ตอนที่ 121 กั๋วกงไปสู่ขอ แม่ทัพไปสารภาพรัก (1)

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

เหยาหย่วนจือทำมือคารวะอีกครั้ง “ถึงแม้จะพูดเช่นนี้ ทว่าวันนี้ก็ถือว่าท่านแม่ทัพมีบุญคุณต่อข้า ข้าก็ต้องขอบคุณท่านอยู่แล้ว”

เว่ยจางยิ้มบางๆ “ใต้เท้าเหยาเกรงใจเกินไปแล้วขอรับ”

ระหว่างที่เสวนา เหยาเยี่ยนอวี่ก็ได้สติกลับมา นางกำลังถูกหลี่หมัวมัวและชุ่ยเวยพยุงเข้าไปในรถม้า ชุ่ยเวยก็เทน้ำอุ่นออกจากเหยือกน้ำร้อนออกมาหนึ่งถ้วยให้นางดื่ม

เหยาเยี่ยนอวี่จิบไปสองคำ พอนางกลับมาได้สติ ก็วางตัวนิ่งเฉยเหมือนที่ผ่านมา “ข้าไม่เป็นไรแล้ว หมัวมัวช่วยบอกท่านพ่อของข้าที ตอนนี้พวกเราสามารถกลับจวนกันได้แล้ว”

หลี่หมัวมัวเห็นเหยาเยี่ยนอวี่กลับมามีสีหน้าปกติ ก็รู้สึกวางใจไปมาก เลยไปบอกเหยาเฟิ่งเกอ

เหยาหย่วนจือจึงพูดขึ้น “ในเมื่อไม่เป็นไรแล้ว เช่นนั้นพวกเรากลับกันก่อน”

ซูกวงฉงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “หมอหลวงอีกสักพักก็มาถึงแล้ว ไม่เช่นนั้นให้เขาดูอาการคุณหนูรองเสียก่อนค่อยว่ากันดีหรือไม่”

เหยาหย่วนจือพลันทำมือคารวะแล้วยิ้ม “ขอบคุณท่านโหวที่คอยลำบาก บุตรีของข้ามีทักษะการแพทย์อยู่แล้ว อย่างไรนางบอกว่าไม่เป็นไร นั่นก็แสดงว่าคงไม่เป็นอันใดจริงๆ พวกเราขอตัวก่อน เรื่องของวันนี้รบกวนท่านโหวแล้ว”

“น้องเหยาพูดอะไรกัน!” ซูกวงฉงพลันยิ้มอย่างเกรงใจ

“ท่านโหวส่งถึงตรงนี้ก็พอ ข้าขอตัวก่อน” เหยาหย่วนจือกล่าวอำลากับซูกวงฉงอีกครั้ง แล้วเหลือบมองรถม้าของเหยาเยี่ยนอวี่อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หันไปขึ้นรถม้าของตนเอง แล้วพาบ่าวไพร่ออกจากที่นี่

พอเห็นรถม้าของสองพ่อลูกตระกูลเหยาจากไปก่อน เว่ยจางก็หันไปมองอวิ๋นคุน อย่างไรก็ตามอวิ๋นคุนกลับทำทีไม่สนใจนัยน์ตาสังหารของเว่ยจาง เขาทำเป็นจ้องมองท้องฟ้าและเดินไปรอบๆ โดยไม่สนใจสิ่งที่เรียกว่าภาพลักษณ์

เว่ยจางขมวดคิ้วอย่างทนไม่ได้ ไม่ได้เอ่ยพูดให้มากความ

ก่อนหน้านี้ หันซังเย่ว์ยังไม่ได้สติกลับมาว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ แค่ตอนที่รถม้าของเหยาเยี่ยนอวี่เกิดอาการตื่นตกใจ จนเกือบจะทำให้นางเกิดอุบัติเหตุหงายหลังหล่นลงจากรถม้า ตอนนี้พอเห็นนัยน์ตาของเว่ยจางที่จ้องอวิ๋นคุน แล้วก็มองท่าทางที่ไม่สนใจอะไรของอวิ๋นคุน ทันใดนั้นเขาจึงเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นทันที

