ตอนที่ 249 หยิบมาเองโดยไม่ถาม นั่นเท่ากับขโมย / ตอนที่ 250 เป้าหมายสุดท้ายก็คือการแยกบ้าน

คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา

ตอนที่ 249 หยิบมาเองโดยไม่ถาม นั่นเท่ากับขโมย

หญิงชรานึกถึงคำพูดของหลิวซื่อก่อนหน้านี้ วันนี้ไป๋จื่อเรียกคนไปเก็บแตงดินในที่ดินของนางแล้ว

นั่นหมายความว่า แตงดินที่ไป๋จื่อปลูกสามารถเก็บเกี่ยวได้แล้ว แต่นางกลับไปเรียกผู้อื่นมารับประโยชน์จากตน ส่วนพวกเขาสกุลไป๋กลับได้แต่มองอยู่เฉยๆ

เรื่องอะไรจะมองอยู่เฉยๆ นางเด็กน่าตายผู้นี้ไม่คิดเลยหรือ ว่าแท้จริงแล้วนางกินข้าวที่บ้านใดถึงได้เติบโตมาได้

หญิงชราตัดสินใจแล้ว นางกล่าวกับเจ้าใหญ่และเจ้ารองว่า “พวกเจ้าสองคน คืนนี้ไปยังที่ดินของจ้าวหลานสักหน่อย เก็บแตงดินกลับมาให้ได้มากที่สุด”

นึ่งแตงดินกิน โรยเกลือลงไปเล็กน้อย รสชาติไม่เลวเลยทีเดียว ที่สำคัญที่สุดก็คือประทังความหิวได้ ดีกว่ากินโจ๊กใสๆ มากโข ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้พวกเขาไม่มีแม้แต่โจ๊กให้กินด้วยซ้ำไป

เจ้าใหญ่ไม่มีความเห็นอื่นใด เขาใฝ่ฝันถึงแตงดินของไป๋จื่อตั้งนานแล้ว เดิมทีเขาคิดอยู่ว่าควรจะไปนำกลับมาเวลาไหนดี ท่านแม่ช่างใจตรงกันกับเขานัก

เจ้ารองกลับลังเลเล็กน้อย “ท่านแม่ ต้องไปตอนกลางคืนหรือ ไปตอนกลางวันไม่ได้เลยหรือไร ข้าได้ยินมาว่าที่นั่นมีงูพิษเคลื่อนไหวอยู่ งูพิษชอบออกมาหากินในตอนกลางคืนเป็นที่สุด หากพวกข้าสองพี่น้องเจอมันเข้าสักตัว นั่นไม่เท่ากับว่าจบเห่เลยหรือ”

หญิงชราถ่มน้ำลายใส่เขา “ดูเจ้าสิ ให้ไปเก็บอาหารที่จับต้องได้กลับกลัวนั่นกลัวนี่ ไม่เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ต้องไป ให้เจ้าใหญ่พาต้าเป่าไป ส่วนพวกเจ้าบ้านรองก็อย่าหวังจะได้กินเลย”

เจ้ารองเห็นมารดาของตนโมโหขึ้นมา สีหน้าของจางซื่อที่อยู่ข้างกายก็ไม่ค่อยดีนัก ขณะกำลังจะกัดฟันตอบตกลง ก็กลับได้ยินภรรยาของตนกล่าวว่า “หยิบมาเองโดยไม่ถาม นั่นเท่ากับขโมย พวกท่านจะไปก็ไปเอง เจ้ารองจะไม่ไป อีกอย่าง หากเจองูพิษหรือสัตว์ป่าอะไรเข้า ก็อาจจะต้องตายเพราะแตงดินสองสามหัวก็เป็นได้”

หลิวซื่อแหวเสียงแหลม “เจ้าจำคำพูดของเจ้าไว้ให้ดี เมื่อเจ้าใหญ่นำแตงดินกลับมา พวกเจ้าก็อย่าได้คิดว่าจะมีอะไรกินเลย”

