ตอนที่ 69 สตรีงามผู้ร่วมทางทั้งสอง

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 69 สตรีงามผู้ร่วมทางทั้งสอง

ขณะนี้ก็เป็นเวลาดึกดื่นแล้ว แต่ฟู่ต้ากวนก็ยังนอนมิหลับ

ราชโองการของฝ่าบาทในวันนี้สร้างความยุ่งเหยิงให้กับลำดับความสำคัญของเขา ชาตินี้ความคิดในเดิมทีของเขามีเพียงแค่ให้ฟู่เสี่ยวกวนได้เติบโตมาอย่างปลอดภัยก็เพียงพอแล้ว หากสร้างชื่อเสียงได้ก็คงดีที่สุด หากมิสามารถเยี่ยงนั้นก็สืบทอดกิจการที่ใหญ่โตของตระกูลต่อไป หากเขาสามารถเรียนรู้ทักษะความสามารถบางอย่างมาเพื่อดูแลครอบครัวได้ ก็ถือว่าดีอย่างมาก หากมิสามารถแก้ไขได้อย่างแท้จริง กิจการของตระกูลนั้นมีมากพอที่จะให้เขาล้างผลาญ และฟู่ต้ากวนก็จะมอบกำลังและจิตใจไว้ที่หลานแทน บุตรชายผู้นี้มิได้เรื่องเยี่ยงนั้นก็ต้องข้ามรุ่นไปอบรมสั่งสอนก็ยังทัน

ในตอนนี้ฟู่เสี่ยวกวนก็รู้ความแล้ว ทั้งยังมีความสามารถทางด้านวรรณกรรม ช่วยกู้หน้าให้แก่เขาเสียยิ่งใหญ่ และยังจัดการเรื่องราวได้อย่างมั่นคง การมอบตระกูลฟู่ไว้ในมือของเขาคงเป็นเรื่องที่จะประสบความสำเร็จเป็นแน่

ส่วนเรื่องของฉีซื่อและบุตรที่กำลังจะเกิด เขาได้หาหนทางอื่นไว้แล้ว โดยจะให้ฉีซื่อและลูกได้ใช้ชีวิตที่เรียบง่ายและมั่งคั่ง เพื่อหลีกเลี่ยงการทะเลาะวิวาท

แต่ในยามนี้ฝ่าบาทกลับต้องการให้เขารับอนุ 5 นาง ทั้งยังต้องมีบุตรอีก 5 คน มิใช่ว่าตระกูลฟู่จะเลี้ยงดูมิได้ แต่หากเป็นไปเยี่ยงนี้คงจะเลี่ยงการเกิดเรื่องน้ำเน่าเหล่านั้นมิได้ นอกจากนี้เขายังเคยให้สัญญากับหยุนชิงแล้วว่าจะมิมีบุตรอีก

แต่ก็มิสามารถฝ่าฝืนพระราชโองการนี้ได้ เฮ้อ… ยากยิ่งนัก

ยามที่ฟู่เสี่ยวกวนกลับมาก็พบว่าไฟในห้องของบิดายังคงติดอยู่ ครุ่นคิดเล็กน้อยและเดินเข้าไป

“ท่านพ่อ ท่านมิจำเป็นต้องกังวลใจกับเรื่องนี้ ท่านแค่ทำตามพระราชโองการไปก็พอ” ฟู่เสี่ยวกวนนั่งลง ฟู่ต้ากวนก็ถอนหายใจออกมา

“วันรุ่งขึ้นข้าต้องออกไปหมู่บ้านเซี่ยชุนแต่เช้าตรู่ มีเรื่องในหลินเจียง 2 เรื่องที่อยากไหว้วานให้ท่านพ่อช่วยจัดการ”

“อืม เจ้ากล่าวมาเถิด”

 “ประการแรกทางด้านชีชื่อ ร้านสุราชีชื่อได้ปิดตัวลงแล้ว ข้าต้องการช่างกลั่นสุราเหล่านั้น เรื่องนี้ต้องลำบากท่านพ่อให้นำตัวพวกเขามาด้วย”

