บทที่ 104 ยอมรับผิด Ink Stone_Romance

ท่านชายฉินได้ยินดังนั้นก็หยุดพู่กันในมือลง

“อะไรนะ” เขาเลิกคิ้วเอ่ยถาม “ชายหกไปแย่งคนหรือ”

บ่าวพยักหน้าขานรับ

“บนท้องถนนวุ่นวายกันไปใหญ่แล้วขอรับ” เขากล่าว สีหน้าแปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก เหมือนจะหัวเราะแต่ก็อดทนเอาไว้

“เจ้าหมอนี่ ข้าก็นึกว่าคิดวิธีอะไรได้ ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง” ท่านชายฉินส่ายหน้า สีหน้าเคร่งเครียด “แย่แล้วแย่แล้ว นี่เป็นการเติมน้ำมันบนกองไฟ”

พูดจบก็มองดูบ่าว

“กลับถึงบ้านตระกูลโจวกันแล้วหรือยัง” เขาเอ่ยถาม พลางวางพู่กันลง

“ยังขอรับ ยังอยู่ระหว่างทางขอรับ” บ่าวกล่าว แล้วอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาในที่สุด “บ้านตระกูลเฉินวิ่งไล่ตามอยู่ข้างหลัง วุ่นวายจนถูกคนของกองบัญชาการปัญจทิศรักษานคร ขวางเอาไว้ขอรับ”

เดิมทีบนถนนหลวงนั้นก็มีคนเดินผ่านไปมามากมายอยู่แล้ว เวลานี้ยิ่งเบียดเสียดยัดเยียด คนที่มาทีหลังก็เบียดเข้าไปไม่ได้ อีกยังมองไม่เห็นจึงได้ร้อนรนนัก เสียงหัวเราะเสียงก่นด่าเสียงโวยวายคึกคักยิ่งนัก

ทหารอดไม่ได้ที่จะเช็ดเหงื่อ แล้วมองดูคนและรถตรงหน้า

“เจ้าบอกว่าเขาขโมยรถม้าบ้านเจ้าไปหรือ” เขาเอ่ยถาม แล้วชี้ท่านชายโจวหก

พ่อบ้านตระกูลเฉินและบ่าวมองตากัน แล้วพยักหน้าอย่างแรง

นี่เป็นคำให้การที่ง่ายและดีที่สุดแล้ว

ก็ยังดีกว่าบอกว่า ‘เขาจี้ตัวน้องสาวของเขาไป’ คำอธิบายที่เหลวไหลน่าขันอีกยังง่ายต่อการทำให้เกิดการคาดเดาที่ไม่ดีเช่นนี้

“ท่านชายโจว ขโมยรถม้าบ้านเจ้าหรือ” ทหารพูดซ้ำอีกรอบหนึ่งด้วยสีหน้าประหลาด

ท่านชายโจวหกนั่งอยู่บนรถตลอด ถึงแม้จะถูกขวางเอาไว้แต่ก็ไม่มีท่าทีที่จะลงจากรถ

ส่วนในรถก็เงียบตลอด เหมือนกับไม่มีคนอยู่ในนั้น

“เจ้าอย่าถามว่าเกิดอะไรขึ้นเลย นี่เป็นรถม้าบ้านข้า” พ่อบ้านตระกูลเฉินกล่าว แล้วยื่นมือไปชี้ตราสัญลักษณ์บนรถ “ดูนี่ นี่เป็นของบ้านข้า ของบ้านข้า”

พวกบ่าวชี้ท่านชายโจวหก

“เขาไม่ใช่คนบ้านข้า เขาไม่ใช่คนบ้านข้า” พวกเขาตะโกนกล่าว

เหล่าทหารมองหน้ากันแล้วยิ้มอย่างขมขื่น

งานในเมืองหลวงทำได้ยากก็เพราะเช่นนี้ เกิดเหตุใดขึ้นก็มักจะมีบุคคลใหญ่โตมาเกี่ยวข้องด้วยเสมอ

รถม้าของบ้านเสนาบดีกรมขุนนางถูกคนของบ้านแม่ทัพกุยเต๋อหลังขโมย นี่มันเรื่องอะไรกันนี่!

