย่อมเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

เพราะคนที่ซื้อเสื้อผ้าเด็กก็คือผู้ใหญ่พวกนั้นยังไงล่ะ

เพื่อโปรโมตเสื้อผ้าเด็กที่เปิดตัวขึ้นใหม่คราวนี้ เธอเลือกชุดเดรสประณีตสีน้ำตาลมันช่วยทำให้นัยน์ตาสีเขียวของเธอดูเด่นขึ้นมา ทั้งยังดูสุภาพเรียบร้อย เป็นสไตล์ที่พวกผู้ใหญ่ชอบให้บุตรหลานของตัวเองสวมใส่

แต่มันไม่ได้มีแค่นั้นหรอก

เธอสวมเสื้อเชิ้ตผ้าไหมสีครีมเอาไว้ข้างในเดรสสีเรียบ ตามชายชุดเดรสถูกเย็บประดับด้วยผ้าสีเขียวปักลายดอกไม้ด้วยไหมสีทองประดับมรกตสีเขียวไว้บนเดรสสีน้ำตาลราบเรียบ ที่เอวใช้เข็มขัดที่ทำจากมุกสีขาวเม็ดเท่าข้อนิ้วพันรัดเอาไว้ ช่วยให้เดรสดูมีลูกเล่นมากขึ้น

นอกจากนั้นยังนำผ้าลูกไม้สีขาวมาเย็บติดไว้ที่ปลายแขนเสื้อ ตอนนี้มันจึงกลายเป็นเดรสตัวหรูที่ดูงดงามมากเสียจนไม่อาจคิดได้ว่ามันเป็นแค่ชุดสำเร็จรูปเท่านั้น

ถึงแม้เริ่มต้นจะคล้ายกันกับเสื้อผ้าของคนอื่นๆ แต่เสน่ห์ของเสื้อผ้าสำเร็จรูปแบบนี้คือการที่พวกเขาสามารถเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ให้ดูแตกต่างจากคนอื่น ได้ด้วยการแสดงให้เห็นถึงเซ้นส์ด้านแฟชั่นของแต่ละคน กับเครื่องประดับที่ต้องการ

แน่นอนว่าจุดนี้เป็นเพราะเธอรู้ดีว่า ทุกคนต่างก็ทราบว่าเดิมทีเสื้อผ้าสำเร็จรูปเป็นของเรียบง่ายน่าเบื่อหน่าย

และมันจะทำให้คนอื่นๆ ได้สังเกตเห็นว่า เธอใช้เครื่องประดับราคาแพงแค่ไหน และเปลี่ยนมันเป็นดีไซน์ที่สวยงามโดยแสดงให้เห็นถึงรสนิยมด้านความงามออกมาได้ดีแค่ไหน

มันเป็นตัวการที่เหมาะสมในการนำมาใช้กระตุ้นความรู้สึกอยากเอาชนะของพวกชนชั้นสูง ที่แสนจะชื่นชอบในการใช้เงิน ใช้เวลา ลงทุนไปกับการโอ้อวดว่าตัวเองดีกว่าคนอื่นมากทีเดียวละ