ตอนที่ 101 แผนการ

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

เฉิงลู่อดทนฟังมารดากล่าวไร้สาะไปอีกครู่ใหญ่ หลังจากที่ยอมรับปากให้สาวใช้ยกต้มเม็ดบัวเข้ามาให้แล้ว ถึงได้ส่งมารดาออกไป

 

 

เขานั่งอยู่ใต้ระเบียงเงียบ ๆ คนเดียว มองไปที่ต้นทับทิมในลานบ้านที่บิดาปลูกขึ้นมาด้วยตัวเองในปีนั้น กิ่งก้านใบได้เจริญขึ้นจนหนาแน่น แล้วหัวเราะขึ้นอย่างเย็นชาครั้งแล้วครั้งเล่าไม่หยุด

 

 

อะไรที่บอกว่ากลัวว่าเขาจะพูดผิดไปโดยไม่ตั้งใจ อะไรที่บอกว่ากลัวว่าจะมีคนมีเจตนาแอบแฝงแล้วแพร่เรื่องนี้ออกไปอย่างผิด ๆ ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วกลับมั่นใจอยู่แล้วตั้งแต่ต้นว่าเขาเป็นคนพูด ยังข่มขู่เขาอีกว่าหากเรื่องนี้แพร่ออกไปถึงหูของท่านอาจารย์แล้วจะไม่เป็นผลดีต่อเขา…แต่มารดากลับไม่สามารถกล่าวแก้ต่างให้กับเขาเลยแม้สักประโยค นอกจากนี้ยังให้ยกเรื่องนี้ให้หยวนซื่อเป็นคนจัดการทั้งหมดอีก…ช่างโง่เขลาจริง ๆ…จนไม่รู้ว่าจะบรรยายว่าอะไรดี…ไม่เคยรู้จักใช้สมองคิดมาก่อน…เขามีมารดาเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!

 

 

เขาคิดถึงหยวนซื่อขึ้นมา

 

 

รูปลักษณ์สง่างาม ท่วงท่าสบาย ๆ มีความมั่นใจ ลักษณะดูสบายตา แขนเสื้อพลิ้วไหว…เมื่อเปรียบเทียบเฉิงสวี่กับเขาแล้ว

 

 

สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนเป็นหม่นหมองขึ้นมา

 

 

จ้าวต้าไห่ที่สวมชุดต่วนเฮ่อสีดำและคาดเอวด้วยเข็มขัดผ้าฝ้ายสีดำเดินเข้ามา

 

 

“คุณชายใหญ่!” เขาทำความเคารพเฉิงลู่อย่างนอบน้อม

 

 

เฉิงลู่พยักหน้าน้อย ๆ กล่าวเสียงเบาว่า “ไปคุยกันในห้องหนังสือ”

 

 

จ้าวต้าไห่ตามเฉิงลู่เข้าไปในห้องหนังสือเงียบ ๆ

 

 

เฉิงลู่ชี้ไปที่เก้าอี้มีเท้าแขนตรงข้ามกับตน กล่าวขึ้นว่า “เหนื่อยมาตลอดทางแล้ว นั่งลงเถอะ!”

 

 

จ้าวต้าไห่กล่าวขอบคุณ แต่กลับไม่กล้านั่งลงไป รับน้ำชาที่สาวใช้ยกมาให้แล้วดื่มหมดในคราวเดียว เมื่อเห็นสาวใช้ถอยออกไปแล้ว เขาถึงกระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “เรื่องที่ท่านให้ข้าไปสืบมานั้น ข้าสืบมาได้ชัดเจนแล้วขอรับ คุณชายใหญ่สวี่ถูกฮูหยินหยวนส่งไปที่หังโจว กล่าวว่าต้องไปอวยพรวันเกิดให้กับท่านอาจารย์ของเขา ส่วนคุณชายใหญ่สือช่วงนี้นอกจากร่วมงานเลี้ยงต่อบทกลอนขอบสหายร่วมชั้นครั้งหนึ่งแล้ว เวลาอื่น ๆ ล้วนใช้เวลาอยู่ที่ตลาดดอกไม้ ได้ยินหุ้นส่วนของตลาดอกไม้กล่าวกันว่า ดูเหมือนว่าคุณชายใหญ่สือต้องการจะจัดงานชมดอกเบญจมาศขึ้นในบ้านครั้งหนึ่ง เดินเลือกดอกเบญจมาศพันธ์ต่าง ๆ จนเต็มถนน…