“ขโมยรถหรือขโมยคน”

“บนรถมีคนใช่หรือไม่”

เสียงตะโกนของเหล่าชายฉกรรจ์ข้างถนนดังขึ้น ทำให้เกิดเสียงหัวเราะอันแปลกประหลาดดังขึ้น

นั่นสิ รถม้าคันหนึ่งมีอะไรน่าขโมยกัน สายตาของเหล่าทหารก็กวาดไปบนรถม้าอยู่เนืองๆ

จริงด้วย จะเกิดการคาดเดาที่ไม่ดีขึ้นแล้ว คนบ้านตระกูลเฉินเริ่มร้อนรนแล้ว ที่กลัวก็คือเรื่องนี้ล่ะ!

มือข้างหนึ่งเปิดม่านออก ทำทุกคนตกใจขึ้นมาทันใด

เป็นมืออันงดงามของหญิงสาวจริงด้วย

“ล่วงเกินแล้ว” สาวใช้กล่าว “ขอบคุณใต้เท้าเฉิน จะคืนรถม้าให้แน่นอนเจ้าค่ะ”

กลุ่มคนของบ้านตระกูลเฉินได้ยินดังนั้นก็โล่งใจ

พวกเขาไล่ตามมาตั้งนาน ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีเช่นกัน ดูเหมือนว่าจะไม่เสียเปล่า อย่างน้อยนายหญิงผู้นี้ก็เข้าใจประสงค์ของไต้เท้า

ใต้เท้ารู้ว่านายหญิงไม่ยอมไปบ้านตระกูลโจว เมื่อนายน้อยของบ้านตระกูลโจวนี้ออกมาก่อความวุ่นวายแย่งรถม้าไป ก็ไม่ได้รักษาหน้าตา หรือว่าไม่ได้ใช้ข้ออ้างที่ว่าเรื่องของคนในบ้านคนนอกยากที่จะยุ่มย่าม แต่วิ่งไล่ตามมา แต่ที่พวกเขาทำได้ก็มีเพียงเท่านี้

สายเลือดเป็นใหญ่ คนนอกมิอาจจะเข้ามายุ่งได้

“ข้ารับน้องสาวกลับบ้าน ใช้รถม้าบ้านพวกเจ้าแล้วจะทำไม ใจแคบถึงเพียงนี้เชียว” ท่านชายโจวหกที่ไม่ได้พูดอะไรมาตลอดก็กล่าวเสียงโกรธเคือง

ถึงแม้จะรู้ว่าภายในนั้นจะต้องมีเรื่องอะไรเป็นแน่ แต่ในตอนนี้ละครฉากนี้ก็เล่นต่อไปไม่ได้แล้ว ผู้คนที่มุงล้อมอยู่ก็ส่งเสียงไม่พอใจแล้วสลายตัวไปอย่างเสียอารมณ์

มองดูกลุ่มคนที่สลายตัวไปนั้น บ่าวสองคนก็หันหลังกลับอย่างดีใจ

“ท่านชาย ท่านชาย ไปได้แล้วขอรับ ไปได้แล้วขอรับ” พวกเขาตะโกนกล่าว

ท่านชายหนุ่มน้อยบนหลังม้าด้านหลังก็ละสายตามา

“สมกับเป็นเมืองหลวงจริงๆ” บนใบหน้าเขามีความประหลาดใจที่ได้เผชิญหน้ากับความเจริญรุ่งเรืองของเมืองหลวง “ถนนกว้างขวางเพียงนี้ยังเบียดจนไปไม่ได้”

หิมะตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ลมพัดมา ทำให้เกิดหมอกหิมะปกคลุมไปทั่ว

ท่านชายหนุ่มน้อยอดไม่ได้ที่จะปิดปากไอ แล้วพ่นไอในมือเพื่อรับความอบอุ่น

“หยวนเฉา!”