เรื่องของร้านสุราชีชื่อนั้นได้ตกตะกอนไปแล้วในวันนี้ และมิมีชื่อเสียงตามท้องตลาดอีก ในคราแรกฟู่ต้ากวนกังวลใจอย่างยิ่งยามที่ได้เห็นโฆษณาของชีชื่อ เพียงแต่ในยามนั้นฟู่เสี่ยวกวนอยู่ที่หมู่บ้านเซี่ยชุน เขาจึงมิได้ไปไถ่ถาม

ผลสุดท้ายเดือนแปดวันที่สิบห้าชีชื่อและคนทั้งหลินเจียงก็ได้มีเรื่องตลกครั้งใหญ่ในวันนั้น สุราที่ลอยเสียดฟ้ามิได้วางขาย และจนถึงวันนี้ก็ยังมิได้ออกสู่ตลาด เขามิรู้เหตุผลอื่นใด หากครุ่นคิดก็คิดว่าน่าจะเป็นความโชคร้ายของชีชื่อ

ร้านสุราซีซานของตระกูลตนนั้นกำลังขยายตัว บุตรชายต้องการนายช่าง นั่นเป็นเรื่องที่ปกติ

“ข้าจะส่งคนไปติดต่อในวันพรุ่งนี้”

“นอกจากนี้ในวันรุ่งขึ้นส่งคนไปยังร้านขายกระจกหยู่จี้ที่ซีฝาง ข้าได้สั่งทำเครื่องแก้วกับหยู๋จงถานจำนวนมาก หากเรียบร้อยแล้วให้ส่งไปยังเรือนซีซาน ข้ารีบใช้ ยามที่ขนส่งโปรดระมัดระวังอย่างยิ่ง ของสิ่งนี้แตกได้ง่ายนัก”

“ข้ารู้แล้ว… ลูกข้า ข้ายังมิเข้าใจ ฝ่าบาทรู้จักตระกูลฟู่ของเราได้เยี่ยงไร ต่อให้ตอนนี้เจ้าจะมีชื่อเสียง แต่จะสามารถโด่งดังไปจนถึงเบื้องบนเลยหรือ ถึงต่อให้ฝ่าบาทจะรู้จักเจ้า เยี่ยงนั้นก็ควรมอบราชโองการให้เจ้าตบแต่งอนุเข้าต่างหากถึงจะถูก เหตุใดจึงเป็นข้ากัน ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะ “นั่นก็เห็นได้ชัดแล้วว่าท่านพ่อเป็นผู้อาวุโสที่แข็งแรง ในราชโองการนั้นก็ได้กล่าวแล้วมิใช่หรือ คนตระกูลฟู่นั้นยังขาดสีสันภายในจวน จึงต้องให้ท่านพ่อแตกยอดกิ่งก้านสาขา เรื่องนี้ท่านปล่อยวางแล้วเลือกไปเถิด เลือกที่เยาว์วัยและสวยเสียหน่อย สุขภาพจะได้ดี หลังจากที่เลือกเรียบร้อยแล้วก็จัดพิธีรับอนุ เยี่ยงไรแล้วก็เป็นพระประสงค์ของฝ่าบาท หากมีข่าวดีในตอนที่ข้ายังมิกลับมาก็บอกข้าเสียหน่อย เยี่ยงไรข้าก็ต้องรู้จักแม่สามแม่สี่จนถึงแม่หกด้วยบ้าง”

“เฮ้อ…”

สองมือฟู่ต้ากวนตบเข่า แล้วถอนหายใจออกมายาว ๆ

……

…..