จางซื่อแค่นหัวเราะ “ไม่กินก็ไม่กิน พวกข้าไม่ได้เสียดายสักหน่อย” ครั้นกล่าวจบ นางก็จูงมือเจ้ารองและบุตรธิดาทั้งสองคนกลับห้องไป

เมื่อกลับถึงห้อง เจ้ารองก็รีบถาม “เจ้าช่างดีจริงๆ รู้จักเป็นห่วงข้าด้วย”

นางมองตาขวางใส่สามีครั้งหนึ่ง แล้วพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าไม่ได้เป็นห่วงเจ้า ข้าเป็นห่วงตัวข้าเอง ถึงเจ้าจะเป็นสามีที่ไม่มีประโยชน์มากกว่านี้ แต่มีก็ดีกว่าไม่มีนัก หากเจองูพิษหรืออะไรกัดเข้าจริงๆ เจ้าคิดว่าท่านแม่ของเจ้าจะนำเงินออกมารักษาชีวิตเจ้าหรือไม่”

เจ้ารองพลันชะงัก เมื่อคิดถึงการตายของน้องสามและท่านพ่อในปีนั้น ก็ล้วนเป็นเพราะท่านแม่ไม่ยอมตัดใจนำเงินออกมาเชิญหมอ จึงต้องเสียชีวิตของคนทั้งสองไปเปล่าๆ หากน้องสามยังอยู่ จ้าวหลานก็จะไม่จากไป สองสามีภรรยาทำงานเก่งถึงเพียงนั้น ตอนนี้สกุลไป๋ของพวกเขาคงไม่ต้องทนลำบากตรากตรำ มีข้าวกินมื้อนี้ แต่ไม่มีข้าวกินมื้อหน้าเช่นนี้ ตอนนี้เขาเพิ่งจะรู้ถึงความดีของจ้าวหลาน เหตุใดตอนนั้นถึงไม่ตระหนักได้กัน

หากรู้ว่าจะมีวันนี้ ตอนนั้นจ้าวหลานสองแม่ลูกต้องการแยกบ้าน หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรเขาก็ไม่มีทางยินยอม

แต่ตอนนี้ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็สายเกินไปแล้ว!

เจ้ารองส่ายหน้า ก่อนจะถอนใจยาวๆ เสียงหนึ่ง “ไม่มีทาง ในสายตาและหัวใจของท่านแม่มีแต่บ้านใหญ่ ไหนเลยจะเห็นหัวข้า!”

จางซื่อแค่นหัวเราะเสียงเย็น “นับว่าเจ้าไม่ถึงกับโง่เง่า เจ้าอย่าได้ออกไปเสี่ยงอันตรายเช่นนั้นเลย อีกอย่าง ไป๋จื่อเป็นคนอย่างไรเจ้ายังมองไม่ออกอีกหรือ เด็กสาวที่ใกล้จะโตเต็มวัย มีคนขโมยแตงดินของนาง นางจะอดกลั้นความโกรธไว้ได้หรือไร คนอื่นข้าไม่รู้หรอก แต่หากนางรู้ว่าเป็นสกุลไป๋ขโมยแตงดินของนาง นางจะต้องไม่ปล่อยพวกเราไว้แน่”

“จริงด้วย ท่าทางความสัมพันธ์ของนางกับใต้เท้าเมิ่งจากที่ว่าการอำเภอจะไม่เลวเลย หากพวกเราขโมยแตงดินของนาง แต่นางจับได้ในภายหลัง นางอาจจะแจ้งเรื่องของพวกเราไปยังที่ว่าการอำเภอก็เป็นได้” เจ้ารองกล่าว

……….

