บทที่ 105 แข่งขันรอบชิงชนะเลิศ

ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย

หนึ่งร้อยห้า

แข่งขันรอบชิงชนะเลิศ

หลังจากไปส่งเสวี่ยเจียเยว่ที่หน้าประตูทางเข้าศาลาสำหรับชมการแข่งขัน เสวี่ยหยวนจิ้งก็รู้สึกสบายใจขึ้น แต่ขณะที่เขากำลังจะเดินจากไป เสวี่ยเจียเยว่นึกถึงตอนที่เขากับตันหงอี้ประกาศสงครามกัน และเธอไม่สบายใจเท่าไรนัก จึงจับแขนเขาพร้อมเอ่ยด้วยความเป็นห่วง

“ท่านพี่ ท่านต้องระวังตัวนะเจ้าคะ จะแพ้หรือชนะมันไม่สำคัญนัก สิ่งสำคัญที่สุดคือได้เข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้ใช่หรือไม่เจ้าคะ”

เธอยังไม่อยากให้เสวี่ยหยวนจิ้งกับตันหงอี้ขัดแย้งกัน เพราะตันหงอี้เป็นคู่แข่งของเขาคนหนึ่ง เธอกลัวว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะได้รับบาดเจ็บ

“อือ” เสวี่ยหยวนจิ้งตอบ ก่อนจะยกมือขึ้นลูบหลังมือเสวี่ยเจียเยว่เบาๆ พร้อมเอ่ยปลอบใจ “ข้ารู้ เจ้าทำใจให้สบายดูข้าแข่ง ไม่ต้องกังวลเรื่องใด และอย่าเดินไปไหน รอข้ามารับเจ้า”

เดิมทีเขาไม่สนใจว่าการแข่งขันรอบนี้ตนจะแพ้หรือชนะ ทว่าตันหงอี้กล้ามายั่วโทสะเขาเช่นนี้ เขาจะทนได้อย่างไร ถึงอย่างไรก็ต้องเอาชนะอีกฝ่ายให้ได้

แต่เขารู้ดีว่าเสวี่ยเจียเยว่เป็นห่วง จึงได้แต่คิดในใจเท่านั้น และปลอบใจให้แม่นางน้อยสงบลง

เมื่อเห็นเสวี่ยเจียเยว่เข้าไปในศาลาแล้ว เขาก็เดินตรงไปที่สนามแข่ง

แม้ว่าตำแหน่งที่นั่งบนตั๋วของเสวี่ยหยวนจิ้งจะไม่ดีเท่าตั๋วของตันหงอี้ แต่ก็ถือว่าไม่แย่เท่าไรนัก

ศาลาหลังนี้มีสองชั้น และตำแหน่งที่นั่งในตั๋วอยู่ชั้นสอง เมื่อเธอขึ้นไปก็พบว่าคนที่อยู่บนชั้นนี้ล้วนเป็นสตรีทั้งนั้น เห็นได้ชัดว่าศาลานี้มีไว้ให้สตรีชมการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ

และนี่คือสิ่งที่เสวี่ยเจียเยว่ต้องการ…

ชุดของเธอดูโดดเด่นเป็นอย่างมาก ทำให้สายตาของสตรีที่นั่งอยู่บนชั้นนี้จับจ้องมาที่เธอเป็นจุดเดียว หลังจากเธอถอดหมวกออกแล้ว ทุกคนก็ยิ่งไม่อาจละสายตาไปจากชุดของเธอได้

บทบาทของนางแบบก็คงจะเป็นประมาณนี้ และเมื่อคนอื่นได้มองชุดที่นางแบบสวม ก็จะคิดว่าหากตนได้สวมบ้างคงจะสวยเช่นเดียวกัน แล้วความต้องการซื้อก็จะตามมา

