อันหลินรู้สึกได้ว่าจุดตันเถียนของตนกำลังเดือดพล่าน พลังงานจากขุมพลังสัตว์เริ่มแปรสภาพแล้ว

พายุหมุนพลังปราณกลางอากาศแผ่ขยายอย่างต่อเนื่อง พลังปราณมวลมหาศาลเริ่มหลั่งไหลไปที่ตัวอันหลิน

เขาสัมผัสได้ว่า ทุกอณูรูขุมขนของร่างกายกำลังดูดซึมอย่างสบายอารมณ์ พลังปราณอันไม่สิ้นสุดกำลังชะล้างร่างกายของเขา แน่นอนว่า มีพลังปราณส่วนใหญ่แทรกซึมไปในตันเถียน ก่อตัวเป็นท้องทะเลแห่งพลังปราณ

เมื่อเห็นพลังปราณอันน่ากลัวหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกาย แม้แต่คนโง่ก็รู้ว่าเขาจะทะลวงขั้นแล้ว

ขณะนั้นเอง เสี่ยวหงก็สัมผัสได้ จึงตะโกนลั่นว่า “พี่เสี่ยวหลาน วางข้าลงบนร่างของนายท่าน”

สวีเสี่ยวหลานชะงักไปครู่หนึ่ง แต่ก็วางเสี่ยวหงไว้ข้างตัวอันหลินตามคำขอ

ผู้เป็นนายสามารถถ่ายทอดพลังให้กับสัตว์เลี้ยงผ่านสายสัมพันธ์แห่งพันธการได้

ตอนนี้ เสี่ยวหงรู้สึกถึงความเชื่อมต่ออันอัศจรรย์ใจ

สายสัมพันธ์แบบนี้ ทำให้มันเป็นฝ่ายเข้าใกล้อันหลินตามสัญชาตญาณ

ภายในจุดตันเถียนของอันหลิน พลังงานจากขุมพลังสัตว์เริ่มแปรสภาพ หลอมรวมกับพลังปราณฟ้าดินที่หลั่งไหลเข้ามาไม่หยุดหย่อน

รากปราณจะก่อตัวแล้วเหรอ

ใจของเขากระตุก เริ่มจดจ่อกับการซึมซับพลังปราณฟ้าดิน

รากปราณเป็นรากฐานแห่งมรรคที่ก่อตัวในจุดตันเถียนของนักพรต เมื่อรากปราณก่อตัวสำเร็จ ความสามารถในแต่ละด้านของนักพรตจะพุ่งทะยาน

อันดับแรกคือการใช้พลังปราณ การใช้พลังเซียนในยามปกติ พลังปราณจะถูกปล่อยออกมาจากเส้นชีพจรของร่างกาย

แต่เมื่อมีรากปราณแล้ว พลังปราณจะหมุนรอบรากปราณหนึ่งรอบ เพื่อทำให้บริสุทธิ์และแข็งแกร่งขึ้น และใช้รากปราณทำให้การทำงานของมันซับซ้อนยิ่งขึ้น

พูดง่ายๆ ก็คือ อานุภาพของพลังเซียนที่นักพรตปล่อยออกมาจะบริสุทธิ์และรุนแรง ควบคุมได้แม่นยำยิ่งขึ้น

ขณะเดียวกัน ท้องทะเลแห่งปราณในจุดตันเถียนจะทำให้ปริมาณการใช้พลังปราณของนักพรตเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ซึ่งหมายความว่าจะคงสภาพได้นานยิ่งขึ้น

ระหว่างการทะลวง ร่างกายของนักพรตจะถูกพลังปราณชะล้างอย่างสิ้นเชิงหนึ่งครั้ง ความแข็งแกร่งของร่างกายก็จะเพิ่มขึ้นอย่างทับทวี

บัดนี้ ร่างกายของอันหลินเริ่มส่งเสียงดังกรอบแกรบ ตั้งแต่ไขกระดูกไปจนถึงเลือดเนื้อ ทุกอณูของร่างกายกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง

จุดตันเถียนปรากฏแสงสว่างเจิดจ้า มวลพลังงานจะเริ่มแปรสภาพแล้ว!