ตอนที่ 250 เป้าหมายสุดท้ายก็คือการแยกบ้าน

จางซื่อพูดต่อ “ดังนั้น พวกเราไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวในเรื่องนี้ จะต้องโยนความรับผิดชอบนี้ไปโดยสิ้นเชิง เมื่อเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาแล้ว พวกเราจะได้ไม่ต้องซวยไปด้วย”

“แต่พวกเราไม่ไป เมื่อพวกเขาได้แตงดินมาก็ย่อมไม่มีส่วนของพวกเรา ถึงเวลานั้นแล้วพวกเราจะกินอะไรเล่า” เจ้ารองถาม

จางซูเหมยกลอกตาขาวใส่สามี ก่อนจะยื่นมือไปจิ้มที่หน้าผากของเขา “สมองของเจ้าก็ใหญ่ถึงเพียงนี้ จะไม่ใช้คิดวิเคราะห์อะไรเลยหรือ ในนั้นมีอะไรอยู่กันแน่ หรือจะเป็นขี้เลื่อย”

เจ้ารองไม่เข้าใจว่าภรรยาหมายถึงอะไร จึงเกาศีรษะพลางกล่าว “เจ้ามีอะไรก็พูดมาตามตรง ไหนเลยข้าจะรู้แผนการของเจ้า”

ไป๋เจินจูที่เงียบเชียบอยู่ข้างๆ มาโดยตลอดพูดขึ้นว่า “ท่านพ่อ ท่านยังไม่เข้าใจอีกหรือ ให้พวกเขาไปขุดแตงดินเอง เมื่อเกิดเรื่องขึ้นมา ก็ให้พวกเขารับผิดชอบไป แต่หากไม่ได้เกิดเรื่องขึ้น เมื่อของเข้าสกุลไป๋แล้ว อย่างไรย่อมต้องมีส่วนของพวกเรา”

“แต่พวกเขาจะยอมหรือ” เจ้ารองมุ่นคิ้ว

จางซื่อแค่นหัวเราะ “ไม่ยอม? ไม่ยอมล้วนดีที่สุด ข้าอยากจะให้พวกเขาไม่ยอมนัก เพราะข้ากำลังคิดจะแยกบ้านกับพวกเขาพอดี นี่นับเป็นโอกาสดีทีเดียว! อีกอย่าง ก่อนหน้านี้เรื่องที่พวกบ้านใหญ่เอาแต่กินและนอน ให้พวกเราทำงานหนักเพียงฝ่ายเดียวก็ใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แล้วอย่างไร กินแตงดินของพวกเขาหนึ่งถึงสองหัว พวกเขาจะไม่ยอมเลยหรือ เช่นนั้นก็ดี แยกบ้านกันเสีย ต่างคนต่างอยู่”

เจ้ารองนับว่าเข้าใจแล้ว ไม่ว่าจะพูดอีกกี่พันกี่หมื่นรอบ เป้าหมายสุดท้ายของภรรยาก็ยังคงเป็นการแยกบ้าน แตงดินเป็นเพียงแค่ข้ออ้างหนึ่งเท่านั้น และนางใคร่ครวญถูกต้องแล้วว่าสตรีชั่วหลิวซื่อจะไม่ยอม

