“เมื่อเช้านี้ท่านขุนศึกและแม่ทัพโอวหยางได้รับจดหมายลับจากองค์ชายรัชทายาท องค์ชายตรัสว่ามีข้อมูลว่าพวกเจ้าทั้งสองอยู่ที่ใด ด้วยเหตุนี้ท่านขุนศึกและแม่ทัพโอวหยางจึงไปที่วังขององค์ชายรัชทายาทตอนนี้” หลัวซานเหนียนพูดด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ

หยางเฉินและโอวหยางเสี่ยวอี้เข้าใจสิ่งที่หลัวซานเหนียนพูดตามเนื้อผ้าเท่านั้น แต่ไม่ได้เข้าใจเรื่องราวที่อยู่เบื้องหลัง

แต่ปู้ฟางรู้สิ่งที่เกิดขึ้นหลังฉากมาบ้าง กระนั้นชายหนุ่มก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้แต่อย่างใด อันที่จริงแล้วใครจะขึ้นมาเป็นจักรพรรดิแทนนั้นก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตเขาแตกต่างไปแม้แต่น้อย เนื่องจากเขาเพียงต้องการเปิดร้านอาหารในนครหลวงต่อไปเท่านั้น ตราบใดที่จักรพรรดิองค์ใหม่ไม่มายุ่งวุ่นวายกับเขาก็ไม่เป็นไร

“เอาล่ะ ในเมื่อไอ้หมอนั่นโดนเจ้าไล่เปิดเปิงไปแล้ว เจ้าก็พาสองคนนี้ไปส่งบ้านด้วยก็แล้วกัน” ปู้ฟางหันมาพูดกับหลัวซานเหนียน

หลัวซานเหนียนชะงักไปครู่หนึ่ง นางมองปู้ฟางแล้วพยักหน้า “ข้าได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของเถ้าแก่ปู้มานานแล้ว แต่เพิ่งได้มีโอกาสเจอท่านตัวเป็นๆ เสียที เจ้าของร้านอาหารที่เป็นที่โจษจันไปทั่วนครตอนนี้ย่อมไม่ใช่ปุถุชนคนธรรมดาแน่นอน”

ความจริงที่ว่าปู้ฟางสามารถโจมตีเท้าของผู้ฝึกตนระดับหกขั้นจักรพรรดิยุทธการได้โดยใช้มีดทำครัวนั้น แปลว่าฝีไม้ลายมือในการต่อสู้ของเขาย่อมต้องยอดเยี่ยม ผู้ฝึกตนขั้นจักรพรรดิยุทธการจัดว่าเป็นระดับแนวหน้าของจักรวรรดิวายุแผ่ว การที่เกราะป้องกันของผู้ฝึกตนระดับนี้ถูกทำลายด้วยมีดทำครัวของผู้ฝึกตนขั้นจิตยุทธการ เป็นเรื่องที่หลัวซานเหนียนไม่เคยคาดคิดว่าจะเกิดขึ้นมาก่อน

“ข้าเป็นสหายของเยียนอวี่ ได้ยินเรื่องราวของเถ้าแก่ปู้จากนางมามากทีเดียว ตัวข้าเองอยากลองมาที่ร้านของเถ้าแก่ปู้หลายครั้งแล้ว เพื่อชิมอาหารที่เยียนอวี่ชมนักชมหนาว่าอร่อยเป็นที่สุด เอาไว้คราวหน้าสบโอกาสข้าจะมาแน่นอน” หลัวซานเหนียนพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ

“ได้ ยินดีต้อนรับเสมอ” ปู้ฟางพยักหน้า สตรีหน้าอกใหญ่คนนี้รู้จักเซียวเยียนอวี่นี่เอง ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดนางจึงทักทายเขาเหมือนรู้จักกันมานาน

หลัวซานเหนียนจับมือโอวหยางเสี่ยวอี้และหยางเฉินเอาไว้ จากนั้นก็บอกลาปู้ฟางแล้วจากไปพร้อมเด็กชายและเด็กหญิง ดูเหมือนว่าตอนที่ส่งจดหมายลับไปให้ องค์ชายรัชทายาทจะวางแผนใช้ข้อมูลเรื่องที่ทั้งสองถูกจับตัวไว้ในการโน้มน้าวให้ตระกูลโอวหยางและตระกูลหยางหันมาเข้าพวกกับเขา แรงหนุนจากสองตระกูลใหญ่นี้จะทำให้โอกาสในการขึ้นครองราชบัลลังก์ขององค์ชายรัชทายาทมั่นคงขึ้นอีก