ไม่นานก็มีแม่นางผู้กล้าหาญคนหนึ่งเดินมาถามเสวี่ยเจียเยว่ว่าชุดที่เธอสวมนี้ตัดที่ร้านไหน เสวี่ยเจียเยว่ตอบด้วยรอยยิ้มเช่นเดียวกับตอนที่เธอพูดกับสตรีที่พบกันระหว่างเดินมาก่อนหน้านี้ จากนั้นจึงหยิบกระดาษแข็งที่เธอเรียกว่านามบัตรออกมาจากถุงผ้าใบเล็กและส่งให้สตรีหลายคน ส่วนเหล่าคุณหนูและฮูหยินที่ไม่ได้เดินมาถามนั้น เสวี่ยเจียเยว่ผู้หน้าหนาก็เดินไปส่งกระดาษแข็งแผ่นเล็กให้พวกนางเอง

หลังจากผ่านพ้นวันนี้ไป สตรีในเมืองผิงหยางส่วนใหญ่คงจะรู้จักร้านตัดชุดซู่ยวี่เซวียนแล้วกระมัง

เมื่อแจกกระดาษแข็งแผ่นเล็กที่เรียกว่านามบัตรแล้วเสร็จ เสวี่ยเจียเยว่ก็เดินไปยืนบนระเบียง และมองไปยังสนามแข่งขันที่อยู่ไม่ไกลนัก

ผู้เข้าแข่งขันจากสำนักศึกษาไท่ชูและสำนักศึกษาถัวเยว่กำลังเข้าสู่สนามแข่งขัน ตอนนี้พวกเขาทั้งหมดนั่งอยู่บนหลังม้าพร้อมกับถือไม้ตีลูกหนัง จากนั้นเสียงฆ้องและกลองก็ดังขึ้น ทำให้เลือดทั่วร่างของทุกคนพลุ่งพล่านขึ้นมา

เสวี่ยเจียเยว่รู้แล้วว่าการแข่งขันใกล้จะเริ่มขึ้น

เธอเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งในกลุ่มผู้เข้าแข่งขันจากสำนักศึกษาไท่ชู ก่อนจะหันไปมองกลุ่มผู้เข้าแข่งขันจากสำนักศึกษาถัวเยว่… และเห็นตันหงอี้

เดิมทีสำนักศึกษาทั้งสองแห่งนี้เป็นสำนักศึกษาที่ดีที่สุดในเมืองผิงหยาง ตอนสอบเข้าสำนักศึกษาในทุกปีจะมีการแข่งขันกันอย่างลับๆ

คิดไม่ถึงว่าปีนี้ผู้เรียนจากสำนักศึกษาทั้งสองแห่งจะได้มาเผชิญหน้ากันบนสนามแข่งขันจีจวี อีกทั้งการแข่งขันยังดูยิ่งใหญ่มาก ซึ่งจะต้องดุเดือดกว่าครั้งก่อนๆ ด้วยเหตุนี้ค่าตั๋วจึงแพงลิ่ว แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ขายตั๋วออกไปจนหมดเกลี้ยง

เสวี่ยเจียเยว่เห็นคนโบกธงสีแดงในสนามแข่ง เพื่อแสดงให้รู้ว่าการแข่งขันเริ่มต้นขึ้นแล้ว

จากนั้นก็ได้ยินเสียงกีบม้า เพราะผู้เข้าแข่งขันในสนามต่างเร่งม้าที่ตนขี่ และแกว่งไม้ในมือเพื่อเข้าแย่งชิงลูกหนังลูกนั้น

++++++++++

ในสนามเต็มไปด้วยผู้เข้าแข่งขันที่สวมชุดสีดำและสีแดง ไหนเลยจะรู้ได้ว่าใครเป็นใคร

พวกเขาเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วจริงๆ บางครั้งเห็นเพียงภาพสีดำหรือไม่ก็สีแดง แน่นอนว่าภายใต้การแข่งขันที่ดุเดือดนี้ต้องมีผู้บาดเจ็บอย่างเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งจะมีเสียงฆ้องดังขึ้นเป็นบางครั้ง นั่นหมายความว่ามีคนตกจากหลังม้า ให้หยุดการแข่งขันเอาไว้ชั่วคราว เพื่อนำตัวผู้ได้รับบาดเจ็บออกมา จากนั้นจึงเปลี่ยนผู้เล่นใหม่เข้าไปแทน เมื่อธงสีแดงโบกสะบัดอีกครั้ง การแข่งขันก็ดำเนินต่อไป

เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกกังวลว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะได้รับบาดเจ็บ ถึงอย่างไรม้าก็เป็นสัตว์ หากมีผู้บาดเจ็บตกลงมาจากหลังม้า และถูกม้าตัวอื่นที่ควบคุมไม่ได้เหยียบเข้า ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่แขนขาจะหัก

เมื่อได้ยินคนบอกว่ามีผู้เสียชีวิตในการแข่งขันเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ หัวใจของเสวี่ยเจียเยว่ก็เต้นเร็วจนจุกแน่นมาถึงคอ เธอยกมือทั้งสองข้างขึ้นทาบอกแน่นจนข้อนิ้วขาวซีด

การแข่งขันอย่างดุเดือดผ่านมาครึ่งชั่วยาม แต่เสวี่ยเจียเยว่กลับรู้สึกว่ามันยาวนานกว่าแปดปีสิบปี

ในที่สุดเสียงฆ้องและเสียงกลองก็ดังขึ้นอีกครั้ง ทำให้รู้ว่าการแข่งขันจบลงแล้ว

เสวี่ยเจียเยว่กังวลใจตั้งแต่ช่วงที่สำนักศึกษาทั้งสองแห่งเตรียมความพร้อมก่อนการแข่งขัน และระหว่างการแข่งก็มีช่วงที่ต้องหยุดกลางคันชั่วคราวหลายครั้งเพราะผู้เล่นได้รับบาดเจ็บ เมื่อรู้ว่ายามนี้การแข่งขันได้จบลงแล้ว เธอก็รีบเดินลงบันไดแล้ววิ่งไปที่สนามแข่งทันที

ระหว่างทางที่วิ่งไปเธอได้ยินเสียงต่างๆ นานาถาโถมเข้ามาในหู ล้วนเป็นคำพูดที่แสดงถึงความประหลาดใจกับการแข่งขันที่ดุเดือดในครั้งนี้ และเรื่องค่าตั๋วอันคุ้มค่าคุ้มราคามาก แน่นอนว่าต้องมีโรงบ่อนหลายแห่งรับพนันการแข่งขันจีจวีของสำนักศึกษาที่ดีที่สุดในเมืองผิงหยางทั้งสองแห่ง มีคนจำนวนมากเดิมพันในครั้งนี้ และขณะนี้บางคนก็ยิ้มแย้มแจ่มใสอย่างมีความสุข คงเป็นเพราะชนะพนันได้เงินไปไม่น้อย ขณะที่บางคนเอาแต่ถอนหายใจให้แก่เงินที่ตนเสียไป

แต่เสวี่ยเจียเยว่ไม่สนใจเรื่องเหล่านี้แม้แต่น้อย เธอเพียงก้าวไปข้างหน้าด้วยความเร่งรีบ

เมื่อมาถึงข้างสนามแข่ง ในที่สุดเธอก็ได้พบกับเสวี่ยหยวนจิ้ง

มีผู้คนมากมายกำลังรายล้อมรอบตัวเขา ส่วนใหญ่เป็นผู้เรียนจากสำนักศึกษาไท่ชู และยามนี้ทุกคนต่างก็พูดคุยกับเขาอย่างมีความสุข

เสวี่ยเจียเยว่เบียดคนเหล่านั้นเข้าไปราวกับปลาที่กำลังแหวกว่าย พลางร้องตะโกนเรียกเสียงดัง “ท่านพี่!”

