บทที่ 125 ควบคุมตัวไปกักขังที่ตำหนักคุนเหอ

ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง

ต่อมาหมอหลวงมาถึง อาจเป็นเพราะในวังหลวงไม่เคยพบเห็นสภาพการตายที่น่าอเนจอนาถเช่นจ้าวเฟยมาก่อน ขณะที่ทำการตรวจสอบศพมือของหมอหลวงสั่นสะท้าน ต่อมาจึงสรุปออกมาว่า “จ้าวเฟยเหนียงเหนียงต้องพิษจนตายพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่เคยพบยาพิษร้ายแรงเช่นนี้มาก่อนและสภาพการตายจากการได้รับพิษน่ากลัวเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ”

ไทเฮากล่าว “นี่ยังต้องพูดอันใดอีก เป็นเจ้าวางยาพิษนางแน่แล้ว บนพื้นล้วนมีเม็ดยาที่ตกหล่นอยู่ทุกหนทุกแห่ง นี่ก็คือหลักฐาน!”

หลินชิงเวยกล่าว “ท่านมีหลักฐานอะไรมาพิสูจน์ว่านางต้องพิษ? จุดชีพจรอิ่นถัง[1]ดำคล้ำหรือไม่ สีของริมฝีปากและปลายเล็บมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่? ท่านใช้เข็มเงินทดสอบเลือดของนางได้ ดูว่าในเลือดมีพิษปะปนอยู่หรือไม่?”

หมอหลวงได้ยินเช่นนั้นจึงหยิบเข็มเงินออกมามาทดลองดู ที่น่าประหลาดก็คือเข็มเงินไม่เปลี่ยนเป็นสีดำ กระทั่งเลือดสีดำคล้ำในปากของจ้าวเฟยก็ไม่มีพิษใดๆ ปะปนอยู่

หลินชิงเวยกล่าวอีกว่า “ไทเฮาตรัสว่ายาที่ตกหล่นอยู่บนพื้นล้วนเป็นยาพิษ หม่อมฉันอยากจะบอกว่านั่นเป็นยาถอนพิษ หมอหลวงไปหยิบมาดมดูเพื่อแยะแยะส่วนผสมของยาได้ ดูว่านั่นเป็นยาพิษหรือไม่”

หมอหลวงเชื่อฟังอย่างยิ่ง ในเรื่องทางการแพทย์แล้วนั้น สำหรับเขาแล้วคำพูดของหลินชิงเวยน่าเชื่อถือกว่าคำพูดของไทเฮา ดังนั้นหมอหลวงจึงหยิบยาลูกกลอนนั้นมาดมกลิ่นและพูดว่า “โอสถเหล่านี้มีกลิ่นหอมสดชื่นบางเบา ส่วนผสมของโอสถล้วนล้ำค่าและมีราคายิ่ง มิใช่ยาพิษที่นำมาทำร้ายคนให้ถึงแก่ชีวิตพะยะค่ะ”

เซียวจิ่นจึงเอ่ยขึ้นทันควันว่า “เจิ้นคิดว่าชิงเวยไม่ใช่ฆาตรกรผู้สังหารคน นางไม่มีทางหลอกล่อจ้าวเฟยมาถึงตำหนักฉางเหยี่ยน เช่นนั้นแล้วเท่ากับเป็นการรนหาที่ตายผิดธรรมดาเกินไป น่าจะมีคนต้องการทำร้ายหลินชิงเวยแต่ทำไม่สำเร็จ ต่อมาจึงให้คนนำเรื่องการตายของเชียนเหอมาใส่ความตำหนักฉางเหยี่ยน บัดนี้มีการตายของจ้าวเฟยอีก ความขัดแย้งทั้งหลายล้วนพุ่งเป้ามาที่ชิงเวย เสด็จแม่คงต้องให้เวลาเจิ้นสักเล็กน้อย เจิ้นจะต้องตรวจสอบเรื่องนี้จะความจริงปรากฏขึ้นแน่นอน”