บนถนนมีเสียงตะโกนเรียกลอยมา ท่านชายหนุ่มน้อยนี้ก็รีบมองไปทางเสียงนั้นทันที เห็นเด็กหนุ่มสองคนพุ่งกระโจนออกมาจากร้านข้างทาง โบกมือให้เขาอย่างดีใจ

“ฮ่า พวกเจ้าก็ถึงแล้วหรือ” หันหยวนเฉายิ้มกล่าว แล้วพลิกตัวลงจากม้า เดินพุ่งเข้าไปหาพวกเขา

“เจ้ามาช้าเพียงนี้ หรือเพราะว่าหลงใหลชนบทอันอ่อนโยนไม่ยอมออกเดินทางกัน” ทั้งสองยิ้มแล้วตบบ่าของหันหยวนเฉา “ดีที่พวกข้าจองที่พักไว้ก่อน จองเผื่อเจ้าด้วย มิเช่นนั้นเจ้าคงต้องปวดหัวเป็นแน่”

หันหยวนเฉารีบกล่าวขอบคุณ แล้วจับมือกับทั้งสองคน

“เช่นนี้ วันนี้พวกเราศิษย์ร่วมอาจารย์อยู่เมืองหลวงกันพร้อมหน้าพร้อมตากัน จะต้องดื่มให้เต็มที่”

“ได้ ได้ ในเมืองหลวงร้านโด่งดังมีมากมายนัก พวกเราเลือกได้ตามใจเลย”

“เมื่อครู่เกิดเรื่องคึกคักอะไรกันขึ้น”

“ไม่รู้เหมือนกัน อย่างไรเสียความคึกคักอะไรนี่ก็ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเรา”

ทั้งสามเดินไปพลางหัวเราะพูดคุยกัน แล้วเดินหายเข้าไปในกลุ่มคน

ท่านชายโจวหกดึงม้าหยุดลงตรงหน้าประตูสอง ด้านในประตูนั้นก็คึกคักยิ่งนัก

“ชายหก เจ้ารับน้องสาวกลับมาแล้วหรือ”

“เจียวเจียวร์ ลูกข้า เจ้ากลับมาแล้วหรือ”

สามีภรรยาตระกูลโจวท่ามกลางผู้คนห้อมล้อมนั้นก็เร่งฝีเท้าเดินเข้ามา มองดูรถม้าก็ดีใจยิ่งนัก

“น้องสาวเหนื่อยแล้ว ท่านพ่อท่านแม่ ส่งน้องสาวไปพักผ่อนก่อนเถิด มีอะไรค่อยคุยกันคราวหลัง” ท่านชายโจว  หกกล่าวด้วยสีหน้าตึงเครียด พูดจบก็สะบัดมือเดินก้าวใหญ่จากไป

ตลอดทางมานั้น ในรถม้าก็เงียบสงัดไร้ซึ่งเสียงใด

พ่อแม่โจวมองตากัน ท่านพ่อโจวกระแอมเบาๆ แล้วโบกมือ เหล่าลูกชายลูกสาวคนติดตามที่ตามมามุงดูก็รีบสลายตัวกันไป เพื่อไม่ให้เด็กสติไม่สมประกอบนี้โวยวายขึ้นมาจะไม่น่าดู

“เจียวเจียวร์” ฮูหยินโจวขึ้นหน้าไป ยื่นมือไปเปิดม่านรถออก “มีเรื่องอะไร เราลงจากรถแล้วค่อยคุยกัน ดีหรือไม่”

เมื่อม่านรถเปิดออก ก็เห็นสาวใช้นั่งอยู่ก่อน แล้วจึงเห็นคนนอนตะแคงอยู่ในรถ

ฮูหยินโจวตกใจจนชะงักไป

“เจียวเหนียง!” นางตะโกนสุดเสียง คงไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอกนะ

“ชู่” สาวใช้ทำท่าทางให้เงียบด้วยอาการไม่สบอารมณ์ “นายหญิงของข้ากำลังนอนหลับอยู่ อย่าทำนางตื่นเจ้าค่ะ”