ทั้งที่รอบด้านเต็มไปด้วยเสียงผู้คนดังเซ็งแซ่ ทว่าเสวี่ยหยวนจิ้งยังคงได้ยินเสียงเรียกของเสวี่ยเจียเยว่ในทันที ก่อนจะมองไปตามเสียง และเห็นว่าแม่นางน้อยไม่ได้สวมหมวกที่เขาซื้อให้ เช่นนี้คนอื่นก็คงเห็นใบหน้างดงามมีเสน่ห์กันหมดแล้ว

หลังจากคิดเช่นนั้น สีหน้าของเขาพลันมืดมนลงทันที พร้อมกับก้าวเท้าไปหาเสวี่ยเจียเยว่อย่างรวดเร็ว ก่อนจะยื่นมือไปโอบไหล่บอบบางและกดศีรษะเล็กเข้ามาในอ้อมกอดของตน

ทว่าหลายคนได้เห็นใบหน้าของเสวี่ยเจียเยว่แล้ว โดยเฉพาะพวกผู้เรียนจากสำนักศึกษาไท่ชู

บางคนที่ไม่เคยพบเสวี่ยเจียเยว่มาก่อนถึงกับตะลึงงัน จากนั้นก็เอ่ยถามคนข้างๆ “แม่นางผู้นั้นเป็นอะไรกับเสวี่ยหยวนจิ้งหรือ” เหตุใดเสวี่ยหยวนจิ้งถึงได้ดูกังวลกับนางขนาดนี้

ผู้ที่อยู่ข้างๆ เหลือบมองเขาก่อนจะเอ่ยตอบ “แม่นางผู้นั้นคือน้องสาวของเสวี่ยหยวนจิ้ง มีอันใดหรือ เจ้าไม่เคยได้ยินเรื่องเนี่ยหงเทากับเจี่ยจื้อเจ๋อหรืออย่างไร แม้แต่เจี่ยจื้อเจ๋อคุณชายตระกูลทหารยังไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นน้องเขยของเขาเลย มีหรือว่าเขาจะชอบเจ้า เจ้าเลิกคิดเสียเถอะ”

แต่หลังจากสิ้นประโยคนั้น เขาเองกลับเหลือบมองเสวี่ยเจียเยว่ตาไม่กะพริบ พลางคิดว่าแม่นางน้อยถูกเสวี่ยหยวนจิ้งกดศีรษะเข้าไปในอ้อมกอด คนอื่นจะมองเห็นใบหน้างดงามได้อย่างไร

อีกฝ่ายบ่นเสียงเบาอย่างไม่ยินยอม “เสวี่ยหยวนจิ้งหวงน้องสาวเช่นนี้ แม้แต่มองก็ยังไม่ได้ ยิ่งกว่าหยกล้ำค่าที่ไม่อาจมีหยกใดเทียบได้เสียอีก ไม่รู้ว่าต่อไปผู้ใดจะสามารถเข้าตาเป็นน้องเขยของเขาได้”

ขณะที่พวกเขาสนทนากันอยู่นั้น เสวี่ยเจียเยว่ไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย เมื่อครู่เสวี่ยหยวนจิ้งก้าวมาหาเธอ แต่ยังไม่ทันได้ถามว่าเขาบาดเจ็บอันใดหรือไม่ ก็ถูกเขากดศีรษะเข้าไปในอ้อมกอดเสียก่อน

แม้ว่ารูปร่างของชายหนุ่มจะดูผอมบาง แต่กล้ามเนื้อบนตัวเขาก็แข็งแกร่งราวศิลา หากเธอไม่ใช้มือดันไว้ ยามนี้ใบหน้าของเธอคงถูกกดจนแบนราบเลยกระมัง

เป็นเช่นนี้อยู่ครู่หนึ่ง เธอก็รู้สึกเจ็บปวดจมูกขึ้นมา จึงเริ่มไม่พอใจพลางยกมือขึ้นถูจมูกเบาๆ ในอ้อมกอดของชายหนุ่มและเอ่ยถาม