ทว่าในความเป็นจริง โอวหยางเสี่ยวอี้และหยางเฉินมิได้อยู่ในกำมือขององค์ชายรัชทายาทแต่อย่างใด หรือถ้าจะพูดให้ถูกคือ ทั้งสองหนีออกมาได้โดยไม่คาดคิดต่างหาก

ด้วยเหตุนี้สถานการณ์จึงยังจัดว่าคลุมเครือนัก

ลูกจ้างร้านปักษาเพลิงนิรันดร์เก็บโต๊ะรวมถึงวัตถุดิบที่ใช้ในการประลองฝีมือกลับไปแล้ว เฉียนเป่าเป็นผู้นำเต้าหู้บุปผาพันชั้นกลับไปเองอย่างระมัดระวังสุดขีด ผลงานชิ้นนี้จัดได้ว่าเป็นผลงานขั้นสูงสุดของทักษะการใช้มีด และยังมีการใช้ทักษะการสลักบางจุดด้วย

ทางเข้าตรอกกลับมาโล่งเป็นปกติอีกครั้ง แต่ข่าวความสามารถในการใช้มีดที่ยิ่งใหญ่น่าอัศจรรย์ใจราวเทพเจ้าของปู้ฟางได้แพร่กระจายไปทั่วนครเป็นที่เรียบร้อย พ่อครัวจากร้านปักษาเพลิงนิรันดร์ถูกเถ้าแก่ร้านใจไม้ไส้ระกำบดขยี้เสียไม่เหลือซาก แน่นอนว่านี่เป็นการป่าวประกาศเกียรติคุณของร้านเขาครั้งใหญ่ จนทำให้มีฝูงชนขนาดย่อมๆ เดินตามปู้ฟางกลับมาที่ร้าน โดยหวังว่าจะได้ชมฝีมือการทำอาหารของเขาบ้าง

ปู้ฟางเดินกลับมาที่ร้าน แต่กลับเริ่มปิดทางเข้าด้วยไม้กระดาน เมินฝูงชนที่รวมตัวกันอยู่หน้าร้านโดยสิ้นเชิง

“เถ้าแก่ปู้ ทำไมปิดร้านเร็วจังเล่า” หนึ่งในนั้นเอ่ยถามด้วยความงุนงง พวกเขาได้ชื่นชมความสามารถของปู้ฟางไปเมื่อครู่นี้ และตั้งใจจะมากินอาหารที่ร้าน เนื่องจากไหนๆ ก็อยู่ใกล้อยู่แล้ว กลุ่มผู้ชมไม่ได้คาดคิดเลยว่าจะโดนปิดร้านใส่หน้าเช่นนี้

“วันนี้หมดเวลาเปิดร้านแล้ว หากอยากกินอาหารฝีมือข้าก็มาต่อแถวพรุ่งนี้แต่เช้าก็แล้วกัน” ปู้ฟางพูดหน้านิ่ง เพิกเฉยต่อฝูงชนภายนอกร้านที่เริ่มมีสีหน้าไม่พอใจ

“ช่างไร้ตรรกะเสียจริง พวกเราไม่ได้มาขอกินโดยไม่จ่ายเงินเสียหน่อย ทำไมไม่ให้เข้าไปเล่า”

“เจ้าไม่ได้เปิดร้านเพราะอยากได้เงินรึ นี่เป็นโอกาสทองในการทำเงินเลยนะ โง่หรือเปล่าเนี่ย”

เสียงฝูงชนบ่นดังระงมไปทั่วตรอก การตัดสินใจปิดร้านของปู้ฟางทำให้พวกเขาโกรธเคือง

ปู้ฟางยืนพิงประตู มองไปที่ฝูงชนด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ เขายังไม่รีบตอบกลับเสียงก่นด่าของมหาชน ทำเพียงมองคนที่อยู่นอกร้านด้วยสายตานิ่งเฉยเท่านั้น