นอนหลับหรือ

ในรถม้าก็นอนหลับได้หรือ

แสร้งทำล่ะสิ

“ในรถม้านอนไม่ได้นะ เราลงมาก่อนค่อยนอนกัน” ฮูหยินกล่าว

“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ นายหญิงข้าสุขภาพไม่ดีนัก ทุกวันจะต้องนอนหลับสักพัก อยู่ที่ใดก็นอนหลับได้ ไม่นานนักหรอกเจ้าค่ะ หากปลุกตอนนางนอนอยู่ ร่างกายจะไม่สบายเอามากๆ เจ้าค่ะ” สาวใช้กล่าวเสียงแผ่วเบา พลางขยับตัวออกมาเล็กน้อย “ฮูหยินเจ้าคะ รอให้นายหญิงตื่นก่อนค่อยว่ากันเถิดเจ้าค่ะ ไม่นานนักหรอกเจ้าค่ะ”

เช่นนี้หรือ จริงหรือ

แต่ทว่าได้ยินสาวใช้แม่นมที่กลับมาต่างก็ว่ากันว่า ในตอนกลางวันนายหญิงผู้นี้จะต้องนอนหลับสักพัก

ภาพฉากนั้นค้างชะงักไป หิมะตกลงมาบนรถบนพื้นจนส่งเสียงดัง

ยืนอยู่เพียงสักพัก ฮูหยินโจวก็รู้สึกว่าเท้าแข็งไปหมด

“ตรงนี้หนาวเกินไป ปลุกให้ตื่นแล้วเข้าไปนอนเถิด” นางกล่าวอีกครั้ง

“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าเตรียมพร้อมไว้แล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้กล่าวเสียงแผ่วเบา แล้วชี้ไปยังเตาอุ่นในรถ แล้วก็ชี้ชุดคลุมที่ห่มบนตัวเฉิงเจียวเหนียง ขาของนางก็อยู่ในเสื้อคลุมนั้น

ฮูหยินโจวกำลังจะพูดอะไรต่อ สาวใช้ก็ทำท่าทางให้เงียบอีกครั้ง

“มีลมเจ้าค่ะ ปล่อยม่านลงก่อนนะเจ้าคะ” นางกล่าวแล้วปล่อยม่านลง

ฮูหยินโจวยืนอยู่ด้านนอกทำได้เพียงกลืนคำพูดนั้นไป

“ฮูหยินเจ้าคะ” แม่นมที่ถือร่มอยู่เอ่ยถามอย่างแผ่วเบา

พวกเราจะไปหรือจะรออยู่ตรงนี้ดีเจ้าคะ นางใช้สายตาสอบถาม

ฮูหยินโจวจ้องนาง เจ้าคนโง่ตาไร้แวว จะไปหรือ แล้วให้เหล่าแม่นมยืนรอหรือ นางที่เป็นท่านป้าคนนี้ก็จะต้องถูกคนตำหนิติเตียนเอาสิ!

แต่หากจะรอ…

ฮูหยินโจวอดไม่ได้ที่จะย่ำเท้า

“ไปเอาเตาอุ่นมือเตาอุ่นเท้ามา” นางกล่าวเสียงแผ่วเบา

ยังดีที่สาวใช้นี่ไม่ได้โกหก แม่นมที่ไปเอาเตาอุ่นมือเตาอุ่นเท้ายังไม่ทันได้มาถึง เฉิงเจียวเหนียงก็ตื่นแล้ว

สาวใช้ยังไม่ได้พูดอะไร ฮูหยินโจวก็รีบเปิดม่านออก

“เจียวเจียว” นางตะโกนเรียก แล้วน้ำตาก็ไหลออกมา

“ที่นี่ ที่ไหนกัน” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยถาม พลางรับน้ำร้อนที่สาวใช้ยื่นมาให้

ในรถนี้เตรียมของไว้เพรียบพร้อมเสียจริง ฮูหยินโจวรู้สึกว่ามือเท้าของตนยิ่งหนาวเหน็บขึ้นกว่าเดิม

