บทที่ 132 ประชาพิจารณ์

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

แต่ว่า หกพันตำลึงออกจะมากไปหน่อย!

อวี้ถังเอ่ยว่า “ท่านพ่อ ท่านลองคิดดูอีกหน่อยไหมเจ้าคะ นายท่านเจียงเป็นคนทำมาค้าขาย อย่างไรก็ไม่ออกเรือแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวแน่ พวกเราเองก็เพิ่งรู้จักกับเขา ค่อยๆ ขยับไปทีละขั้นไม่ดีกว่าหรือเจ้าคะ?”

อวี้เหวินไม่ใช่หัวหน้าครอบครัวที่คร่ำครึหัวโบราณ ตรงกันข้าม เขาชมชอบวิธีการที่ทุกคนปรึกษาหารือและช่วยกันลงมือทำ อีกทั้งเขาก็รู้ว่า ความคิดเห็นของอวี้ถังเท่ากับความคิดเห็นของคนอื่นในสกุล ถ้าเขาต้องการการสนับสนุนจากผู้อื่น ก็ต้องพูดกล่อมอวี้ถังให้ได้เสียก่อน ผู้อื่นถึงจะคล้อยตามไปด้วย

“อาถัง คำพูดของเจ้ามีเหตุผลไม่น้อย” อวี้เหวินเค้นความคิด ก่อนจะเอ่ยต่อว่า “บางครั้งพวกเราร่วมหุ้นกันทำการค้า ทว่าสิ่งที่ทำจริงๆ มิใช่การค้า แต่คือการเป็นคน ต้องรู้เอาไว้ว่า การค้าเป็นของตาย แต่คนนั้นมีชีวิต ขอเพียงคนซื่อตรงมีสัจจะ มีความสามารถและพรสวรรค์มากพอให้เชื่อถือ ต่อให้การค้าขายครั้งนี้เขาจะไม่ทำกำไร แต่ครั้งต่อๆ ไปย่อมสำเร็จแน่ พวกเราแค่ต้องเดินตามเขาไปก็พอแล้ว รอวันที่เขาสยายปีกโบยบิน ก็คือวันที่เราจะได้เงินเป็นล่ำเป็นสัน สายตาของเจ้าต้องมองออกไปให้ไกลกว่านี้ อย่าเอาแต่จดจ้องกำไรขี้ปะติ๋วตรงหน้า” พูดจบ เขาก็หันไปพูดกับอวี้ป๋อว่า “ก็เหมือนนายท่านอู๋ข้างบ้านเรา พวกเขาร่ำรวยขึ้นมาได้ก็เพราะได้พี่เขยดี แต่ที่พี่เขยเขามีทุกวันนี้ได้ มิใช่เพราะตอนผู้เฒ่าสกุลอู๋ยังอยู่ก็คอยส่งเขาร่ำเรียนหรือ การค้าขายนั้น บางครั้งก็ใช้หลักการเช่นเดียวกัน”

อวี้ถังพลันหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก

เมื่อครั้งที่ท่านผู้เฒ่ายังมีชีวิต ในบ้านก็เหลือทรัพย์สินไม่เท่าไรแล้ว ทั้งภาษีและเงินที่ต้องจ่ายทางการทุกๆ ปีก็กดทับเสียจนหายใจไม่ออก เขาถึงได้ตัดสินใจเลือกผู้ที่มีพรสวรรค์ด้านการเล่าเรียนทว่ายากจนอย่างพี่เขยของนายท่านอู๋ และส่งเสียเขาถึงสิบปี พี่เขยของนายท่านอู๋ก็มุมานะบากบั่น สอบได้เป็นจิ้นซื่อ รับตำแหน่งผู้ดูแลสำนักศึกษาอยู่ที่เจียงซี นับแต่นั้นสกุลของนายท่านอู๋ก็ได้ลืมตาอ้าปากจริงๆ เสียที ไม่ต้องคอยกลัวว่าคนของทางการจะมาหาเรื่อง ทั้งยังสามารถไปมาหาสู่กับสกุลขุนนางได้อีกด้วย