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นฟู่เสี่ยวกวนก็ได้พาคนกลุ่มใหญ่ขึ้นรถม้าและออกเดินทางไป

นางไร้ทางเลือก องค์หญิงเก้าหยูเวิ่นหวินต้องการไปเรือนซีซาน นางทำได้เพียงนำสาวใช้ในครัวไปด้วยทั้งหมด ตัวเขาจะทานอะไรก็ได้ แต่เยี่ยงไรองค์หญิงเก้าก็เป็นถึงดอกฟ้าผู้สูงศักดิ์ การใช้ชีวิตคงต้องพิถีพิถันเสียหน่อย

เมื่อมาถึงประตูทางใต้รอไปจนหมดหนึ่งก้านธูป รถม้าสองคันก็ได้มาถึง ฟู่เสี่ยวกวนและหยูเวิ่นหวินได้หารือกันแล้ว ว่าจะเดินทางไปทางทิศใต้ยามที่แดดยามเช้าคล้อยลง

เดิมทีฟู่เสี่ยวกวนคิดว่าการเดินทางขององค์หญิงจะต้องเป็นขบวนที่ยิ่งใหญ่ อย่างน้อยก็ควรจะพาทหารยามไปด้วยสักสิบกว่าคน มิคาดคิดว่าพระองค์จะเป็นคนง่าย ๆ ถึงเพียงนี้ เมื่อครู่ที่ได้หารือกัน เขาได้บอกกล่าวกับหยูเวิ่นหวินอย่างนิ่มนวลแล้วว่า เมื่อถึงหมู่บ้านเซี่ยชุนแล้ว เกรงว่าจะมิอาจเรียกพระองค์ว่าองค์หญิงเก้าได้ หยูเวิ่นหวินกลับชื่นชอบ รู้สึกว่าเยี่ยงนี้จะดียิ่ง เพื่อหลีกเลี่ยงพิธีรีตองที่ยุ่งยาก

“รถคันนั้นที่อยู่ทางด้านหลังของพระองค์มียอดฝีมือระดับสูงอยู่” ซูม่อกล่าว

“ระดับสูงเพียงไหน ? ”

“สูงกว่าข้า”

ฟู่เสี่ยวกวนเหลือบมองซูม่อ เขามิรู้ว่าซูม่อระดับสูงถึงเพียงไหน เนื่องจากซูม่อเป็นลูกศิษย์ภายในสำนักเต๋า เยี่ยงนั้นเขาจะต้องมีระดับสูงเป็นแน่ แต่ในตอนนี้ซูม่อถึงกับกล่าวว่าคนที่หยูเวิ่นหวินพามาด้วยนั้นมีระดับสูงกว่าเขา คิด ๆ แล้วก็เป็นเรื่องปกติ อย่างไรก็เป็นองค์หญิงของประเทศ ราชวงศ์ย่อมมิขาดยอดฝีมือระดับสูงอยู่แล้ว

“เยี่ยงนั้นก็ดี ข้ามิอยากให้เกิดเรื่องกับพระองค์ยามที่อยู่หมู่บ้านเซี่ยชุน”

ฟู่เสี่ยวกวนนั่งสมาธิฝึกลมปราณไปตลอดทาง ขบวนรถมิได้ชะลอความเร็วลงเพียงเพราะมีองค์หญิงอยู่ด้วย จนเวลาใกล้เที่ยง ขบวนรถก็ได้มาถึงเรือนซีซาน

ครานี้ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ลงจากรถลงไปเดินในทุ่งนา แต่กลับตรงเข้าไปในเรือนทันที

กลุ่มคนดังกล่าวได้ลงจากรถม้าที่ด้านนอกเรือน จางเช่อก็รีบเข้ามาต้อนรับ ฟู่เสี่ยวกวนกำชับกับเขาอีกไม่กี่ประโยค จางเช่อก็เข้าไปจัดการในเรือน

ในยามนี้ชาวนาที่ออกไปเก็บเกี่ยวก็ได้กลับมาแล้ว ด้านนอกเรือนนั้นคึกคักยิ่ง พวกเขาสังเกตเห็นขบวนรถที่มานี้ ก็รับทราบทันทีว่าคุณชายได้มาเยือนอีกครา ทุกคนจึงมีความสุขอย่างมาก

หยูเวิ่นหวินลงจากรถแล้ว ต่งชูหลานครุ่นคิดและลงตามเช่นกัน

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้สนใจถึงต่งชูหลาน เพราะหวางเอ้อและหวางเฉียงกำลังพูดคุยกับฟู่เสี่ยวกวนอยู่

“คุณชาย ข้าวเหล่านี้โตเต็มที่แล้ว ป้ายจึ 10 ต้นนั้นได้เก็บเกี่ยวเรียบร้อยแล้วขอรับ ในวันนี้ตากแดดอีกสักเล็กน้อยก็สามารถเก็บได้แล้วขอรับ”

“พายุฝนที่ผ่านมาได้สร้างผลกระทบต่อการเก็บข้าวหรือไม่ ?”