“ถึงบ้านแล้ว เด็กดี ในรถหนาวนัก รีบลงมาคุยในบ้านเถิด” นางกล่าว

“ในรถ ไม่หนาวนี่” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว มองรอบๆ ตัว แล้วดื่มน้ำร้อน

แต่ข้าหนาวนี่

ฮูหยินโจวย่ำเท้า เด็กคนนี้อย่างไรเสียก็เป็นเด็กสติไม่สมประกอบ ฟังอะไรพูดอะไรไม่รู้ความ

นี่ไม่ได้กำลังถกเถียงเรื่องหนาวหรือไม่หนาวกันอยู่

“เอาล่ะเจียวเจียว เจ้าถึงบ้านแล้ว พวกเรารีบเข้าห้องกันเถิด หิมะตกหนักเพียงนี้แล้ว” นางกล่าว พลางโบกมือเร่งเร้าเหล่าแม่นมให้รีบยกเกี้ยวมา

เมื่อแม่นมที่เอาเตาอุ่นมืออุ่นเท้ามาถึง เกี้ยวก็มาถึงแล้วเช่นกัน ฮูหยินโจวพูดจนปากเปียกปากแฉะ เฉิงเจียวเหนียงจึงได้ลงจากรถในที่สุด

ไม่ได้ร้องไห้ไม่ได้โวยวาย สีหน้าภายใต้หมวกคลุมไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย เหมือนกับว่านางจะมาที่นี่อยู่แล้ว ไม่ใช่ถูกบังคับลากตัวมาระหว่างทาง

นี่กลับทำให้ฮูหยินโจวที่เตรียมคำพูดมามากมายนั้นจู่ๆ ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี

“เจียวเจียว พวกเราเข้าห้องไปก่อน มีอะไรไว้คุยกันในห้อง” นางกล่าว ไม่ทันได้สนใจที่จะทำตนให้อุ่น แล้วยัดเตาอุ่นมือเตาอุ่นเท้าเข้าไปในเกี้ยวทั้งหมด แล้วจึงเดินไปที่เรือนท่ามกลางแม่นมที่ห้อมล้อมไว้

“เจียวเจียวร์ ที่นี่ล้วนตกแต่งตามความเคยชินของเจ้าตอนอยู่ในบ้านตระกูลเฉิน เจ้าดูสิว่าดีหรือไม่” ฮูหยินโจวจูงมือนางก้าวขึ้นบันไดพลางชี้ให้นางดู “ที่นี่ใกล้กับเรือนของข้าที่สุด มีธุระอะไรก็สะดวก”

กำลังจะเข้าห้อง แม่นมสองคนด้านนอกก็เข้ามา

“ฮูหยินเจ้าคะ นายท่านเชิญท่านไปหาเจ้าค่ะ” พวกนางกล่าว

ฮูหยินโจวยิ้มแล้วตบมือเฉิงเจียวเหนียง

“อยู่ในบ้าน ทำตัวตามสบาย ไม่ต้องอึดอัด ข้าไปดูท่านลุงก่อนว่าจะทำอะไร อีกสักพักพวกข้าจะมาเยี่ยมเจ้า” นางกล่าว แล้วเดินตามแม่นมไป

ตลอดทางนั้น เฉิงเจียวเหนียงและบ่าวไม่ได้พูดอะไรสักคำ

แม่นมที่เหลือรีบคุกเข่าตรงทางเดินแล้วเปิดประตูให้

ยืนอยู่ตรงทางเดินก็รู้สึกถึงไออันอบอุ่นจากในห้องลอยออกมา

“นายหญิง เชิญเจ้าค่ะ” พวกนางกล่าวอย่างนอบน้อม

เฉิงเจียวเหนียงกำลังจะก้าวเท้าเข้าไป ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจากทางด้านหลัง และเสียงร้องตกใจของแม่นม

“ท่านชายหก! ท่านทำอะไรเจ้าคะ”