ในเมื่อหันซังเย่ว์และคนอื่นออกมากันหมด ก็ไม่มีทางจะกลับเข้าไปอีก พวกเขาเพียงกล่าวอำลาติ้งโหวสองพ่อลูกที่ประตูสอง พวกเขาได้สั่งคนไปจูงม้ามา จากนั้นออกจากจวนติ้งโหวแล้วไปจวนเจิ้นกั๋งกง

ระหว่างทาง อวิ๋นคุนคลี่ยิ้มอย่างสดใสให้กับเว่ยจาง พลางพูดขึ้น “เสี่ยนจวิน คืนนี้ไปดื่มสุรากับกินอาหารมื้อเลิศรสที่เรือนจวู้เสียนด้วยกันเถอะ”

เว่ยจางจ้องอวิ๋นคุน แล้วพูดด้วยเสียงเรียบเฉย “ท่านซื่อจื่อ นี่ท่านกำลังขอโทษข้าอยู่หรือ”

“ฮึ่ม! เจ้าสารเลว! เจ้ายังจะเสแสร้งอีกรึ” อวิ๋นคุนก่นด่าด้วยรอยยิ้ม “หากไม่มีคุณชายคนนี้ช่วยไว้ วันนี้เจ้าจะมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับสตรีผู้งดงามได้อย่างไร”

“ดังนั้นข้าสมควรขอบคุณท่านที่เกือบจะทำให้คนอื่นเขาตกจากรถม้าใช่หรือไม่ หากล้มลงมาแล้วเกิดเป็นอะไรขึ้นมาล่ะ” เว่ยจางเหลือบตามองอวิ๋นคุนด้วยความเย็นชา

หันซังเย่ว์หัวเราะเสียงดัง แล้วชี้ไปยังอวิ๋นคุนพลางพูดขึ้น “ข้าก็ว่า เหตุใดม้าตัวนั้นถึงตื่นตกใจเช่นนั้น! ที่แท้ก็เป็นฝืมือของเจ้านี่เอง!”

อวิ๋นคุนก็หัวเราะตามทันที “นี่เจ้าไม่เห็นสายตาที่เจ้าหมอนี่จับจ้องแม่นางคนนั้นหรอกหรือ! เฮ้อ! แววตาวาววับคู่นั้น หมาป่าหิวโหยที่พวกเราเห็นในกลางป่าซีเป่ยก็เป็นเช่นเขานี่ล่ะ เหอะ ท่าทางแทบจะพุ่งเข้าไปกัดคุณหนูเหยาทันที เจ้าคือสหายที่ผ่านทุกข์ผ่านสุขมาด้วยกัน ข้าจะไม่ช่วยเจ้าได้อย่างไร!”

“เจ้าช่วยข้าก็ไม่ควรทำร้ายนางสิ!” เว่ยจางรู้สึกโมโหขึ้นมาจริงๆ

“มีเจ้าอยู่ นางจะเป็นอะไรได้อย่างไร” อวิ๋นคุนรู้สึกว่าเจ้าหมอนี่ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย จริงๆ ตนเป็นฝ่ายช่วยเขา เขายังจะทำท่าทางที่ขมขื่นและเคียดแค้นใจมากเพียงนี้?

อวิ๋นคุนมองสีหน้าที่ไม่มีความสุขของเว่ยจาง สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะยกแส้ม้าในมือขึ้นฟาดเขาหนึ่งที “พูดออกมา เหตุใดถึงไม่มีความสุขเช่นนี้”

“ถ้าหากข้าช้าไปแค่ก้าวเดียว ศีรษะของนางคงกระแทกกับพื้นจนแตก!” เว่ยจางมองอวิ๋นคุนด้วยความไม่พอใจ “ท่านซื่อจื่อ หากอยากจะช่วยเหลือ ได้โปรดเปลี่ยนเป็นวิธีอื่นเถอะ”

อวิ๋นคุนหัวเราะเสียงต่ำพลางพูดจาไม่เสนาะหูกับหันซังเย่ว์ “เห็นหรือยัง ไอ้หมอนี่มันเป็นหมาที่กัดคนที่ให้อาหารมันจริงๆ!”