ไทเฮาดึงสายตากลับมามองเซียวจิ่น ทว่าเซียวจิ่นกลับเงยหน้าขึ้นมองนางตรงๆ เช่นกัน

กระบอกตาของไทเฮาแดงเรื่อ นางหรี่ตาลงราวกับคิดไม่ถึงว่าเซียวจิ่นจะใช้อำนาจของฮ่องเต้ฉีกหน้านางต่อหน้าธารกำนัล นางกล่าวว่า “ความหมายของฮ่องเต้คือเปิ่นกงเข้าใจหลินซื่อผิดหรือไร? ฟังคำพูดของฮ่องเต้แล้ว จ้าวเฟยมิใช่ตายไปเปล่าๆ ปลี้ๆ หรอกหรือ?”

เซียวจิ่นกล่าว “ขอเพียงความจริงปรากฏ ฆาตรกรถูกจับกุมตัว เจิ้นไม่ไร้เหตุผลแน่นอน จะต้องจับกุมตัวฆาตรกรออกมาลงโทษเพื่อเป็นการปลอบประโลมวิญญาณของจ้าวเฟยในสรวงสวรรค์ แต่ก่อนหน้าที่เรื่องนี้จะตรวจสอบจนกระจ่างแจ้ง เสด็จแม่กลับต้องการใช้ทัณฑ์ทรมานกับชิงเวย ไม่คิดว่าเป็นเรื่องที่รีบร้อนเกินไปหรือ?”

บรรยากาศในขณะนั้นเข้าสู่ความตึงเครียดทันที ในใจไทเฮาไม่ยินยอมแต่มิอาจต่อต้านเพื่อเอาชนะฮ่องเต้ได้ เพื่อเป็นการหาทางลงให้กับตนเองนางจึงหันไปมองเซียวเยี่ยน ไม่ว่าจะเป็นสีหน้าท่าทางหรือน้ำเสียงล้วนอ่อนโยนนุ่มนวลลงมาไม่น้อย “เรื่องนี้เซ่อเจิ้งอ๋องคิดเห็นอย่างไร?”

เซียวเยี่ยนหันไปมองศพของจ้าวเฟยแล้วกล่าวด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง “ความจริงเรื่องนี้เป็นอย่างไรยังคงต้องรอการตรวจสอบ แต่ในยามนี้ก่อนหน้าที่จ้าวเฟยจะตาย หลินเจาอี๋เป็นผู้สัมผัสใกล้ชิดกับจ้าวเฟยเพียงคนเดียว จึงเป็นผู้ต้องสงสัยคนแรก ระหว่างรอให้เรื่องนี้ถูกตรวจสอบจนกระจ่างแจ้งให้ควบคุมตัวหลินเจาอี๋เอาไว้ก่อนเถิด”

เซียวเยี่ยนพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย สีหน้าเย็นชา

เซียวจิ่นคิดไม่ถึงเช่นกันว่าเขาจะพูดเช่นนี้จึงหันกลับไปมองหน้าเขา “เสด็จอา…”

ความขุ่นมัวบนใบหน้าของไทเฮาอันตรธานไปสิ้น นางเชิดคางมองไปทางหลินชิงเวย “เปิ่นกงคิดว่าความเห็นของเซ่อเจิ้งอ๋องมีเหตุผลยิ่ง ไม่สู้นำตัวหลินซื่อไปควบคุมไว้ที่ตำหนักคุนเหอของเปิ่นกงเพื่อรอคำตัดสิน”

เซียวเยี่ยนไม่ได้ปฏิเสธเช่นกัน เขาเพียงแต่พยักหน้า “เช่นนี้ก็ดี ต้องรบกวนไทเฮาแล้ว เพียงแต่ก่อนหน้าที่เรื่องนี้ยังไม่กระจ่างแจ้ง ขอไทเฮาอย่าได้ใช้ทัณฑ์ทรมานอีก”