มันค่อยๆ รวมตัวกันและก่อตัวช้าๆ พลังมหาศาลแผ่กระจายออกมาจากจุดตันเถียนอย่างเชื่องช้า

สุดท้ายเม็ดสีทองระยิบระยับก็ลอยอยู่ในจุดตันเถียน

เอ๊ะ เม็ดกลมงั้นเหรอ

ตูม!

กลิ่นอายของอันหลินเปลี่ยนไป กลิ่นอายอันแข็งแกร่งของระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณแผ่ออกมาจากตัวเขา

“อันหลิน! เจ้ายังไม่รีบหลับตาอีก!”

เสียงตะโกนกร้าวของสวีเสี่ยวหลานดังก้องดุจกัปนาท ทำให้อันหลินสะดุ้งโหยง เบิกตากว้างกว่าเดิม…

จากนั้น

ปึก!

ท้ายทอยของเขาถูกฟาดอย่างแรง หมดสติไปอย่างสิ้นเชิง

เสี้ยววินาทีก่อนจะสลบ เขายังตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยวอยู่ว่า

“ให้ตายสิ จะให้ข้าหลับตาควรจะปิดตาข้าไม่ใช่หรือ ทุบท้ายทอยหมายความว่าอย่างไร!”

ผู้ที่ฟาดเขาคือกระบองเงินของเจ้าอัปลักษณ์นั่นเอง

แต่ผู้ที่ถือมัน กลับเป็นสวีเสี่ยวหลานที่กำลังตีหน้ายักษ์

หญิงสาวคนนั้นคือ เสี่ยวหงที่กลายร่างเป็นมนุษย์กะทันหันนั่นเอง

เสี่ยวหงกะพริบตาปริบๆ ไม่ค่อยเข้าใจเท่าใดนักว่าทำไมสวีเสี่ยวหลานต้องฟาดอันหลิน

“รีบใส่เร็วเข้า!”

เซวียนหยวนเฉิงหันหลังไปนานแล้ว

ส่วนเจ้าอัปลักษณ์ ไม่มีปฏิกิริยาใดเลยแม้แต่นิด

ซูเฉี่ยนอวิ๋นเหลียวมองเสี่ยวหง

หญิงสาวที่อ่อนต่อโลกอย่างซูเฉี่ยนอวิ๋นรู้สึกละสายตาไม่ได้

“เสี่ยวหง จุดกำเนิดพลังปราณของเจ้าก่อตัวแล้วหรือ” สวีเสี่ยวหลานถามอย่างสงสัยหลังสงบสติอารมณ์ลงแล้ว

“อืม ใช่แล้ว ชั่ววินาทีที่นายท่านทะลวงขั้น จุดกำเนิดพลังปราณของข้าก็ก่อตัวสำเร็จด้วยเช่นกัน!”

“จะว่าไปความรู้สึกแบบนั้นช่างอัศจรรย์เหลือเกิน ราวกับตัวข้าเชื่อมกับนายท่านเลย”

สวีเสี่ยวหลานหน้าแดง แย้งขึ้นมาทันทีว่า “เสี่ยวหง ข้าคิดว่าตอนเจ้าเป็นดอกไม้น่ารักกว่า”

เสี่ยวหงพยักหน้ารัวๆ พูดอย่างเห็นด้วยว่า “ฮ่าๆ พี่เสี่ยวหลานก็คิดเช่นนี้เหมือนกันหรือ”

“ข้าคิดว่าหลังจากที่ข้ากลายร่างเป็นมนุษย์แล้ว สิ้นเปลืองพลังปราณยิ่งนัก”

“แต่สภาพของดอกไม้กลับไม่สิ้นเปลืองพลังปราณมากเท่าใดนัก แถมยังสังเคราะห์แสงได้ด้วย ที่สำคัญคือข้าเคยชินมากกว่า!”

ขณะที่พูด เสี่ยวหงก็กลายร่างเป็นดอกไม้สีแดงที่มีใบไม้และลำต้นอีกครั้ง

มีหนึ่งสิ่งที่แตกต่างไปจากเดิมคือ มันสามารถยื่นกิ่งออกมาเดินเหินได้อย่างอิสระราวกับเป็นเท้าของมัน!