หันซังเย่ว์ยิ้ม “ท่านซื่อจื่อ ท่านใช้วิธีที่เสี่ยงเช่นนี้ ทำให้ผู้คนรู้สึกตื่นตระหนกจนหลั่งเหงื่อเย็น อีกอย่างเมื่อครู่ข้าเห็นสีหน้าของข้าหลวงเหยา เหมือนไม่ยินดีอย่างมาก เจ้าไม่กังวลว่าทำเช่นนี้แล้วข้าหลวงใหญ่จะเคียดแค้นท่านแม่ทัพของพวกเราหรือ”

อวิ๋นคุนยิ้มอย่างดูหมิ่น แล้วตำหนิขึ้น “เขาน่ะหรือ”

คิ้วของเว่ยจางขมวดเป็นปม และไม่พูดไม่จา

คืนนั้น อวิ๋นคุนจองห้องส่วนตัวในเรือนจวู้เสียนดั่งที่คาดไว้จริงๆ แล้วได้ชวนซูอวี้ผิงและหันซังเกอออกมา พวกเขาทั้งห้าคนจึงไปดื่มสุราด้วยกันต่อ

ทว่าเหยาเยี่ยนอวี่และเหยาหย่วนจือกลับถึงจวน ต่างคนต่างกลับเรือนของตนเอง เหยาหย่วนจือสั่งคนไปตามหมอหลวงมาจับชีพจรให้นาง หมอหลวงบอกว่านางแค่ตื่นตกใจเกินไป ทว่าไม่ได้มีปัญหาใหญ่อะไรมาก ไม่จำเป็นต้องใช้ยารักษา แค่พักฟื้นอย่างเงียบสงบไปไม่กี่วันก็พอแล้ว

เหยาหย่วนจือไม่มากความ แค่สั่งให้คนจ่ายห้าสิบตำลึงเงินให้กับหมอหลวง จากนั้นก็ให้เห้าเซินส่งคนกลับไป

ตอนกลางคืน เหยาเยี่ยนอวี่ไม่ได้กินอะไรจึงสั่งให้คนเก็บมื้ออาหารค่ำที่จัดเตรียมไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ไป จากนั้นก็กำลังจะขึ้นเตียงพักผ่อน ทว่ากลับได้ยินเสียงสาวใช้อูเหมยเลิกม่านเข้ามาแล้วพูดขึ้น “คุณหนูเจ้าคะ คุณชายรองมาเจ้าค่ะ”

เหยาเยี่ยนอวี่นิ่งงันไป แล้วพูดขึ้นทันที “เชิญพี่รองนั่งเจ้าค่ะ”

เหยาเหยียนอี้เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มที่เบิกบาน แล้วเขาก็ถามขึ้นอย่างเป็นห่วง “น้องสาวรู้สึกเป็นเช่นไรบ้างแล้ว ได้ยินว่าสถานการณ์ในตอนนั้นอันตรายมาก ถ้าน้องสาวรู้สึกว่ายังไม่คลายความกังวลใจ พวกเราก็เปลี่ยนหมอหลวงอีกคนมาดูอาการดีหรือไม่”

“ขอบคุณพี่รองที่เป็นห่วง เยี่ยนอวี่ไม่เป็นไรแล้วเจ้าค่ะ” เหยาเยี่ยนอวี่รีบพูดพลางนั่งลง จากนั้นก็สั่งให้ชุ่ยเวยยกชาร้อนมา

“ไม่เป็นอันใดก็ดี มีเรื่องอะไรเจ้าต้องบอกพี่รองนะ”