เพราะมีตัวอย่างให้เห็นก่อนหน้า ตอนที่นายท่านอู๋เลือกลูกเขยทั้งสองคนจึงล้วนเป็นบัณฑิตทั้งสิ้น หนึ่งในนั้นคือซิ่วไฉ ส่วนอีกคนเป็นจวี่เหริน

ในเมืองหลินอันแห่งนี้ นับว่าเป็นสกุลที่มีประวัติความเป็นมาอยู่บ้าง

การมีเงินเก็บออมไม่สู้นำไปส่งเสียให้คนเล่าเรียนเขียนอ่านหรือไม่ก็ทำการค้า หลักการนี้นางเข้าใจดี ไม่เช่นนั้น นางก็คงไม่หาข้ออ้างไปที่เมืองซูโจวหรอก แต่นางไม่ได้กังวลถึงหลักการพวกนั้น เรื่องบางเรื่องเมื่อชาติก่อนนางก็เพียงแค่ได้ยินได้ฟังมา ส่วนความจริงเป็นเช่นไรยังต้องไปดูให้รู้ด้วยตนเอง เงินที่ได้จากการประมูลแผนที่แม้เป็นลาภลอยซึ่งได้มาอย่างไม่คาดฝัน แต่อย่างไรล้วนนับเป็นเงินทอง ไม่อาจสิ้นเปลืองตามใจชอบได้

นางอดจะพูดต่อไม่ได้ว่า “ท่านพ่อ ท่านพูดถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ ดังนั้นข้าถึงบอกว่าจะลงเงินให้น้อยลงหน่อยได้หรือไม่ ถึงอย่างไรบ้านเราก็ไม่มีเงินเป็นถุงเป็นถัง สวนป่าทางนั้นต้องใช้เงิน ร้านเครื่องลงรักต้องใช้เงิน เงินทองมีมาก แต่มากพอจะใช้ทั้งชีวิตอันยาวนานหรือ มิสู้เป็นลำธารสายน้อยที่ค่อยๆ ไหลจะดีกว่า”

อวี้ป๋อพยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วย

เงินหกพันตำลึง สำหรับเขาแล้ว เป็นเรื่องที่ก่อนหน้านี้ไม่กล้าจะวาดฝันถึงด้วยซ้ำ

ลุงทนมาก กำไรมาก ความสูงก็มากเช่นเดียวกัน

เขายอมที่จะค่อยเป็นค่อยไป ต่อให้ต้องเข้าเนื้อ แต่ก็คงไม่ปวดใจนัก

อวี้เหวินเห็นพี่ชายผงกศีรษะคล้อยตามวาจาของอวี้ถัง จึงโพล่งไปว่า “ท่านพี่ เติมดอกลายบนดิ้นไหม[1]กับส่งถ่านกลางหิมะ[2]นั้นต่างกัน ข้าเห็นว่านายท่านเจียงเป็นคนดี ดังนั้นถึงอยากจะร่วมลงหุ้นกับเขา บัดนี้เขาเพิ่งเดินก้าวแรก นับว่าเป็นช่วงที่ยากที่สุด พวกเราหากต้องรอให้เขาประสบความสำเร็จแล้วค่อยไปขอร่วมหุ้น มิสู้อาศัยช่วงเวลานี้ทุ่มสุดตัว ผูกพันธมิตรกับเขาไว้เสีย ต่อไปถ้ามีการค้าขายที่ดีกว่านี้ พวกเราจะได้มีสิทธิ์ไปต่อรองกับเขาได้ และเขาก็อาจจะช่วยเหลือดูแลเรา! น้ำใจเล็กน้อยเมื่อแรกเริ่มต่างหากถึงจะนับว่าเป็นน้ำใจอันแท้จริง!”