เมื่อเห็นเสี่ยวหงกลับไปเป็นดอกไม้สีแดงดังเดิม ทุกคนก็พรูลมหายใจออกมา

“เจ้าอัปลักษณ์ เจ้าแบกอันหลินกลับไปเถอะ บนพื้นมันเย็น…” สวีเสี่ยวหลานหาวหวอดๆ แล้วพูดขึ้นมา

“ดึกแล้ว ข้าขอตัวลาล่ะ” เซวียนหยวนเฉิงพูดกับทุกคน

สวีเสี่ยวหลานกับซูเฉี่ยนอวิ๋นก็แยกย้ายกันกลับห้องตัวเอง

เจ้าอัปลักษณ์แบกอันหลินขึ้นแล้วเดินเข้าไปในห้องของเขา โดยมีเสี่ยวหงตามหลังมาด้วย

เช้าวันต่อมา แสงอาทิตย์ยามอรุณรุ่งสาดส่องไปทั่วปฐพี

เสี่ยวหงนอนหมอบอยู่ข้างหน้าต่าง กิ่งก้านแผ่ออก กำลังสังเคราะห์แสงอย่างสบายใจเฉิบ

อันหลินลืมตาขึ้นอย่างสะลืมสะลือ พบว่าเป็นเช้าวันต่อมาแล้ว

“เฮ้อ สวีเสี่ยวหลานไม่บันยะบันยังเอาซะเลย” เขาลูบท้ายทอยพลางบ่นอุบอิบ

เมื่อได้ยินอันหลินพูด เสี่ยวหงที่กำลังสังเคราะห์แสงก็หันขวับ “นายท่าน ในที่สุดท่านก็ฟื้นสักที!”

จากนั้นก็กระโดดไปหาอันหลิน โยกหัวแดงฉานของมันไปมา

อันหลินเห็นเสี่ยวหงที่เคลื่อนไหวอย่างเป็นอิสระก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็ทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ ถามด้วยความตกใจว่า “หญิงสาวที่โผล่มาเมื่อคืนใช่เจ้าหรือไม่”

“ข้าเอง เพราะบารมีของนายท่าน เสี่ยวหงมีจุดกำเนิดพลังปราณแล้ว จะให้เสี่ยวหงแปลงร่างให้นายท่านดูหรือไม่” เสี่ยวหงพูดอย่างภาคภูมิใจ

เมื่ออันหลินได้ยินคำว่าแปลงร่าง ก็พาลนึกถึงท่าทางของเสี่ยวหงเมื่อคืน ใบหน้าพลันแดงก่ำขึ้นมา

ขณะที่เขากำลังจะพูดว่า ‘ลองแปลงร่างให้ดูหน่อย’ จู่ๆ ก็นึกถึงกระบองที่ฟาดเมื่อคืน จึงเปลี่ยนใจทันที “ไม่ต้อง! เสี่ยวหงในสภาพนี้น่ารักกว่า”

“ใช่ไหมล่ะ เสี่ยวหงเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน!” เสี่ยวหงยิ้มกริ่ม พูดเสียงหวาน

จุดกำเนิดพลังปราณของเสี่ยวหงก่อตัวสำเร็จแล้ว อันหลินก็ดีใจมากเช่นกัน

เขานึกขึ้นได้ว่าเขาเข้าสู่ระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณแล้วเมื่อคืน ก็ยิ่งดีใจไปกันใหญ่ ใช้กระแสจิตเพ่งมองไปที่จุดตันเถียน

หึๆ ขอดูหน่อยสิว่ารากปราณหน้าตาเป็นอย่างไร

ต่อมา…

อันหลินก็ตกตะลึง

เพราะเขาเห็นเม็ดสีทองระยิบระยับกำลังลอยอยู่ในจุดตันเถียน…

บัดซบ!

เม็ดกลมนี่มันตัวอะไรกัน!

ให้ตายสิ!

รากปราณของฉันล่ะ!

………………………………..