 

 

…ส่วนคุณชายใหญ่เจิ้งไปที่สมาคมการค้าแห่งก่วงตงหลายครั้ง เคยไปกินข้าวกับคุณชายรองของสิบสามห้างแห่งก่วงตงสองครั้งและกินเลี้ยงอีกหนึ่งครั้ง ได้ยินบ่าวที่รับใช้กล่าวกันว่า ดูเหมือนจวนสามต้องการทำการค้าทางทะลกับคนของสิบสามห้าง แต่ว่าสุดท้ายเจรจากันสำเร็จหรือไม่นั้น บ่าวยังสืบไม่ได้ข่าวขอรับ ข้าคิดว่าอีกสองสามวันจะไปดูที่ร้านยาของจวนสาม คุณชายใหญ่เจิ้งต้องการทำการค้าทางทะเลกับคนของสิบสามห้าง โดยปกติแล้วอย่างน้อยก็ต้องใช้เงินกว่าห้าหมื่นเหลี่ยง ซึ่งนี่ไม่ใช่เงินจำนวนน้อย ๆ ข้าคาดการณ์ว่าอาจจะดึงเงินจากร้านยา เพียงจับตาดูร้านยาสองสามร้านเอาไว้ ก็จะทราบได้ว่าคุณชายใหญ่เจิ้งเจรจาการค้าสำเร็จหรือไม่…

 

 

…ส่วนคุณชายใหญ่เก้ากับคุณชายรองอี้นั้น นับตั้งแต่ไฟไหม้ครั้งที่แล้วเป็นต้นมา นอกจากไปซื้อหนังสือที่ร้านหนังสือหรือไม่ก็ไปซื้อเครื่องเขียนที่หอเหวินเต๋อเก๋อแล้ว ก็แทบจะไม่ได้ออกมาเลยขอรับ…

 

 

…ส่วนคุณชายใหญ่นั่วก็ยังคงเป็นเหมือนที่ผ่านมา มักจะถูกคุณชายใหญ่จวี่เป่าหูให้ไปเล่นการพนันที่หอนางโลมใกล้ ๆ กับแม่น้ำฉินไหวอยู่บ่อย ๆ ขอรับ” กล่าวถึงตอนนี้ เขาหยุดเล็กน้อย จากนั้นกล่าวอีกว่า “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง คนที่นายท่านห้าเลี้ยงเอาไว้ข้างนอกผู้นั้น เมื่อวานคลอดบุตรชายได้คนหนึ่ง นายท่านห้ายังคงปิดเอาไว้ไม่ให้ใครพูดออกไปขอรับ”

 

 

“อ้อ!” เฉิงลู่คิ้วกระตุกขึ้น กล่าวยิ้ม ๆ ว่า “เห็นทีว่าซอยจิวหรูจะมีเรื่องสนุกให้ดูอีกแล้ว”

 

 

จ้าวต้าไห่เองก็หัวเราะขึ้นมาด้วย

 

 

เฉิงลู่สั่งการเขาว่า “เรื่องจวนสาม เจ้าจับตาดูให้ละเอียด มีข่าวคราวอะไรก็มาบอกข้า” เขากล่าวกับตัวเองว่า “เงินที่นายท่านสี่ได้จากการเปิดร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่ในปีนั้น ก็ได้รับมาจากการทำการค้าทางทะลกับสิบสามห้าง ดูท่าทางแล้วเฉิงเจิ้งอยากจะเรียนแบบนายท่านสี่”

 

 

จ้าวต้าไห่ไม่อยู่ในสถานะที่จะออกความเห็นได้ จึงไม่ได้ตอบอะไร

 

 

เฉิงลู่เติมน้ำชาให้เขาอีกถ้วยด้วยตัวเอง

 

 

จ้าวต้าไห่รีบโค้งตัวกล่าวขอบคุณ

 

 

เฉิงลู่ส่งสัญญาณให้เขานั่งลงอีกครั้งเพื่อสนทนากัน

 

 

เขาถึงนั่งลงครึ่งหนึ่งของเก้าอี้

 

 

เฉิงลู่เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “สามารถไปสืบมาได้หรือไม่ว่าโจวเจิ้นจะกลับมาเมื่อไหร่”

 

 