สิ่งสำคัญก็คือ พวกเขาสกุลอวี้ไม่มีใครเด็ดเดี่ยวอาจหาญ กล้าทำการค้าด้วยเงินก้อนใหญ่เพียงนั้น

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่สู้หาผู้ร่วมหุ้นที่พึ่งพาได้ ผู้ร่วมหุ้นได้กินเนื้อ พวกเขาก็ยังได้ดื่มน้ำแกงตามไปด้วย

อวี้ป๋อถูกคำพูดของอวี้เหวินทำให้หวั่นไหว ดวงหน้าขยับขึ้นลงไม่หยุด

อวี้เหวินเห็นแล้วก็ยินดี ยิ้มตาหยีส่งให้อวี้ถัง “ก็ตรงกับที่อวี้ถังพูดไว้ เงินทองมีมาก แต่มากพอจะใช้ทั้งชีวิตอันยาวนานหรือ ในเมื่อเป็นลาภลอย นั่นก็คือได้มาอย่างไม่คาดฝัน และมันคงไม่มีครั้งที่สองอีก หากต้องกำมันไว้แล้วค่อยๆ ใช้จ่าย มิสู้ลองเสี่ยงสักตั้ง ต่อให้ต้องขาดทุน พวกเราก็จะได้สงบใจ คิดเสียว่าเงินนี้ไม่เคยได้มาแต่แรก”

คราวนี้คนสกุลหวังกับสกุลเฉินก็เริ่มพยักหน้าเออออแล้ว

อวี้ถังเอ่ยอย่างจนใจว่า “สิ่งที่ท่านพ่อพูดมาข้าไม่คัดค้าน ข้ากลัวแต่ว่านายท่านเจียงจะเข้าใจผิด คิดว่าพวกเรามีเงินเป็นถุงเป็นถัง ต่อไปหากมีการค้าอะไรก็จะมาขอเงินลงทุนจากเรา หากว่าเราควักเงินให้ไม่ได้ กลับจะทำให้นายท่านเจียงขุ่นเคืองใจ สองสกุลเกิดหมองใจกันขึ้นมา จากเรื่องน่ายินดีจะกลายเป็นน่าขำขันเอาได้”

“ไม่หรอก!” อวี้หย่วนพูดแทรก “ท่านอาคำนึงถึงปัญหานี้แต่แรก ดังนั้นจึงพูดกับนายท่านเจียงไว้แล้ว บอกว่านี่คือเงินทั้งหมดของสกุล ไม่เช่นนั้น เหตุใดจู่ๆ จึงเพิ่มอีกสองพันตำลึงเล่า?”

อวี้เหวินฟังแล้วก็หัวเราะได้ใจพร้อมโบกพัดไปมา “อาถัง เจ้าคิดว่าบิดาเจ้าเป็นคนที่รู้แต่ในตำราหรืออย่างไร? ข้าแค่ชื่นชมนายท่านเจียงผู้นี้มาก คิดช่วยเขาอีกสักครั้ง ข้าวหนึ่งถุงรำลึกเป็นบุญคุณ ข้าวหนึ่งกระสอบกลับนำมาซึ่งความแค้น[3] ข้าก็ไม่อยากให้เรื่องดีๆ กลายเป็นเรื่องเลวร้าย ถึงได้เพิ่มเงินสองพันตำลึงเข้าไปอีก ด้วยต้องการบอกกับนายท่านเจียง นี่คือเงินออมของพวกเราสองครอบครัว เป็นเงินทั้งหมดที่พวกเราจะควักออกมาใช้ได้แล้ว ข้าเชื่อว่า หากครั้งนี้ไม่อาจทำกำไร ต่อไปหากนายท่านเจียงมีกิจการอะไรอีก ย่อมไม่สะดวกใจให้เราต้องออกเงินมากมาย อีกอย่างข้าก็ไปสืบมาด้วยว่า เพื่อทำการค้าทางทะเลครั้งนี้ นายท่านเจียงก็ขายที่นาซึ่งได้รับตกทอดมาออกไปห้าสิบหมู่ เรือของสกุลก็เอาไปจำนำที่โรงจำนำแล้ว เขาเองก็ทุ่มตัวสุดกำลัง ย่อมต้องเห็นความสำคัญของการค้าครั้งนี้ยิ่งกว่าพวกเราแน่ ติดตามเขาไม่มีทางผิดพลาดเป็นอันขาด