ชายหนุ่มรอจนทุกคนด่าเสร็จจนเหนื่อย จึงลุกขึ้นยืน หยิบไม้กระดานแผ่นสุดท้ายขึ้นมาแล้วเอ่ย “ข้าบอกไปแล้วว่าวันนี้หมดเวลาเปิดร้านแล้ว หากอยากกินก็กลับมาเข้าแถวใหม่พรุ่งนี้ ร้านนี้ไม่ขายหลังเวลาเปิดร้าน”

พอพูดจบเขาก็ปิดไม้กระดานแผ่นสุดท้ายเสียงดังตึงทันที

ทุกคนชะงักค้าง มีเถ้าแก่ร้านที่หัวแข็งบ้าบอพิลึกพิลั่นเช่นนี้อยู่ในโลกด้วยรึ เจ้าของร้านที่ไม่สนใจจะหาเงินเนี่ยนะ!

“ถุย! ร้านบ้าบออะไรกันรกโลกสิ้นดี! คิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่มาจากไหน! ข้าไม่กงไม่กินมันแล้ว!” ลูกค้าคนหนึ่งถ่มน้ำลายลงบนพื้น จากนั้นก็หันหลังกลับเตรียมตัวจากไป

แต่ก่อนที่เขาจะได้ก้าวออกไปแม้แต่ก้าวเดียว ชายผู้นั้นก็รู้สึกว่ามีแรงกดมหาศาลโถมทับลงมาบนร่างของตน เขาคะมำคว่ำลงกับพื้น หน้าทิ่มลงบนดินจิ้มจุดที่ตัวเองถุยน้ำลายลงไปเต็มๆ จากนั้นก็ไถไปมาบนบริเวณนั้นเล็กน้อย แรงกดดันหายไปตอนที่พื้นดินหน้าร้านสะอาดปราศจากคราบน้ำลายอีกครั้ง

ใบหน้าของชายผู้นั้นดูหวาดหวั่นขนหัวแทบลุกขณะยันตัวกลับขึ้นมายืนด้วยท่าทางน่าสมเพช จากนั้นเขาก็วิ่งหนีหัวซุกหัวซุนออกจากตรอกไป ในตรอกนี้มีพลังงานบางอย่างอยู่อย่างแน่นอน!

คนอื่นๆ ไม่ได้รู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลนั้น จึงได้แต่มองชายผู้นั้นวิ่งหนีกระเซอะกระเซิงจากไปเหมือนคนบ้าด้วยสายตางุนงง

ด้วยความที่ประตูร้านปิดสนิทเรียบร้อยแล้ว กลุ่มฝูงชนจึงไม่ได้เซ้าซี้อีก ต่างพากันเดินออกจากตรอกไปทีละคนสองคน สุดท้ายตรอกเล็กๆ ที่แสนห่างไกลก็กลับมาสงบสุขอีกครั้ง

เจ้าดำที่นอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้นหน้าร้านกลอกตาอย่างเกียจคร้าน มันขยับหัวจัดท่า ก่อนจะนอนหลับอุตุไปอีกครั้ง ไอ้หมอนั่นกล้าดีอย่างไรมาถุยน้ำลายลงบนพื้นหน้าร้าน… เจ้าดำไม่มีทางปล่อยให้หมอนั่นลอยหน้าจากไปได้อย่างแน่นอน หากไม่เช็ดพื้นให้สะอาดเอี่ยมเสียก่อน

ปู้ฟางถอดเสื้อกันหนาวออกทันทีที่กลับเข้ามาในร้าน เขายืดเส้นยืดสายก่อนเดินกลับเข้าห้องครัวไป

ระบบมอบรางวัลค่าทำภารกิจสำเร็จให้เขาเรียบร้อยแล้ว แต่ผิดคาดตรงที่ปู้ฟางกลับไม่ได้สนใจมันมากนัก ความจริงที่ว่าระบบได้มอบภารกิจล้างแค้นให้เขาในคราวนี้ทำให้ปู้ฟางรู้สึกขบขันขึ้นมา ชายหนุ่มไม่คาดคิดเลยว่าระบบเองก็อาละวาดเป็นกับเขาเหมือนกัน

พอกลับเข้ามาในครัว ไอสีเขียวก็กลับมาหมุนวนรอบมือเขาอีกครั้ง มีดทำครัวกระดูกมังกรทองที่คมกริบจนน่ากลัวปรากฏขึ้นในมือของชายหนุ่ม