“ผลกระทบมิได้ใหญ่โตขอรับ คาดว่าการเก็บเกี่ยวน่าจะสูงกว่าปีที่ผ่าน ๆ มาเป็นเท่าตัว”

ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิด “การสร้างบ้านที่หมู่บ้านหวางเจียชุนไปถึงไหนแล้ว ? ”

“ระยะนี้วุ่นวายอยู่กับการทำนาจึงล่าช้าลง รอข้าวเหล่านี้ถูกเก็บเข้ายุ้งฉาง ในภายหลังจะสามารถสร้างได้เร็วยิ่งขึ้นขอรับ”

“ข้าทราบแล้ว พวกเจ้าไปทานข้าวพักผ่อนก่อนเถิด”

หวางเอ้อบิดาและบุตรชายเดินจากไป ฟู่เสี่ยวกวนจึงหันหลังกลับ แต่กลับพบหยูเวิ่นหวินที่อยู่ข้างหลัง และต่งชูหลานก็อยู่ข้างหลังเช่นกัน

เขาสะดุ้งตกใจ แต่ก็กลั้นสีหน้าที่ดีใจเอาไว้ไม่ไหว “เจ้ามาเมื่อใดกัน ? ”

ต่งชูหลานกลอกตาใส่เขา ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะน้อย ๆ และลูบจมูกไปมา และพาทั้งสองคนเข้าไปในเรือนด้านใน

ครอบครัวของหวางเอ้อยังคงอาศัยอยู่ภายในเรือน ฟู่เสี่ยวกวนจัดให้หยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานพักอยู่ห้องข้าง ๆ ของตนเองที่ชั้นสอง ชุนซิ่วพาสาวใช้จำนวนมากที่มากับองค์หญิงเก้าไปยังห้องทางปีกตะวันตกบนชั้นสอง ปักหลักลงที่ข้างห้องของซูม่อ

หลังจากนั้นชุนซิ่วก็พาพวกเขาไปยังห้องครัวที่กำลังยุ่งวุ่นวาย ฟู่เสี่ยวกวนกับต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินทั้งสามคนนั่งลงใต้ร่มเงาของต้นไม้ภายในเรือน

ฟู่เสี่ยวกวนเองก็ได้พบกับยอดฝีมือที่ซูม่อได้กล่าวไว้แล้ว เป็นหญิงสาวคนหนึ่ง ดูแล้วอายุเพียง 20 ปี ท่าทางมิได้โดดเด่น สีหน้าเย็นชานั้นมองไปรอบ ๆ ด้วยท่าทีระมัดระวัง หลังจากนั้นก็ขึ้นไปยังห้องของตนที่อยู่ชั้นสอง

“ชูหลาน เจ้ามาถึงเมื่อใดกัน ? ”

ต่งชูหลานดึงผ้าปิดหน้าลง และจ้องมองฟู่เสี่ยวกวน “ทำไม เจ้ากลัวข้ามาหาเจ้าหรือ ? ”

“กล่าวอันใดกัน หากเจ้ามิมา ข้าก็คงต้องได้เข้าเมืองหลวงไปชิงตัวเป็นแน่”

ใบหน้าต่งชูหลานแดงทันพลัน สีหน้าขัดเขิน

“เยี่ยงนั้นก็ชิงตัวข้าไปด้วยก็แล้วกัน ! ” หยูเวิ่นหวินกล่าวด้วยสีหน้ามิพอใจ