อวี้ถังคิดถึงเรื่องเหล่านี้เมื่อชาติก่อนอย่างละเอียด

นายท่านเจียงไม่เคยล้มละลายหมดตัว

ไม่อย่างนั้นถ้าเจียงเฉาเคยหมดตัวแล้วลุกขึ้นยืนใหม่อีกครั้งได้ ย่อมถูกผู้อื่นคุยโวจนดังกระฉ่อนแล้ว ชื่อเสียงของเจียงเฉาไม่เพียงไม่เสียหาย มีแต่จะเพิ่มบารมีรอบตัวให้เขา นางก็ต้องจะเคยได้ยินมาบ้าง

อย่างมากเจียงเฉาอาจจะไม่ได้ค้าขายจนร่ำรวยเป็นกอบเป็นกำ

“ในเมื่อท่านพ่อคิดดีแล้ว ข้าก็สนับสนุนท่านพ่อสุดกำลังเจ้าค่ะ!” อวี้ถังตอบกลับอย่างตรงไปตรงมา แต่นิสัยระแวดระวังของนางก็ทำให้อดจะเอ่ยตักเตือนบิดาไม่ได้ “เพียงแต่ตอนที่ส่งมอบเงินออกไป ต้องนับดูตามขั้นตอนให้ชัดเจน หลีกเลี่ยงการถกเถียงในภายภาคหน้า”

“เรื่องนี้พวกเจ้าวางใจได้” อวี้เหวินเล่าให้ทั้งครอบครัวฟัง “ข้าค้าขายไม่เป็น แต่ข้าอ่านคนเป็น! ถึงเวลาที่ต้องส่งมอบเงินข้าจะไปพร้อมกับนายท่านอู๋”

“ว่าไงนะ?!” อวี้ถังกระเด้งตัวลุกขึ้นทันที

อวี้เหวินหัวเราะเหอะๆ “ระหว่างทางที่พวกเรากลับจากหังโจวก็เจอนายท่านอู๋เข้า เขาเคยได้ยินเรื่องนายท่านเจียงมาก่อน ตัดสินใจจะเข้าร่วมหุ้นครั้งนี้ด้วย”

“ท่านพ่อ!” อวี้ถังกรีดร้องเสียงดัง “การค้าทางทะเลมีความเสี่ยงสูง พวกเราจะลงหุ้นก็เป็นเรื่องของสกุลเรา แต่จะเกลี้ยกล่อมผู้อื่นให้ลงหุ้นตามไม่ได้ หากว่าขาดทุนขึ้นมา แม้เพื่อนบ้านก็คงไม่อาจเป็นได้แล้ว”

“ข้ารู้น่า ข้ารู้” อวี้เหวินยังเอ่ยต่อด้วยเสียงหัวเราะ “ข้าก็บอกเขาไปเช่นนั้น แต่เขาเชื่อสายตาของข้า เพียงแต่ชั่วขณะเดียวไม่อาจหาเงินได้มากเพียงนั้น จึงคิดลงหุ้นเพียงหนึ่งพันตำลึง อีกอย่างด้วยฐานะการเงินของสกุลอู๋ หนึ่งพันตำลึงเป็นจำนวนน้อยนิด ต่อให้ขาดทุนขึ้นมา ข้าชดเชยให้เขายังได้เลย”

อวี้ถังกุมหน้าผาก

ทันใดก็รู้สึกว่าต่อให้นางกลับมาเกิดใหม่ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงนิสัยการใช้จ่ายของบิดาได้ ตอนแรกที่ไม่อาจห้ามให้บิดาซื้อภาพ ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมแม่น้ำ’ ของหลู่ซิ่นได้ นับว่ามิใช่ความผิดของนางจริงๆ…

