ภาคที่ 1 การรุกกลับของศิษย์พี่ บทที่ 60 ขอคนไม่มีให้ ที่มีคือกำปั้นคู่หนึ่ง!

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ผู้อาวุโสฉินนั่งนิ่งไม่ขยับ ดวงตาทั้งสองข้างมองเยี่ยนจ้าวเกอ แล้วเปลี่ยนไปมองเฟิงอวิ๋นเซิง

แววตาของท่านผู้นี้ แข็งกร้าวราวกับจะหลอมเป็นวัตถุ เขาจ้องมองไปที่ข้อมือของเฟิงอวิ๋นเซิง คล้ายกำลังตรวจจับชีพจรด้วยแววตา

เฟิงอวิ๋นเซิงยืนอยู่ที่เดิมอย่างเงียบเชียบ หลังจากชั่วครู่หนึ่งผู้อาวุโสฉินก็เก็บสายตากลับคืน

“ชีพจรของนางเคยเป็นจันทรากายอย่างแท้จริง แต่บัดนี้พลังหยินสะท้อนกลับอย่างรุนแรง จนสลายหายไปหมดสิ้นแล้ว เพียงแต่ว่าเก่งกาจกว่าคนปกตินิดหน่อยเท่านั้น”

ผู้อาวุโสฉินมองไปที่เยี่ยนจ้าวเกอ แล้วพยักหน้าช้าๆ “อย่างไรก็ต้องตรวจสอบคนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ให้ถี่ถ้วนก่อน แล้วถึงจะตัดสินได้ในท้ายที่สุด”

เหยียนซวี่และคนอื่นก็พยักหน้าด้วยเช่นกัน นี่เป็นเหตุผลที่ถูกต้อง ไม่ได้เหนือความคาดหมายของพวกเขาแต่อย่าใด

ทว่าหลังจากนั้นผู้อาวุโสฉินชะงักไปเล็กน้อย สายตาที่มองไปยังเฟิงอวิ๋นเกอมีความเสียดายปะปนอยู่ “พรสวรรค์ของนางโดดเด่นกว่าคนทั่วไป ไม่รู้ว่าการทำความเข้าใจและนิสัยของนางเป็นอย่างไร”

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มครั้งหนึ่ง “ตอนนั้นหากไม่ใช่เพราะนางประสบกับอุบัติเหตุ ผู้ที่ได้รับคัดเลือกให้เข้าร่วมการทดสอบแห่งจันทราของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เป็นอันดับแรก แท้จริงแล้วก็คือนางขอรับ”

“เหตุผลหนึ่งในนั้นก็คือนางได้เข้าเป็นศิษย์ในสำนักก่อน แต่อย่างน้อยๆ ที่ทราบได้ก็คือ นางไม่ได้ด้อยไปกว่าเมิ่งหว่านแน่นอน”

เมิ่งหว่านไม่ได้เป็นเพียงสตรีจันทรา พรสวรรค์ด้านวรยุทธ์ติดตัวนางก็ไม่ธรรมดา นับว่ามีชื่อเสียงโด่งดังเป็นอันดับต้นๆ ในกลุ่มคนรุ่นเดียวกัน

พลังของนางแข็งแกร่งขึ้นทุกวี่วัน แม้กระทั่งมีโอกาสได้เป็นรุ่งอรุณทั้งสี่อยู่รางๆ

เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวว่า “เพียงแต่หากตอนนั้นศิษย์น้องเฟิงทำให้เซียวเซิงบาดเจ็บบริเวณอื่น ที่ไม่ใช่การตัดตอนเป็นขันทีเช่นนี้แล้วล่ะก็ อาจจะไม่ต้องถึงขั้นต้องหลบหนีเช่นนี้ก็เป็นได้”

ผู้อาวุโสฉินพยักหน้า แล้วไตร่ตรองอีกครั้ง

หากพรสวรรค์ของเฟิงอวิ๋นเซิงนั้นธรรมดาสามัญ เช่นนั้นแล้วรับตัวนางไว้เพียงแค่เพราะเกลียดชังสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ สำหรับเขากว่างเฉิงแล้วไม่มีความจำเป็นแต่อย่างใด

ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายก็ไม่ได้สมานฉันท์กัน ทว่าก็ยังไม่ถึงขั้นที่จะไม่ยอมซึ่งกันและกันด้วยเรื่องเพียงเท่านี้

ถ้าเป็นเมืองทะเลมรกต ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งวารีพิภพ กับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่มีความสัมพันธ์เสมือนน้ำกับไฟ เช่นนั้นอาจจะมีความเป็นไปได้

ลองคิดดูจากมุมอื่นแล้ว ที่นั่นคงดีที่สุดสำหรับเฟิงอวิ๋นเซิง

เพียงแต่ว่าวารีพิภพอยู่ไกลจากนภาพิภพและอัคคีพิภพเกินไป การที่เฟิงอวิ๋นเซิงจะหลบหนีจากการไล่ล่าไปยังวารีพิภพเพียงลำพังนั้นเป็นเรื่องที่ยากเป็นอย่างยิ่ง

ดังนั้นเขากว่างเฉิงจึงกลายเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกับนางที่สุด

หากในตอนนั้นเยี่ยนจ้าวเกอไม่รั้งนางเอาไว้ และไม่จับนางส่งให้เซียวเซิงแล้วล่ะก็ เฟิงอวิ๋นเซิงก็เตรียมตัวที่จะเสี่ยงอันตรายมุ่งหน้าไปวารีพิภพเพียงลำพัง

ทว่าบัดนี้ หลังจากที่ผู้อาวุโสฉินตรวจสอบพบแล้วว่าแม้นางจะสูญเสียจันทรากายไป ถึงกระนั้นตัวนางก็ยังเป็นอัจฉริยะเหนืออัจฉริยะ และเป็นสตรีที่คุ้มค่าแก่การบ่มเพาะ

นี่จึงทำให้ผู้อาวุโสฉินและเขากว่างเฉิงสับสนอยู่บ้าง

ผลพวงที่จะได้รับกับราคาที่ต้องจ่าย จำเป็นต้องชั่งน้ำหนักให้ดี

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มเล็กน้อย “ที่จริงแล้วมีวิธีที่จะฟื้นฟูจันทรากายของศิษย์น้องเฟิงกลับคืนมาได้ขอรับ”

ผู้อาวุโสฉินขมวดคิ้ว ทว่าก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา เพียงมองไปที่เฟิงอวิ๋นเซิงอีกครั้ง

ครั้งนี้เขายกมือขึ้นชี้นิ้วไปในอากาศ แสงสายหนึ่งก็พุ่งออกจากนิ้วมือของเขา ก่อนจะตกลงบนข้อมือของเฟิงอวิ๋นเซิง

หลังจากตรวจสอบสภาพของเฟิงอวิ๋นเซิงอย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกครั้งแล้ว ผู้อาวุโสฉินก็มองเยี่ยนจ้าวเกอพลางถามเสียงต่ำว่า “เจ้าพูดเช่นนี้จะยืนยันด้วยอะไร”

เหยียนซวี่ก็มองเฟิงอวิ๋นเซิงแวบหนึ่งเช่นกัน พลางจ้องมองบนข้อมือของเฟิงอวิ๋นเซิง

ชั่วขณะหนึ่ง เหยียนซวี่ก็ละสายตากลับมา แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “พูดว่าได้รับความเสียหายนั่นยังน้อยไป ไม่ใช่แค่เพียงได้รับความเสียหายแล้ว แต่หายไปอย่างสิ้นเชิงแล้วต่างหาก”

“การจะฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ ความยากก็ไม่ต่างอะไรกับการคืนชีพให้กับคนที่ตายไปแล้ว”

“อีกทั้งยังไม่ใช่เพิ่งสิ้นลมหายใจไป แต่เป็นคนที่ตายไปแล้วสองปีต่างหาก”

เหยียนซวี่มองเยี่ยนจ้าวเกอ “ช่วงหลายวันมานี้ เจ้ามักจะทำเรื่องใหญ่เหนือความคาดหมายของทุกคนได้สำเร็จก็จริงอยู่ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะมีความสามารถที่จะฟื้นชีพคนตายได้ด้วยหรือไม่”