เฉิงเจียวเหนียงและสาวใช้หันกลับมา สาวใช้ส่งเสียงร้องก่อน แล้วยื่นมือมาปิดหน้า

ในชานเรือนนั้น ท่านชายโจวหกเดินเข้ามา เปลือยท่อนบน แบกกิ่งไม้ไว้บนหลัง แล้วยืนอยู่อย่างนั้นท่ามกลางหิมะ ใช้หลังอันแข็งแกร่งและกิ่งไม้นั้นเผชิญหน้ากับเฉิงเจียวเหนียง

“ชายหกมีความผิดสามประการ ตั้งใจมาขอโทษนายหญิง” เขากล่าว แล้วยื่นมือมาคารวะ คุกเข่าข้างหนึ่ง “หนึ่งไม่สนใจสุขภาพกายของนายหญิง แย่งสาวใช้มา สองไม่สนใจความรู้สึกของนายหญิง บีบรั้งไว้ให้อยู่ สามไม่สนใจนายหญิงจนใจ บังคับให้ฟังโทษ”

ในกองหิมะนั้น ท่อนบนอันเปลือยเปล่าของชายหนุ่มมีชั้นเกล็ดหิมะปกคลุมอยู่ หิมะที่ตกบนตัวนั้นก็ละลายช้าลงเรื่อยๆ

แม่นมรอบข้างยื่นมือมาปิดปากเนื้อตัวสั่นเทา จะเตือนอย่างไรก็ไม่ฟัง

เฉิงเจียวเหนียงหันมา สายตาไม่มีความเขินอายหรือคิดจะหลีกเลี่ยงเลยสักนิด กวาดสายตามองสันหลังอันเปลือยเปล่าของเด็กหนุ่มผู้นี้

“เจ้าเรียกท่านแม่เจ้า ออกไป ก็เพื่อ ให้ข้าดูสิ่งนี้หรือ” นางกล่าวช้าๆ

ท่านชายโจวหกหันหลังให้

นายหญิงผู้นี้ไม่ได้บ้าจริงๆ ถึงกับดูออกว่าท่านแม่ถูกจงใจเรียกให้ออกไป

“ข้า…” เขากัดฟันแล้วหันมา ดึงกิ่งไม้ออกหนึ่งอันทำทีเป็นเฆี่ยนตีบนร่างกายของตนต่อหน้าหญิงสาวตรงทางเดิน

จริงๆ แล้วนี่เป็นครั้งที่สองที่เขาเจอกับเฉิงเจียวเหนียง เขานึกว่าเขาจะจำรูปลักษณ์ของหญิงสาวผู้นี้ไม่ได้แล้ว ไม่คิดว่าพบกันคราวนี้ กลับคุ้นเคยเหมือนพบกันบ่อยครั้ง

หญิงสาวที่สวมเสื้อคลุมแต่ถอดหมวกคลุมออกแล้วตรงทางเดินนั้น ภายใต้ผมหน้าม้าตรงเป็นระเบียบ ดวงตาคู่นั้นมองดูเขาอย่างแข็งทื่อ ถ้าจะพูดให้ถูก คือมองหน้าอกที่เปลือยเปล่าของเขา

ไม่รู้ว่าหนาวหรือเพราะอะไร ผิวหนังที่เปลือยเปล่าของท่านชายโจวหกก็เริ่มแดงขึ้น

ท่านชายโจวหกไม่เคยพบหญิงสาวที่ใช้สายตาเช่นนี้มาสังเกตดูชายหนุ่ม อีกยังเป็นชายหนุ่มที่เปลือยท่อนบนอีก ไม่เหมือนสาวใช้ข้างๆ ที่ยื่นมือมาปิดตาไว้

เฉิงเจียวเหนียงค่อยๆ ละสายตามามองใบหน้าของเขา

“เจ้า” นางพูดต่อท่านชายโจวหก มือก็ยื่นออกมาจากในเสื้อคลุมแล้วใช้นิ้วชี้ไปทางเขา “ถอดจนหมด ไม่น่าดู”

………………………………………………