อวี้หย่วนเองก็รู้เรื่องนี้ ตอนแรกเขาไม่เห็นด้วย เพียงแต่อวี้เหวินเป็นท่านอาของเขา อวี้เหวินกับนายท่านอู๋สนทนากัน เขาจะสอดปากก็ใช่เรื่อง ตอนนี้ถึงได้เข้าข้างอวี้ถังในทันที “ท่านอา ข้าคิดว่าอาถังพูดจามีเหตุผล พวกเราจะลงหุ้นก็ลงของพวกเราไป นายท่านอู๋ทางนั้น…”

เพียงแต่ไม่รอให้เขาพูดจบ อาเสาก็วิ่งหน้าเชิดเข้ามา “นายท่านอู๋มาขอรับ บอกว่ามาส่งเงิน”

อวี้เหวินดีใจจนออกหน้า รีบสั่งทันทีว่า “รีบไปเชิญเข้ามาเร็วสิ!”

อวี้ถังกับอวี้หย่วนแลกเปลี่ยนสายตากัน รับรู้ว่าต่อให้พวกเขาคิดจะหยุดยั้งแต่ก็คงไม่ทันการแล้ว

คนสกุลเซียงเห็นดังนั้นก็ตบหลังมืออวี้หย่วนคล้ายจะปลอบใจ นางสาวเท้าไปยืนข้างอวี้ถังพลางกระซิบว่า “เจ้าอย่ากังวลไปเลย หากว่าขาดทุนจริงๆ เงินที่ชดเชยนายท่านอู๋หนึ่งพันตำลึงข้าจะออกให้เอง เรื่องนี้ข้าเองก็เป็นคนสนับสนุนแต่แรก”

แต่จะใช้จ่ายเงินเช่นนี้ไม่ได้!

ทว่าเมื่ออวี้ถังมองเห็นดวงตาสุกใสของคนสกุลเซียง วาจานี้นางก็พูดไม่ออก

ทุกคนล้วนปรารถนาดี ต่างคิดทำเพื่อสกุลทั้งนั้น หากนางยังยืนกรานไม่เห็นด้วย มีแต่จะทำให้ทุกคนหมางใจกัน

อวี้ถังลอบถอนหายใจเฮือก

จู่ๆ ก็นึกถึงคำว่า ‘ไม่พบ’ ที่ตรงไปตรงมาของเผยเยี่ยน

นางควรจะเรียนรู้จากเผยเยี่ยนไว้บ้าง

หากว่านางทำเช่นนั้นจริงๆ พี่สะใภ้จะปวดใจหรือไม่หนอ?

ก็เหมือนตอนที่นางได้ยินเผยเยี่ยนปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย นางได้ฟังแล้วก็มิใช่รู้สึกแย่มากหรอกหรือ?

อวี้ถังยิ้มขื่น ได้แต่รับมือกับสถานการณ์ตรงหน้าให้ดี นางคล้องแขนคนสกุลเซียงเอาไว้แล้วเอ่ยว่า “จะไปยุ่งเงินของพี่สะใภ้ได้อย่างไรเจ้าคะ? เงินของพี่สะใภ้ต้องเก็บเอาไว้ให้หลานๆ ข้าร่ำเรียนซื้อหมึกซื้อกระดาษ พอสอบได้เป็นจวี่เหรินจิ้นซื่อยังต้องซื้อของขวัญเพื่อแจ้งข่าวดีกับคนของทางการอีก จะหยิบออกมาใช้ง่ายๆ ไม่ได้นะเจ้าคะ! ต่อให้พี่สะใภ้มีความคิดเช่นนี้ แต่ข้าที่เป็นท่านอาจะยอมตกลงได้อย่างไร”

คนสกุลเซียงหัวเราะจนหน้าแดง

อวี้ถังกลัวว่านางยังมีความคิดจะใช้สินเดิมมาชดเชยเงินที่สกุลอวี้ต้องขาดทุนไป จึงรีบเปลี่ยนเรื่องกระซิบว่า “พี่สะใภ้ สองวันก่อนข้ากลับไปบ้านเก่า เห็นว่าถั่วลิสงที่ปลูกเอาไว้ใกล้เก็บเกี่ยวเต็มที ข้าบอกกับปู่ห้าเอาไว้ ถึงเวลานั้นก็ส่งไปให้สกุลเว่ยได้กินอย่างสดใหม่ ท่านว่าจะไปส่งด้วยตัวเองดี หรือว่าส่งผู้อื่นไปดีเจ้าคะ?”