ผู้อาวุโสฉินไม่ได้พูดอะไร แต่เห็นได้ชัดว่าเห็นด้วยกับความคิดของเหยียนซวี่

เขามองเยี่ยนจ้าวเกออย่างเงียบๆ รอคำอธิบายจากชายหนุ่ม

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “ท่านผู้อาวุโสฉินเมื่อครู่ท่านได้พูดเอาไว้ว่า ปราณหยินในร่างกายของศิษย์น้องเฟิงแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปอยู่ครึ่งเท่าใช่หรือไม่”

ผู้อาวุโสฉินพยักหน้า “ไม่ผิด”

ชายหนุ่มกล่าวอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อนต่อ “ตอนแรกที่ข้าพบกับนาง ที่จริงแล้วนางไม่ได้แตกต่างจากคนปกติเลยสักนิด จันทรากายแห้งเหือดสูญสิ้นอย่างสิ้นเชิง พบเพียงร่องรอยแต่กลับไม่มีปราณหยินเลยแม้แต่นิดเดียว”

“หือ?!” ดวงตาทั้งสองของผู้อาวุโสฉินเบิกกว้าง

เขามองไปที่เฟิงอวิ๋นเซิงอย่างเหลือเชื่อ จากนั้นเฟิงอวิ๋นเซิงจึงเปิดปากพูดว่า “ช่วงหลายวันมานี้ ข้าได้ร่วมเดินทางกับศิษย์พี่เยี่ยน และได้รับการฝังเข็มจากวิชาลับเข็มทองของศิษย์พี่เยี่ยนลงไปที่จุดลมปราณ ในเส้นเลือดลมที่เหือดแห้งไป ก็รู้สึกได้รางๆ ว่ามีปราณหยินเกิดขึ้นมาใหม่เจ้าค่ะ”

“แม้ว่าจะช้ามาก แต่ก็ต่างจากก่อนหน้านี้แล้ว”

เหยียนซวี่และคนอื่นๆ ต่างก็มองเยี่ยนจ้าวเกอและเฟิงอวิ๋นเซิงอย่างรู้สึกเหลือเชื่อ

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มแล้วพูดว่า “สำนักของเราไม่มีสตรีจันทรามาโดยตลอด ตามหาทุกหนทุกแห่งไหนก็ไม่พบ หลายปีมานี้ได้เห็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งอื่นๆ สามารถเข้าแย่งชิงมงกุฎจันทราได้ แต่สำนักของเราทำได้เพียงแค่เป็นผู้ชม ในใจข้าร้อนรนเป็นอย่างมาก”

“ข้าจึงคิดว่า สตรีจันทราล้วนแล้วถือกำเนิดมาโดยธรรมชาติ เช่นนั้นจะเป็นไปได้หรือไม่ ที่จะสร้างจันทรากายขึ้นมาได้ในภายหลัง”

“ดังนั้นข้าถึงรวบรวมคัมภีร์ลับต่างๆ ศึกษาวิจัยทางด้านนี้ด้วยตนเอง” เยี่ยนจ้าวเกอส่ายหน้าด้วยความรู้เสียดายเล็กน้อย “น่าเสียดาย จันทรากายเป็นของขวัญล้ำค่าที่ฟ้าประทาน ไม่มีความหวังหรือความคืบหน้าที่จะสร้างขึ้นในภายหลังเลย”

เขาหันไปมองเฟิงอวิ๋นเซิง “แต่ข้าก็ได้สั่งสมความรู้ด้านนี้มามากมายยิ่งนัก จนพบว่าแม้จะไม่สามารถสร้างขึ้นได้ในภายหลัง แต่ถ้าหากสภาพจันทรากายที่มีมาแต่กำเนิดได้รับความเสียหาย ก็มีความเป็นไปได้ที่จะฟื้นฟูได้เช่นกัน”