จ้าวต้าไห่ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ไม่กล้ากล่าวได้อย่างมั่นใจ “บ่าวจะลองดูขอรับ”

 

 

เฉิงลู่จึงถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง สีหน้าหดหู่เล็กน้อย

 

 

จ้าวต้าไห่จึงทำใจกล้ากล่าวออกไปว่า “คุณชาย เป็นคุณหนูรองตระกูลโจวใช่หรือไม่ขอรับ…”

 

 

เฉิงลู่ไม่ได้เอ่ยคำใด

 

 

จ้าวต้าไห่เห็นเขาไม่ได้ทักท้วงให้หยุดกล่าวถึงหัวข้อนี้ จึงเอ่ยถามขึ้นอย่างเป็นห่วงว่า “คุณชาย ท่านจะปล่อยคุณหนูรองตระกูลโจวไปให้กับเฉิงสวี่จริง ๆ หรือ ตอนนี้โจวเจิ้นได้เลื่อนไปดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองที่เป่าติ้งแล้ว…ถึงแม้ว่าคุณชายจะสามารถหาคนที่มีภูมิหลังเทียบเท่ากับคุณหนูรองตระกูลโจวได้ แต่ไม่แน่ว่าจะมีนิสัยดีเท่าคุณหนูรองตระกูลโจว หรือถ้ามีนิสัยดี ก็ไม่แน่ว่าจะมีภูมิหลังที่ดีเท่าคุณหนูรองตระกูลโจวนะขอรับ…”

 

 

ในบ้านหลังนี้ คนที่สามารถพูดกับเฉิงลู่ได้ คนที่สามารถทำให้เขาวางใจได้ ก็คือจ้าวต้าไห่

 

 

เฉิงลู่รู้สึกหดหู่ใจเป็นอย่างมาก แต่ก็อดตามใจจ้าวต้าไห่ไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “เจ้าคิดว่า ถ้าข้าไม่ปล่อยโจวเสาจิ่นไปให้กับเฉิงสวี่ ข้าก็จะสามารถสู่ขอโจวเสาจิ่นได้อย่างนั้นหรือ เจ้าฝันไปหรือเปล่า! เขาไม่มีทางยอมให้โจวเสาจิ่นแต่งให้ข้าหรอก แม้แต่โจวเสาจิ่นยังสามารถสืบเรื่องในปีนั้นออกมาได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเขาแล้ว หากข้าไม่ได้ซื้อบ้านที่อยู่ข้าง ๆ หลังนั้น ยังอาจจะแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องต่อหน้าเขาได้ แต่ตอนนี้บ้านหลังนั้นแขวนอยู่กับชื่อของข้าแล้ว ข้าจะบอกว่าไม่รู้เรื่องในปีนั้นอีกก็คงจะพูดไม่ได้แล้ว…แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ โจวเสาจิ่นก็อย่าได้หวังเลยว่าจะมีชีวิตที่ดีได้…

 

 

…หยวนซื่อไม่มีทางยอมให้เฉิงสวี่แต่งกับโจวเสาจิ่น แต่เฉิงสวี่กลับมีความรู้สึกที่ลึกซึ้งกับโจวเสาจิ่น ช่วงเวลาก่อนที่คุณหนูใหญ่ตระกูลโจวจะแต่งออกเรือนไปนั้นโจวเสาจิ่นจะต้องอาศัยอยู่ที่ตระกูลเฉิงเป็นเพื่อนนางต่อไปก่อน มีเฉิงสวี่ที่ทำตัวลืมตาข้างหนึ่งปิดตาข้างหนึ่งอยู่ เพียงทำให้ชื่อของเฉิงสวี่ผูกติดกับโจวเสาจิ่น ต่อให้โจวเสาจิ่นอยากจะสลัดชื่อเสียงที่ว่า ‘ลักลอบคุย’ กับเฉิงสวี่ออกไป แต่ก็เกรงว่าจะไม่ง่ายดายเสียแล้ว…

 

 

…หากเฉิงสือและเฉิงเจิ้งทำอะไรขึ้นมาในระหว่างนี้ เช่นนั้นก็คงจะน่าสนใจแล้ว!…

 

 

…อย่างไรก็ตาม นี่ล้วนเป็นเรื่องของอนาคต…

 

 