ไทเฮาหันไปร้องฮึเสียงเย็นได้ความเคียดแค้นใส่หลินชิงเวยครั้งหนึ่ง “นั่นเป็นเรื่องแน่นอน เปิ่นกงยังต้องรอให้ความจริงปรากฏแล้วให้ฮ่องเต้และเซ่อเจิ้งอ๋องมากตัดสินโทษนางด้วยตนเอง เด็กๆ นำตัวไป”

จ้าวเฟยถูกหามออกไปจากตำหนักฉางเหยี่ยนเช่นกัน พิธีศพของนางถูกจัดขึ้นด้วยศักดิ์ฐานะของตำแหน่งเฟย

สายตาของทุกคนล้วนตกไปอยู่บนร่างของหลินชิงเวย เซียวจิ่นและเซียวเยี่ยนล้วนมีความคิดที่จะแยกซินหรูออกมา หากไทเฮายังถือสาซินหรูในเวลานี้จะเป็นการกระทำซึ่งไร้มโนธรรมที่ชัดเจนเกินไปจึงมิได้สั่งให้ขันทีจับกุมตัวซินหรูไปยังตำหนักคุนเหอด้วย

ซินหรูยืดเอวขึ้นตรงก้าวออกมายืนในเวลานี้เอง “พวกท่านจับข้าไปด้วยเถิด พี่สาวไปที่ใดข้าก็ไปที่นั่น”

หลินชิงเวยหันกลับมามองซินหรู เอ่ยพร้อมกับคิ้วที่ขมวดมุ่น “ซินหรู เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า เจ้าอยู่ที่นี่ของเจ้าไปเถิด”

ซินหรูยืนกราน “พี่สาวไปที่ใดข้าก็ไปที่นั่นเจ้าค่ะ ขอฝ่าบาทโปรดเมตตาประทานอนุญาต บ่าวจะได้เข้าไปดูแลพี่สาวเพคะ”

ไทเฮายินดีกับคำพูดเหล่านี้ยิ่ง “เด็กๆ จับนางคนชั้นต่ำนี้ไปด้วย”

เมื่อไทเฮาออกไป เซียวจิ่นยังคงพูดตามหลังว่า “เสด็จแม่ เจิ้นจะส่งคนไปเยี่ยมดูหลินเจาอี๋ที่ตำหนักคุนเหอทุกวัน เพื่อเป็นการรับรองว่านางมีการเคลื่อนไหวใดๆ หรือไม่”

ความหมายที่แอบแฝงอยู่ในคำพูดนี้ชัดเจนยิ่งนักว่า หากไทเฮากล้าแตะต้องหลินชิงเวย เขาจะรู้ได้อย่างรวดเร็ว

ไทเฮา “สุดแล้วแต่ฮ่องเต้เถิด”

หลังจากไทเฮาจากไป ตำหนักฉางเหยี่ยนพลันสงบเงียบลงมาในชั่วพริบตา ต่อมาเซียวเยี่ยนและเซียวจิ่นก็ออกจากที่นี่เช่นกัน ระหว่างทางกลับไปเซียวจิ่นเอ่ยขึ้นอย่างมิวางใจ “เสด็จอา เจิ้นยังคงไม่วางใจ หากไทเฮากระทำต่อชิงเวยเช่นครั้งก่อน เช่นนั้น…”

เซียวเยี่ยนกล่าว “ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย ทุกอย่างล้วนพูดอย่างกระจ่างแจ้งแล้ว ไทเฮายังไม่ถึงขั้นต้องการแตกหักกับฝ่าบาท” เดินไปสักครู่หนึ่งแล้วกล่าวอีกว่า “ครั้งต่อไปฝ่าบาทไม่ควรปฏิบัติต่อไทเฮาแข็งกร้าวเกินไปจะเป็นการดี”