มีดทำครัวกระดูกมังกรทองที่เกือบฟันเท้าผู้ฝึกตนระดับหกขั้นจักรพรรดิยุทธการจนแบะ ยังคงมีหน้าตาแสนธรรมดาเหมือนเดิม บนใบมีดไม่มีทั้งฝุ่นและเลือดติดอยู่แม้แต่น้อย

แต่ปู้ฟางก็ยังล้างมีดด้วยน้ำจากบ่อน้ำพุที่ระบบจัดหามาให้ตามความเคยชินอยู่ดี ในฐานะพ่อครัว เขาย้ำคิดย้ำทำเรื่องความสะอาดเป็นอันมาก

หลังจากที่ทำความสะอาดมีดทำครัวกระดูกมังกรทองเสร็จ ปู้ฟางก็โบกมือเปลี่ยนมีดให้เป็นไอสีเขียว ที่พุ่งกลับเข้าไปในสัญลักษณ์ที่ข้อมือของเขาตามเดิม จากนั้นชายหนุ่มก็ยืนตาลอยจ้องเขียงตรงหน้าตนเองอยู่สักพัก

วันนี้ปู้ฟางไม่อยากทำอาหารที่มีอยู่ในรายการร้าน เขารู้สึกเบื่อที่จะต้องทำอะไรซ้ำเดิมทุกวัน ซึ่งก็เป็นไปธรรมชาติของมนุษย์ที่ไม่ชอบความซ้ำซากจำเจ

เขาคิดว่าจะกลับไปนอนที่ห้อง แต่เวลานี้ยังเร็วเกินไปที่จะล้มตัวลงนอน

ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงยืนงุนงงละล้าละลังอยู่ครู่หนึ่ง

ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็หรี่เล็กลง ปู้ฟางหยิบเนื้อวัวมังกรพเนจรออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บที่ระบบมอบให้ชิ้นหนึ่ง เนื้อส่วนที่เขานำออกมาเป็นเนื้อน่องซึ่งอุดมไปด้วยพลังปราณเข้มข้นจำนวนมาก

ปู้ฟางถูคางขณะมองน่องวัวตรงหน้า จู่ๆ เขาก็เกิดความรู้สึกอยากทำอาหารสูตรของตนเองขึ้นมา แทนที่จะทำอาหารในรายการตามปกติ

การคิดค้นอาหารจานใหม่เป็นสิ่งที่พ่อครัวแม่ครัวทุกคนให้ความสนใจ ปู้ฟางเองก็เช่นกัน

วัวมังกรพเนจรเป็นอสูรเวทระดับเจ็ด เนื้อของมันแข็งมากจนมีดทำครัวธรรมดาตัดไม่ขาด ด้วยเหตุนี้ปู้ฟางจึงต้องเรียกมีดทำครัวกระดูกมังกรทองออกมาอีกครั้ง และเปลี่ยนเนื้อวัวแข็งโป๊กให้กลายเป็นเนื้อสับอย่างรวดเร็ว

ชายหนุ่มมองเนื้อสับตรงหน้าแล้วจู่ๆ ก็นึกถึงอาหารที่อร่อยมากจานหนึ่งขึ้นมาได้ แต่การจะทำอาหารจานนั้นได้เขาต้องเตรียมวัตถุดิบหลายอย่าง และขั้นตอนการเตรียมก็ยุ่งยากเอาการ

แต่เมื่อนึกถึงรสชาติของอาหารจานนั้น จิตใจที่เหนื่อยอ่อนของปู้ฟางก็พลันกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา

เขาหยิบลำไส้วัวมังกรพเนจรออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บ แล้วเริ่มล้างเลือดออกจากลำไส้ ชายหนุ่มใช้น้ำจากบ่อน้ำพุที่ระบบจัดหามาให้ในการล้าง เพื่อให้ลำไส้กักเก็บพลังปราณเอาไว้ได้เต็มเปี่ยมอย่างที่มันควรจะเป็น

หลังจากที่ล้างลำไส้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ปู้ฟางก็เริ่มลอกชั้นเยื่อเมือกที่ภายนอกสุดของลำไส้ออก

ชั้นเยื่อเมือกของลำไส้เป็นส่วนประกอบสำคัญของอาหารจานที่ปู้ฟางกำลังจะทำ

……………………