หากว่าคนสกุลเซียงนำไปส่งด้วยตนเอง นางก็จะมีข้ออ้างกลับบ้านเก่าแล้ว

คนสกุลเซียงดีใจตามที่คาด เอ่ยว่า “ถึงตอนนั้นข้านำไปส่งเองก็ได้ ข้าเองก็ไม่ได้เจอท่านป้านานแล้ว คิดถึงนางอยู่บ้าง” จากนั้นก็เล่าถึงเว่ยเสี่ยวชวนกับเกาซื่อที่เพิ่งแต่งเข้าสกุลไป

อวี้ถังถอนหายใจโล่งอก

พอหมุนตัวกลับมา พลันไม่อยากจะพูดอะไรกับบิดาสักคำ

นางถือโอกาสเดินหนีออกมาตอนที่อวี้เหวินกับนายท่านอู๋กำลังปรึกษากันอย่างตื่นเต้นว่าจะต้องไปที่ซูโจวอีกรอบหรือไม่ ปิดประตูไม่ยอมออกไปไหน แล้วพลิกอ่านหนังสือหลายเล่มที่เผยเยี่ยนให้มาอย่างละเอียด

อวี้ถังในตอนนี้เข้าใจแล้วว่าเหตุใดเผยเยี่ยนจึงบอกให้ตนไปหาบิดาหรือหรือไม่ก็คนดูแลสวนนาที่บ้านหากว่ามีข้อสงสัยหรือต้องการซักถาม

นางรู้ว่าคันไถคืออะไร แต่ว่าเหล่ยซื่อ[4]นั้นเล่า? ถันไถกับเหล่ยซื่อมีอะไรเกี่ยวข้องกัน? แล้วการไถแบบพลิกกับการไถแบบวนต่างกันอย่างไร?

อวี้ถังอ่านไปแล้วเหมือนศีรษะปกคลุมด้วยหมอกหนาทึบ

สิ่งที่ทำให้นางสับสนอย่างมากก็คือ นางแค่อยากรู้ว่าจะเพาะปลูกอย่างไร แต่เหตุใดตรงนี้ยังมีตำราปกิณกะอยู่อีกเล่มเล่า?

ตำราปกิณกะเล่มนี้เกี่ยวอะไรกับการเพาะปลูกอย่างนั้นรึ?

อวี้ถังพลันเข้าใจขึ้นมาว่าทำไมอวี้เหวินถึงตัวแข็งไปเล็กน้อยในตอนแรกที่อ่านหนังสือพวกนี้

————————————————————-

[1]เติมดอกลายบนดิ้นไหม หมายถึง เสริมสิ่งที่งดงามอยู่แล้วให้สวยงามยิ่งขึ้นไปอีก

[2]ส่งถ่านกลางหิมะ หมายถึง การช่วยเหลือทางด้านวัตถุในยามที่กำลังขาดแคลนพอดี

[3]ข้าวหนึ่งถุงรำลึกเป็นบุญคุณ ข้าวหนึ่งกระสอบกลับนำมาซึ่งความแค้น หมายถึง เมื่อผู้อื่นตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก การให้ความช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ จะทำให้เขารู้สึกซาบซึ้ง แต่การให้ความช่วยเหลือที่มากจนเกินไป จะเปลี่ยนเป็นการพึ่งพาอาศัย หากวันใดที่หยุดให้ความช่วยเหลือ กลับจะทำให้เขาเกิดความโกรธแค้นเกลียดชัง

[4]เหล่ยซื่อ คือเครื่องมือการเกษตรชนิดหนึ่ง ถูกประดิษฐ์ขึ้นในสมัยโบราณ คล้ายกับคันไถ ใช้เพื่อไถดินและหว่านพืชผล