“เจ้าค่ะ” เหยาเยี่ยนอวี่นั่งอยู่ข้างๆ แล้วตอบกลับด้วยความเคารพนับถือ

เหยาเหยียนอี้มองน้องสาวที่มีมารยาทและเคารพเชื่อฟังคนนี้ จึงพูดยิ้มๆ “เจ้ากับข้าเป็นพี่น้องกัน ท่านพ่อไม่อยู่ ก็ไม่ต้องพิธีรีตองอะไรมากมายเช่นนี้”

“เจ้าค่ะ” เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้ม ทว่ากลับยังคงนั่งอย่างสุภาพเรียบร้อย

เหยาเหยียนอี้ก็ไม่ได้สนใจท่าทีของเหยาเยี่ยนอวี่กระทำต่อตนเองอีกต่อไป และเขาก็ไม่พูดจาอ้อมค้อม ทว่ากลับพูดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา “น้องรอง พี่อยากจะหารือเรื่องบางอย่างกับเจ้าเสียหน่อย”

เหยาเยี่ยนอวี่ก็ชอบผู้ที่ตรงไปตรงมาเช่นนี้ จึงตอบกลับ “พี่รองเชิญพูดเจ้าค่ะ”

“ก่อนหน้านี้สูตรปรุงยาที่เจ้าให้ท่านพ่อ มีส่วนผสมของยาสมุนไพรสองชนิดที่ไม่ค่อยได้เจอใช่หรือไม่” เหยาเหยียนอี้ถามขึ้น

“เจ้าค่ะ” เหยาเยี่ยนอวี่ตอบกลับ “แค่ไม่ค่อยได้เจอและไม่ค่อยใช้ในเขตตอนเหนือเจ้าค่ะ”

“และไม่ค่อยได้ใช้ในเขตตอนเหนือ?” นัยน์ตาของเหยาเหยียนอี้เผยความคาดคิดไม่ถึง

“น่าจะเป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ”

“กระนั้นก็เท่ากับว่าเหล่าแพทย์อาวุโสในสำนักหมอหลวงไม่สามารถแยกแยะว่าหญ้าห้ามเลือดและดักแด้ดินคืออะไรกันแน่ใช่หรือไม่”

“หญ้าห้ามเลือดแทบจะไม่ได้พบเจอในเขตตอนเหนือ ส่วนดักแด้ดินคือแมลงชนิดหนึ่งที่อาศัยอยู่ในขี้โคลนของเขตตอนใต้ มีคนส่วนน้อยที่จะใช้มันเป็นยาสมุนไพร ทว่าสำนักหมอหลวงเป็นจุดศูนย์รวมของแพทย์ยอดฝีมือในเมืองหลวงต้าอวิ๋น ข้าก็ไม่ได้ไปมาหาสู่กับคนเหล่านั้น ดังนั้นข้าเองก็ไม่แน่ใจว่าพวกเขารู้ยาสมุนไพรสองชนิดนี้หรือไม่”

“เมื่อครู่ข้าถามหมอหลวงที่มาจับชีพจรให้กับเจ้า แม้แต่ชื่อสมุนไพรสองชนิดนี้ เขายังไม่เคยได้ยิน” เหยาเหยียนอี้กระตุกมุมปากยิ้มอย่างลุ่มลึกกว่าเดิม “อีกอย่าง น้องสาวใช้สูตรปรุงยาขนาดนี้ในการรักษารอยแผลเป็น หากคนในสำนักหมอหลวงรู้จักยาสมุนไพรสองชนิดนั้น เช่นนั้นแผลบนใบหน้าของคุณหนูรองแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงจะทิ้งรอยไว้ถึงตอนนี้ได้อย่างไร”

เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มบางๆ ในใจกำลังคิดว่า พี่ชายคนนี้ช่างฉลาดยิ่งนัก! สมกับเป็นคนของตระกูลเหยาจริงๆ