เขตอำเภอเสินสุ่ย หน้าประตูเมือง
ซ่งฝูเซิงพูดกับผู้คุมที่เฝ้ารักษาเมือง ขอร้องให้พวกเราได้พักแรมที่นี่เถอะ พวกเราจะไม่เดินเพ่นพ่าน เป้าหมายของเราคือต้องการหาหมอ ท่านดูสิ พวกเรามีทั้งคนแก่และเด็ก มีคนบาดเจ็บเยอะ
ผู้คุมที่เฝ้ารักษาเมืองมองดูกลุ่มคนพวกนี้แล้วถามว่า ทำไมพวกเจ้าถึงได้รับบาดเจ็บ? เป็นเพราะระหว่างทางไม่มีกินจนต้องไปแย่งชิงข้าวของคนอื่นมาใช่ไหม?”
เป็นไปไม่ได้ ใครจะกล้าเล่า
คนอื่นไม่มาแย่งชิงสิ่งของของพวกเขาก็นับเป็นการดีแล้ว
ผู้คุมบอกอีกว่า ดูสภาพของพวกเจ้าแล้ว ใครจะมาแย่งพวกเจ้ากัน
ซ่งฝูเซิงบอก ใต้เท้า ท่านต้องเชื่อใจข้า ก่อนจะชี้ไปยังถุงกระสอบถั่วเมล็ดสนที่โดนเจาะวางไว้บนรถเข็น ถึงแม้ตอนนี้จะเอาผ้ามาคลุมทับ แต่กระสอบก็มีรอยรั่วออกมาไม่น้อย มีถั่วเมล็ดสนร่วงตกบนรถเข็น แค่หันไปมองก็สามารถเห็นได้
ผู้คุมไม่คาดคิดว่า คนพวกนี้ที่ดูเหมือนคนหมดสภาพจะยังมีสิ่งของอยู่บ้าง
เขาขมวดคิ้ว กำลังครุ่นคิด
ซ่งฝูเซิงรู้ว่าเขาคงกังวลใจว่าพวกเขาเป็นขอทานหรือไม่
อย่าดูถูกขอทาน ถ้ามันสามารถรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนใหญ่ได้ จำนวนคนเยอะ อาจส่งผลกระทบกับความสงบสุขของสังคมได้เช่นกัน โดยเฉพาะพวกเขาที่เป็นผู้อพยพลี้ภัยมาจากต่างแดน ไม่ใช่คนในท้องถิ่นของที่นี่
ซ่งฝูเซิงพูดต่อ
“ใต้เท้า ท่านดูเวลาตอนนี้สิ ถ้าพวกข้าไปหาหมอแล้วรีบออกนอกเมือง พวกข้าคงจะไม่สามารถหาโรงแรมระหว่างทางก่อนพลบค่ำได้ ท่านให้พวกข้าพักแรมอยู่ที่นี่สักคืนเถอะ จะไม่ไปเพิ่มความลำบากให้กับท่าน…
…เมื่อออกไปซื้ออาหาร ท่านวางใจได้ พวกเราไม่ได้ออกไปกันทุกคน เพียงส่งคนซื่อๆ สองคนไปซื้อกลับมา…
…ท่านดูสิ พวกเรามีถั่วเมล็ดสนมากมายขนาดนี้ เราไม่ออกไปกลางดึกเพื่อขโมยของใครหรอก ถ้าหิว อย่างมากพวกเราก็กินถั่วเมล็ดสนนี่ประทัง”
ใช่สิ ตอนนี้กี่โมงกันแล้ว
ผู้คุมคิดในใจ ถ้าพวกเจ้ามาช้ากว่านี้หน่อย พวกข้าก็จะปิดประตูเมืองแล้ว เหลือแค่ผู้คุมที่เฝ้ายามช่วงดึก ถ้าไม่มีสถานการณ์อะไรพิเศษ ประตูเมืองจะไม่ถูกเปิดออก แม้แต่เขาก็ใกล้จะเลิกงานแล้ว
แต่เรื่องที่ผู้คุมกังวลใจ ซ่งฝูเซิงก็พอจะคาดเดาได้บ้าง