“ต้องขอบใจศิษย์น้องเฟิงที่เชื่อมั่นในตัวข้า ให้ข้าได้ทดลองทำ อย่างไรเสียวิธีที่ข้าคิดออกก่อนหน้านี้ ก็ไม่มีโอกาสได้ทดลองจริงๆ”

ใบหน้าเหยียนซวี่ไร้ซึ่งความรู้สึก พลางมองเยี่ยนจ้าวเกอและเฟิงอวิ๋นเซิงอย่างเฉยชา “เพียงคำพูดจะพิสูจน์ได้อย่างไร”

เยี่ยนจ้าวเกอพลันกล่าว “ตั้งแต่ครั้งแรกที่ข้าได้พบศิษย์น้องเฟิงจวบจนวันนี้ ระยะเวลาไม่ได้ยาวนานแต่อย่างใด”

“รอผ่านไปอีกแค่ไม่กี่วัน ปราณหยินของศิษย์น้องเฟิงก็จะแกร่งขึ้นอีกขั้นหนึ่ง เท่านี้ก็สามารถยืนยันคำพูดของข้าได้แล้ว”

เหยียนซวี่พูดอย่างเย็นชาอีกครั้ง “เมื่อสองวันก่อนข้าเพิ่งไล่คนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์กลับไป ตอนนี้พวกเจ้ากลับมาแล้ว พวกเขาก็คงจะมาหาถึงหน้าประตูในไม่ช้าแน่”

“ถ้าตัดสินก็ต้องตัดสินให้เร็ว ไม่มีเวลามากมายขนาดนั้นมารอให้เจ้าพิสูจน์หรอก”

หางคิ้วเยี่ยนจ้าวเกอกระตุกเบาๆ ครั้งหนึ่ง ขณะกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าผู้อาวุโสฉินยกมือขึ้นห้ามเขาไว้

ดวงตาทั้งสองของผู้อาวุโสร่างสูงใหญ่ของเกาะตะวันออกมองตรงไปที่เยี่ยนจ้าวเกอ “ข้าเชื่อก่อนก็ได้ว่าคำพูดของเจ้าเป็นความจริง แต่วิธีของเจ้าจะสามารถช่วยนางฟื้นฟูได้ถึงระดับไหน ได้เพียงแค่ส่วนหนึ่ง หรือสามารถฟื้นฟูกลับได้ดังเดิม หรืออย่างน้อยก็ใกล้เคียงกับระดับที่อยูในจุดที่แข็งแกร่งที่สุด”

สีหน้าท่าทางของเยี่ยนจ้าวเกอหนักแน่นขึ้นมา กล่าวอย่างช้าๆ ว่า “การฟื้นฟูจำเป็นต้องใช้เวลา อีกทั้งยังมีเงื่อนไขด้านทรัพยากรและสภาพแวดล้อมที่จำเป็น ตอนนี้เงื่อนไขต่างๆ ยังไม่ครบครัน ยังต้องเก็บรวบรวมเพื่อเตรียมพร้อมขอรับ”

“ส่วนจะฟื้นฟูได้ถึงระดับไหนนั้น…” เยี่ยนจ้าวเกอสบตากับผู้อาวุโสฉินอย่างใจเย็น

“แข็งแกร่งยิ่งกว่านางในตอนนั้น!”

เยี่ยนจ้าวเกอพลันยิ้มขึ้นมา “หากทำไม่ได้ ข้าจะเข้าหุบเขาผนึกเวหาด้วยตัวเอง”

ผู้อาวุโสฉินมองเยี่ยนจ้าวเกอ แววตาลุ่มลึกและสงบนิ่ง

เหยียนซวี่ขมวดคิ้ว ขณะที่กำลังจะพูด ก็มีคนจากด้านนอกเข้ามารายงานว่าคนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มาถามไถ่เอาความผิด

“ท่านผู้อาวุโสฉิน” เหยียนซวี่มองไปยังผู้อาวุโสฉิน

ชายชราร่างสูงใหญ่มองอย่างหงุดหงิด “ไล่กลับไป ขอคนไม่มีให้ ที่มีคือกำปั้นคู่หนึ่ง!”

……………