ครั้นเห็นสามีไม่โต้เถียงอะไร จางซื่อก็พูดอีกว่า “เจ้ารอง แท้จริงแล้วเจ้ามีสมองหรือไม่ เจ้าลองมองดูคนบ้านใหญ่เสียสิ เจ้ายังอดทนต่อไปได้อีกหรือ สะใภ้ใหญ่แต่ไหนแต่ไรรู้จักแต่กิน ขี้เกียจทำงาน ทั้งยังชอบชี้นิ้วสั่งผู้อื่น พี่ใหญ่ดูเหมือนห้าใหญ่สามหนา[1] แต่กลับเกียจคร้านไม่อยากเสียแรง แม้จะมีแรงแต่กลับไม่ยอมออกแรง เช่นนั้นก็ต่างอะไรกับไม่มีแรงกระมัง ที่สำคัญที่สุด ต้าเป่าต้องการแม่สื่อแล้ว เช่นนั้นไม่ต้องใช้เงินหรืออย่างไร ส่วนเสี่ยวเฟิงก็ต้องเสียเงินเข้าเรียนในทุกปี ต่อไปสอบได้ระดับซิ่วไฉแล้วต้องใช้เงินมากกว่านี้แน่ แล้วเงินเหล่านี้จะได้มาอย่างไร ไม่ใช่ล้วนต้องออกมาจากในหีบเงินของแม่เจ้าหรอกหรือ นางมีเงินเล็กน้อยเพียงนั้นเจ้าก็รู้ดี เมื่อจัดการเรื่องของหลานชายทั้งสองเสร็จสิ้น เช่นนั้นจะยังเหลือเงินอีกเท่าไร ถึงตอนนั้นแล้วฟู่กุ้ยจะทำอย่างไร ถึงเวลาที่เจินจูจะต้องแต่งออกแล้วจะทำอย่างไร หากไม่ถือโอกาสแยกบ้านเสียตั้งแต่ตอนที่ยังไม่ได้ใช้เงิน เช่นนั้นต้องรอไปถึงเมื่อไรกัน”

เจ้ารองถูกภรรยาต่อว่าจนตาสว่างแล้ว เขาพยักหน้าหงึกหงักตามคำพูดของนาง “เจ้าพูดถูก มีเหตุผลนัก เหตุใดก่อนหน้านี้ข้าถึงคิดไม่ถึงมาก่อนเลย”

จางซื่อกลอกตาขาวใส่สามีอีกครั้ง “เจ้ามันสมองหมู จะไปคิดอะไรได้”

ในที่สุดไป๋เจินจูก็ผ่อนลมหายใจ ‘จะแยกบ้านแล้ว ดียิ่ง ดีเหลือเกิน’

ขอเพียงแยกบ้านได้ ขอเพียงตัดความสัมพันธ์กับท่านย่า ท่านลุง และท่านป้าสะใภ้โดยสิ้นเชิงได้ นางก็จะไปตีสนิทกับไป๋จื่อ จะได้ใช้ไป๋จื่อเป็นข้ออ้างเข้าใกล้หูเฟิง ขอเพียงเข้าใกล้หูเฟิงได้ นางก็มั่นใจว่าจะดึงดูดความสนใจของเขาได้

คืนนั้นเอง เจ้าใหญ่พาไป๋ต้าเป่าไปขุดแตงดินในที่ดินของไป๋จื่อ

สวรรค์ช่างเป็นใจนัก วันนี้เป็นที่สิบสาม พระจันทร์ใกล้จะเต็มดวงแล้ว แม้จะยังขาดอยู่เสี้ยวหนึ่งก็ตาม

ยามค่ำคืนในตอนนี้เหมือนกับตั้งโคมไฟดวงหนึ่งไว้บนหัว แม้จะไม่ได้ส่องสว่างราวกับตอนกลางวัน ทว่าก็มองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ไม่มีปัญหา

“ท่านพ่อ ข้ากลัว…” ต้าเป่าจับชายเสื้อของผู้เป็นบิดาจนแน่น สายตาสอดส่องไปทั่วด้วยความหวาดหวั่น

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาออกมานอกบ้านในเวลากลางคืน คนในหมู่บ้านไม่ค่อยออกจากบ้านในเวลานี้เท่าไรนัก อย่าว่าแต่ตอนกลางคืนเลย ถึงเป็นตอนกลางวันแสกๆ ก็มักจะได้ยินว่ามีคนถูกงูพิษกัดในที่ดินอยู่บ่อยครั้ง และมีคนเคยเห็นสัตว์ป่าที่แข็งแรงพอจะกัดคนตายออกมาเพ่นพ่านด้วย

[1] ห้าใหญ่สามหนา หมายถึง สองมือ สองเท้า และหนึ่งศีรษะที่มีขนาดใหญ่ สามหนา หมายถึงขา เอวและคอที่หนา