เขาเห็นหน้าซ่งฝูเซิงที่ดูเป็นคนซื่อๆ ข้างหลังก็เป็นคนแก่กับเด็กจำนวนมาก พูดจามีเหตุผล เขาจึงพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต “ห้ามเดินเพ่นพ่าน ตอนกลางคืนถ้าจำเป็นต้องใช้อะไรเร่งด่วน อนุญาตให้ไปแค่สองสามคนได้ พรุ่งนี้ช่วงเวลาห้าถึงเจ็ดโมงเช้า พวกเจ้าต้องออกไปจากที่นี่ทันที”
ซ่งฝูเซิงตักถั่วเมล็ดสนให้ผู้คุมไปจำนวนมากและกล่าวขอบคุณ ต้องรบกวนใต้เท้าแล้ว
เมื่อเข้าเขตอำเภอ เกาถูฮู่ก็เสนอซ่งฝูหลิงไปค้นหาโรงหมอที่มีราคาถูกและรักษาดี ถ้าจะให้ดีต้องมีสถานที่กว้างขววาง ให้พวกเขาสามารถเข้าไปพักแรมได้ด้วย จะได้ประหยัดเงินค่าที่พัก
“ท่านปู่เก่า ใต้เท้าคนนั้นก็บอกข้อมูลให้พวกเราแล้วไม่ใช่หรือ?”
“นั่นเป็นร้านขายยา ร้านขายยาจะแพง เหมือนที่บ้านเกิดของพวกเรา เมื่อก่อนในตัวอำเภอจะมีโรงหมอ เป็นกิจการแบบที่สืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษ มีพ่อ-ลูกเป็นคนเปิด เจ้าลองไปถามได้ แค่ถามเอง จะกลัวอะไร”
ซ่งฝูหลิงรู้สึกว่าถ้านางถามก็อาจจะทำหน้าที่นี้ไม่สำเร็จ มีที่ไหนกันที่จ่ายเงินน้อย แต่รักษาผู้ป่วยอย่างดีและยังสามารถนอนพักแรมได้อีก? ร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ชั้นล่างที่สามารถนอนได้ ขนาดว่ารู้จักกัน ยังต้องจ่ายเงิน
เกาถูฮู่บอก “สวรรค์คอยช่วยเหลือเจ้า ข้ามองดูก็รู้แล้ว สวรรค์ก็คอยช่วยเหลือหมี่โซ่ว แต่หมี่โซ่วยังเล็ก พูดจาอาจจะยังไม่ค่อยเข้าใจ”
โชคดีอะไรกัน ใกล้จะซวยแล้วต่างหาก แค่เพราะนางมีความสามารถทางด้านการสื่อสารเท่านั้นเอง
แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อไปทำให้ซ่งฝูหลิงต้องกลับมาคิดอีกครั้ง หรือว่าสวรรค์คอยช่วยเหลือนางจริงๆ
ซ่งฝูหลิงแค่มองไปรอบๆ ก็พบว่ามีแม่ลูกคู่หนึ่งสวมเสื้อคลุมธรรมดาอยู่ไม่ไกลจากประตูเมือง แม่ลูกคู่นั้นแหงนมองท้องฟ้าแล้วด้วยความเศร้าสร้อยก่อนจะหมุนตัวกลับ นางดูแล้วรู้สึกว่าเป็นคนดี จึงเดินเข้าไปถาม โดยบอกกับเขาว่าพวกเรามาจากไหน ต้องการจะไปที่ไหน และตอนนี้ต้องการหาโรงหมอที่มีราคาย่อมเยา