เซียวจิ่นรู้เหตุผลข้อนี้เช่นกัน “ที่จริงเจิ้นก็ไม่อยากทำเช่นนี้ แต่ไทเฮารังแกข่มเหงคนเกินไป หากมิใช่พวกเราไปถึงเร็วก้าวหนึ่ง ยังไม่รู้ว่านางจะทำกับชิงเวยและซินหรูอย่างไร” เงียบไปครู่หนึ่งก็พูดอีกว่า “เสด็จอารู้ทั้งรู้ว่าไทเฮาเกลียดชังชิงเวย ซ้ำจ้าวเฟยยังเป็นคนของไทเฮา ยามนี้ตายไปแล้ว ไทเฮาเคียดแค้นที่มิอาจถลกหนังชิงเวยออกมาชั้นหนึ่งได้ เหตุใดเสด็จอายังเห็นด้วยกับไทเฮาเรื่องนำตัวชิงเวยไปควบคุมตัวกลับตำหนัก?”

เซียวเยี่ยนพูดเรียบว่า “เช่นนั้นจะเป็นการดีต่อนาง”

ผู้ใดจะรู้ว่าต่อไปจะเกิดเรื่องอันใดขึ้นอีก หลินชิงเวยอยู่ในตำหนักคุนเหอ มีคนเฝ้าไว้ย่อมต้องปลอดภัยกว่า

ในเมื่อเขาพูดเช่นนี้เซียวจิ่นจึงไม่ได้ถามอันใดให้มากความอีก

หลังจากหลินชิงเวยและซินหรูถูกควบคุมตัวไว้ในตำหนักคุนเหอกระทั่งถูกกักขังเอาไว้ เรือนมืดดำหลังเล็กในตำหนักคุนเหอมีมากมาย หลินชิงเวยจดจำไม่ได้ว่าครั้งนี้และครั้งก่อนเป็นสถานที่เดียวกันหรือไม่ ด้านนอกเรือนหลังเล็กมืดดำมีขันทีเฝ้าไว้อย่างแน่นหนา ทางหนึ่งเพื่อป้องกันมิให้เกิดเรื่องเช่นเดียวกับหรงหมัวมัวในครั้งก่อนขึ้นอีก อีกทางหนึ่งเพื่อป้องกันมิให้หลินชิงเวยหลบหนีไปได้

ยังมีคำพูดของเซ่อเจิ้งอ๋องที่พูดเอาไว้ ไทเฮาห้ามลงทัณฑ์ต่อหลินชิงเวยตามอำเภอใจ

ทันทีที่กลับมาถึงตำหนักคุนเหอ ไทเฮาก็ระเบิดโทสะที่เก็บอัดไว้ในใจ ขณะที่นางกำลังบันดาลโทสะอย่างเดือดดาลจะไม่ให้ข้ารับใช้คนอื่นได้เห็น นางพลิกคว่ำเครื่องประดับ เครื่องลายครามที่จัดวางอยู่ในตำหนักบรรเทาเมื่ออยู่ต่อหน้าหมัวมัวคนสนิทข้างกายเพียงไม่กี่คนเท่านั้น

หมัวมัวเกลี้ยกล่อม “เหนียงเหนียงระงับโทสะด้วยเพคะ!”

ไทเฮากล่าวอย่างคับแค้นใจ “จะให้เปิ่นกงระงับโทสะได้อย่างไรกัน! หลินซื่อตกอยู่ในมือของเปิ่นกงแล้วเชียว เปิ่นกงกลับแตะต้องนางไม่ได้! ฮ่องเต้แกร่งกล้าแล้วจริงๆ ยิ่งมายิ่งเอาใหญ่! ถึงกับกล้าเป็นปรปักษ์กับเปิ่นกงต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนั้น! ยังมีเซ่อเจิ้งอ๋อง! ถึงกับพูดจาแทนนาง!” มือทั้งคู่ของไทเฮาค้ำอยู่บนโต๊ะที่ปูด้วยผ้าไหม ปลายเล็บนั้นจิกลงบนขอบโต๊ะ พูดทั้งตาแดงก่ำว่า “บัดนี้หลินซื่อนางคนชั้นต่ำในสายตาของเขาเป็นคนพิเศษจริงๆ หรือไร?”

[1] คือตำแหน่งตรงกลางระหว่างคิ้วทั้งสอง หรือหว่างคิ้ว