“ท่านพี่ ท่านทำอันใดเจ้าคะ”

เป็นเพราะใบหน้าข้างหนึ่งของเธอแนบชิดกับแผงอกของเขา เสียงที่เปล่งออกมาในยามนี้จึงอู้อี้เล็กน้อย

เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ตอบอันใด เพียงโอบกอดเสวี่ยเจียเยว่เอาไว้พร้อมกับพาไปยังบริเวณที่มีคนน้อย โดยมีแท่นวางดอกไม้บดบังอยู่ จากนั้นก็ปล่อยคนในอ้อมกอดพร้อมเอ่ยถามด้วยสีหน้านิ่งขรึม

“ตอนเช้าข้าพูดอันใดกับเจ้า ข้าบอกให้เจ้าสวมหมวกและห้ามถอด เหตุใดตอนนี้เจ้าถึงไม่สวม”

สายตาของเขามองเห็นมือที่ว่างเปล่าของเสวี่ยเจียเยว่ จึงถามขึ้นอีก “หมวกนั้นอยู่ที่ไหน”

เสวี่ยเจียเยว่ยังลูบจมูกของตน เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็กลอกตาให้เขาทันที “เวลานี้จะสวมสิ่งที่น่ารำคาญเช่นนั้นไปทำไม ท่านวางใจเถอะ ข้าไม่กลัวผิวดำ”

เสวี่ยหยวนจิ้งถึงกับสะอึกเมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย ในขณะที่เขาอยากจะดุสักสองสามประโยค ก็เห็นว่าเสวี่ยเจียเยว่เอาแต่ยกมือถูจมูกตลอดเวลา คงเป็นเพราะถูกกระแทกเมื่อครู่นี้ เขาจึงเอื้อมมือไปลูบจมูกของแม่นางน้อยพร้อมทั้งเอ่ยถาม “เจ็บหรือไม่”

เมื่อเห็นท่าทางของเขาอ่อนลง เสวี่ยเจียเยว่ก็ทำหน้าบึ้งตึงขมวดคิ้วให้ ก่อนจะเอ่ยอย่างน้อยใจ “เจ็บสิเจ้าคะ”

จากนั้นเธอก็บ่นเขาอีก “เมื่อครู่นี้ท่านใช้แรงมากมายขนาดนั้นกดข้าเข้าไปในอ้อมกอดของท่านด้วยเหตุอันใด ท่านทำเบาๆ กว่านี้ไม่ได้หรือ”

เสวี่ยหยวนจิ้งอารมณ์ดีขึ้นมากจึงปล่อยให้อีกฝ่ายบ่นต่อไป เขาทำเพียงขมวดคิ้ว ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“ข้ารู้แล้ว เช่นนั้นต่อไปข้าจะเบาๆ หน่อยก็แล้วกัน”

ครั้งนี้กลับเป็นเสวี่ยเจียเยว่ที่สะอึกเพราะคำพูดของเขาแทน

เรื่องที่เสวี่ยเจียเยว่อยากรู้คือเหตุใดเขาถึงกดศีรษะเธอเข้าไปในอ้อมกอด แต่เสวี่ยหยวนจิ้งกลับเน้นความสำคัญไปที่การใช้แรงมากน้อยได้อย่างไร

อีกอย่าง… ตอนนี้เธอไม่ใช่เด็กๆ แล้ว เสวี่ยหยวนจิ้งกอดเธอเช่นนั้นโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยจะไม่เป็นอะไรได้อย่างไร ทั้งยังอยู่ต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนั้น

ความรู้สึกเดียวที่ผุดขึ้นมาในใจของเสวี่ยเจียเยว่ตอนนี้คือ เธอเคยได้ยินคนพูดถึงพวกบ้าปกป้องภรรยา แต่เสวี่ยหยวนจิ้งเหมือนจะเป็นคนบ้าปกป้องน้องสาวของตัวเองขึ้นทุกที