หลังจากนั้นแม่ลูกคู่นี้ก็เดินมาหา เมื่อเห็นทุกคนก็ตาแดงระเรื่อ บอกว่าพวกเราเป็นเพื่อนบ้านกัน
ท่านย่าหม่าตกใจ รีบถามว่านางเป็นใคร? เป็นคนที่ไหน? พอคนเป็นแม่ได้ฟังสำเนียงท้องถิ่นของท่านย่าหม่า นางก็น้ำตาไหล รีบกุมมือท่านย่าหม่าไว้
เมื่อได้พูดคุยกันก็รู้ว่าอยู่ห่างกันไม่ไกลนัก บ้านแม่ของฝ่ายผู้หญิงอยู่ไม่ไกลจากเขตอำเภอของท่านย่าหม่า
จะบังเอิญอะไรเช่นนี้
แต่โชคไม่ดีที่นางมาดูประตูเมืองทุกวันและให้เงินคนไปหาข่าวใกล้ๆ เขตชายแดนเมืองโยวโจว รอข่าวมาหลายวันแล้ว แต่ก็ไม่มีข่าวจากทางบ้านมาเลย
เหอซื่อได้ฟังก็ร้องไห้ตาม ไม่สามารถระงับน้ำตาที่ไหลออกมาได้ หญิงสาวที่แต่งงานแล้วก็เลยพากันคิดถึงบ้านเกิดของตนเองจนน้ำตาไหล
แต่แม่นางสวีท่านนี้กลั้นน้ำตาไว้ ก่อนจะดึงมือท่านย่าหม่า “ไป ตามข้าไป”
เรือนหลังใหญ่หนึ่งหลัง ด้านหลังเรือนมีสวนขนาดใหญ่ ตรงกลางเรือนมีบ่อน้ำ
อย่าดูถูกบ่อน้ำนี้ หากจะทำบ่อน้ำต้องใช้เงินไม่น้อย ห้องหับก็มีเยอะ แม้ว่าห้องทั้งสองด้านจะเป็นบ้านที่มุงจาก ดูเหมือนไว้ใช้เก็บสิ่งของทั่วไป มีเพียงสามห้องที่เป็นบ้านแบบก่ออิฐ พอมองเห็นได้ว่าแม่นางสวีท่านนี้มีความเป็นอยู่ค่อนข้างร่ำรวย “ท่านพี่ ท่านพี่?”
เด็กสาวก็ตะโกนด้วยว่า ท่านพ่อ มีแขกมาแล้ว
สามีของแม่นางสวีท่านนี้คือคนที่เกาถูฮู่พูดถึง ที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาการแพทย์มาจากบรรพบุรุษ อาศัยการขึ้นภูเขาไปหาพืชสมุนไพรมาขายและรักษาผู้ป่วย
เมื่อทั้งสองฝ่ายมาพบกัน ก็พูดถึงสถานการณ์ที่นั่นว่าเป็นอย่างไร
ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าต่างคนช่างมีวาสนาต่อกัน มาพบเจอกันโดยบังเอิญจริงๆ
“ถ้าเช่นนั้นคืนนี้ก็พักแรมกันที่นี่เถอะ พวกเจ้าก็มีเครื่องนอนกันมา คงสามารถช่วยทำให้ห้องของพวกเจ้าอบอุ่นขึ้นได้ พวกเจ้าคนเยอะ คงต้องลำบากให้ไปนอนห้องด้านข้าง ส่วนเรื่องค่าตรวจนั้น ข้าก็จะไม่เก็บเยอะหรอก สักพักข้าจะตรวจให้นะ ถ้าจำเป็นต้องใช้พืชสมุนไพรตัวไหน ข้าก็จะคิดแค่ต้นทุนของยาสมุนไพรเท่านั้น”
ทุกคนรับไม่ไหวกับการที่คนอื่นดีกับพวกเขา ถ้าดีกับพวกเขาแบบปกติ พวกเขาจะรู้สึกว่าซื้ออะไรก็แพง จ่ายค่าตรวจสองตำลึงก็แทบจะทั้งหมดชีวิตของพวกเขาแล้ว แต่นี่เขาจะเอาแค่ต้นทุนเท่านั้น ซ่งหลี่เจิ้งโน้มน้าวใจเขา “ในเมื่อเป็นคนบ้านเดียวกัน พวกเราต่างก็รู้ว่าการใช้ชีวิตมันไม่ง่ายเลย เจ้าต้องเก็บเงินค่าลำบากเอาไว้บ้าง จ่ายเท่าไรก็เท่านั้น ไม่สามารถทำให้ท่านลำบากได้ แค่นี้ก็ลำบากมากแล้ว”
เกาถูฮู่กับลุงใหญ่ของซ่งฝูเซิงเห็นลูกชายคนเล็กของครอบครัวนี้ พวกเขาก็ออกไปเอาถั่วเมล็ดสนมาวางไว้บนโต๊ะใกล้หน้าต่าง “คั่วให้เด็กกิน เก็บไว้กินกัน”
คนแรกที่ดูอาการคือซ่งหลี่เจิ้ง แปะก้อนสีเขียวไว้บนหน้าผากที่ไม่รู้ว่าเป็นยาอะไร แล้วก็ใช้ผ้าพันแผลไว้อีกรอบ
คนที่สองที่ดูอาการคือเฉียนเพ่ยอิง ซ่งฝูเซิงลากเก้าอี้ให้นางนั่ง
บาดแผลลึกไม่มากและได้ทำการพันแผลแล้ว ท่านหมอบอกว่า “เมื่อรักษาหายแล้ว ต่อไปยังสามารถทำงานได้ แค่ทำไร่ทำสวน ไม่เป็นผลกระทบ”
คำพูดที่ตอบมานี้ช่างตรงไปตรงมา เฉียนเพ่ยอิงคิดในใจ นางมีโชคชะตาชีวิตที่ต้องทำงานจริงๆ
ซ่งฝูเซิงดึงมือภรรยาข้างที่บาดเจ็บมาดู หลังจากนั้นจูงมือภรรยาช่วงที่คนไม่ได้สังเกต อาศัยจังหวะที่ท่านย่าหม่าพูดคุยบรรยายถึงความยากลำบากที่ต้องอพยพลี้ภัยให้กับแม่นางสวีท่านนั้นฟัง พวกเขาก็รีบออกจากห้อง ตามมาด้วยซ่งฝูหลิง
ทั้งสามคนรวมตัวอยู่ด้วยกันด้านกำแพงหลังเรือน
“ท่านแม่ โยนอันนี้เข้าไป” ซ่งฝูหลิงสอนนางให้เอาสิ่งของเข้าไปไว้ในพื้นที่พิเศษ
เฉียนเพ่ยอิง “ไม่ได้ โยนเข้าไปไม่ได้”
ซ่งฝูเซิงบอก “ถ้าเช่นนั้นเจ้าไปนำสิ่งของออกมาข้างนอก เจ้าเข้าไปเถอะ”
“พวกเจ้าทั้งสองคนต้องเฝ้าข้านะ ข้าจะเข้าไปดูหน่อย ดูว่ามีสิ่งของอะไรที่จะเอาออกมาได้บ้าง” พูดจบ เฉียนเพ่ยอิงก็ทำตาขาวแล้วเข้าไปในพื้นที่พิเศษ
เมื่อเข้าไปแล้ว นางก็เหมือนกลัวเหยียบกับระเบิด นางเริ่มทำความสะอาดห้องด้วยความเคยชิน
“โอ้ สองพ่อลูกนี่ จริงๆ เลย ดูเห็ดพวกนี้สิ เอามาวางไว้ในห้องน้ำ คนหนึ่งเอาออกไป อีกคนหนึ่งเอาเข้ามา สองคนนี้เข้าออกจนไม่รู้จะเอาอะไรใส่หรือยังไง เข้ามาก็เป็นห้องน้ำ ถ้าไม่ระวังเหยียบเละจะทำอย่างไร”
เฉียนเพ่ยอิงเปิดประตูห้องของลูกสาว กลิ่นอะไรนะ?
เรื่องนี้ก็น่าประหลาดใจ ซ่งฝูเซิงเข้ามาพื้นที่พิเศษนี้ก็หลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่ได้กลิ่นอะไรในห้อง เฉียนเพ่ยอิงมา นางก็กลับได้กลิ่น
เฉียนเพ่ยอิงเดินตามกลิ่นมา นางเปิดลิ้นชักตู้เสื้อผ้าด้านล่าง เมื่อเปิดออกนางก็ถึงกับต้องปิดจมูก “เจ้าเด็กคนนี้ กางเกงขาสั้นที่ใส่แล้วก็มาทิ้งไว้ตรงนี้ ดูออกว่านางมักจะใส่ของไว้ตรงนี้ ดูสิ ที่สะอาดๆ พลอยมีกลิ่นไปด้วย”
เฉียนเพ่ยอิงนำของที่สกปรกออกมา นางเข้าไปในห้องน้ำเพื่อเปิดก๊อกน้ำแต่กลับไม่มีน้ำไหลออกมา กดเปิด-ปิดสวิตช์ไฟก็ไม่สว่าง นางได้แต่ถอนหายใจ เข้ามาก็คงจะเสียเที่ยวเปล่า ด้วยความสามารถของนางคงไม่สามารถทำให้มีน้ำมีไฟได้
นางเดินไปทางระเบียงด้านเหนือเพื่อไปหาถุงพลาสติกสีดำไว้ใส่กางเกงขาสั้นที่ใส่แล้ว หลังจากนั้นค่อยให้เหล่าซ่งเข้ามาเอาออกไปให้ลูกสาวซัก
เฉียนเพ่ยอิงยังเดินไปไม่ถึงระเบียงทางด้านเหนือ นางก็รู้สึกว่าในห้องดูผิดปกติไป
เละเทะไปหมด แค่มองก็รู้ว่าเหล่าซ่งต้องค้นหาสิ่งของบ่อยแน่
กระป๋องนมผงเปิดออก ผลไม้ก็วางระเกะระกะ บนโต๊ะทำอาหารมีลูกพลับวางกองสุมกัน ทำไมถึงไม่…
เฉียนเพ่ยอิงถือกางเกงขาสั้นที่สกปรก ยืนอึ้งสักพัก
โอ้ กินไปหมดแล้วไม่ใช่หรือ?
นางตาโตรีบเดินไปทางระเบียงด้านเหนือ เปิดตู้ดูและบ่นพึมพำไปด้วย “อ๊าห์ นี่เครื่องดื่ม สวรรค์ โอ้ ทำไมไม่เห็นมันจะเหลือน้อยลงเลย?”
เฉียนเพ่ยอิงไม่อยากเสียเวลา สมองนางมึนงง นางออกมาจากพื้นที่พิเศษ แน่นอนว่าไม่ได้พกกางเกงขาสั้นกลับมาด้วย คงหล่นในห้องน้ำแล้ว เพราะห้องน้ำเป็นประตูเข้าออกของพวกเขาทั้งสามคน
อาจจะพูดได้ว่า นางไม่สามารถเอาของเข้าไปได้ และไม่เหมือนสามีที่สามารถเอาของออกมาได้ แต่ว่า?
“ข้าพูดก่อน เหล่าซ่ง”
“ได้ เจ้าพูดเสียงเบาหน่อย” ซ่งฝูเซิงก็มีสีหน้าร้อนรน
“เจ้าบอกเองว่าน้ำดื่มกันหมดแล้วไม่ใช่หรือ? ทั้งเครื่องดื่ม เบียร์ น้ำแร่ ตอนนั้นหิวมาก เจ้าบอกเองว่าดื่มน้ำหมดแล้ว”
“แน่นอนน่ะสิ”
ซ่งฝูหลิงตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ท่านแม่ ข้าดื่มจนหมดแล้ว ข้าเข้าไปก็ยังค้นหาแล้ว”
เฉียนเพ่ยอิงพูดติดขัด “ไม่ๆ พวกมันยังอยู่นะ ข้ายังเห็นลูกพลับเลย”
ซ่งฝูเซิง ซ่งฝูหลิง “…”