…ในทางกลับกัน ตอนนี้ข้ากังวลใจเรื่องของโจวเจิ้นมากกว่า เขาผู้เป็นแค่บัณฑิตเพียงคนเดียว กลับสามารถทำให้ขยะของตระกูลจวงผู้นั้นไม่กล้ามาสร้างความรำคาญใจให้เขาอีก กลัวแต่ว่าจะเป็นคนที่ไม่ธรรมดาผู้หนึ่ง เฉิงสวี่มองเจตนาของข้าไม่ออก ส่วนนายท่านสี่ดูแคลนที่จะสนใจเรื่องพวกนี้ โจวเสาจิ่นเป็บบุตรสาวของโจวเจิ้น หากเขามีใจ ย่อมต้องมองออก…” กล่าวถึงตรงนี้ ใบหน้าอ่อนหวานที่ทำให้คนใจเต้นได้ใบหน้านั้นของโจวเสาจิ่นก็ลอยเข้ามาในหัวของเขา

 

 

หากไม่ใช่บุตรสาวของจวงเหลียงอวี้ก็น่าจะดี…ไม่ ต่อให้นางเป็นบุตรสาวของจวงเหลียงอวี้ แต่ไม่ได้มีใบหน้าที่เหมือนกับจวงเหลียงอวี้ขนาดนี้ เขาก็อาจจะยังสามารถแสร้งทำเป็นไม่รู้…แต่งนางกลับมาอย่างถูกต้อง ปฏิบัติกับนางเหมือนอย่างที่โจวเจิ้นปฏิบัติกับจวงเหลียงอวี้ ทะนุถนอมนางราวกับไข่มุกและอัญมณีล้ำค่า…แต่ตอนนี้ ทุกครั้งที่เขาเห็นใบหน้านั้น ก็จะนึกถึงจวงเหลียงอวี้ขึ้นมา

 

 

นึกถึงภาพเสมือนใบนั้นที่บิดาเก็บเอาไว้ในห้องหนังสือ นึกถึงตอนที่ติดตามบิดาไปจุดธูปที่วัดกันเฉวียนในปีนั้น บิดาชี้ไปที่สตรีงดงามที่มีเสน่ห์ผู้หนึ่งจากที่ไกล ๆ และถามเขาว่า นางมาเป็นมารดาของเจ้าดีหรือไม่…นึกถึงสีหน้าที่ทั้งเจ็บปวดและสิ้นหวังของบิดาตอนที่กำลังเผชิญกับความตาย…

 

 

เขาหลับตาลง

 

 

เมื่อเริ่มยิงลูกศรแล้วไม่มีทางย้อนกลับได้อีก

 

 

นับตั้งแต่เมื่อสองปีก่อนตอนที่เขาบังเอิญได้พบกับโจวเสาจิ่นเป็นต้นมา เขาก็ไม่มีทางให้ถอยอีก

 

 

เฉิงลู่สั่งการจ้าวต้าไห่ “ครอบครัวสองสามครอบครัวนั้น เจ้าเอาข้าวสารไปมอบให้พวกเขาอีกสักหน่อย หากพวกเขาถามขึ้นมา ก็บอกไปว่าเป็นของขวัญสำหรับเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ ให้พวกเขาออกจากบ้านให้น้อย หากมีคนถามเกี่ยวกับเรื่องในปีนั้นขึ้นมา ก็อย่าได้พูดไปเรื่อย”

 

 

จ้าวต้าไห่ขานรับอย่างนอบน้อม

 

 

เฉิงลู่เอ่ยถามขึ้นว่า “ขอทานผู้นั้นเล่า”

 

 

“ถูกตัดสินประหารชีวิตไปแล้วขอรับ” จ้าวต้าไห่รีบกล่าว “ข้าแสร้งทำเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือส่งข่าวไปให้ครอบครัวนั้น ยังแสร้งขู่กรรโชกเงินเอาเงินของครอบครัวนั้นมาอีกสองร้อยเหลี่ยง ครอบครัวนั้นไม่ได้สงสัยอะไร ท่านวางใจเถิดขอรับ”

 

 

เฉิงลู่พยักหน้า ส่งจ้าวต้าไห่ออกไป คุกเข่าอยู่ต่อหน้าภาพเหมือนของบิดา

 

 

“ท่านพ่อ ท่านวางใจ ข้าไม่มีทางปล่อยให้ท่านต้องได้รับความเจ็บปวดอย่างเปล่าประโยชน์ เพียงเกลียดที่โจวเจิ้นยินยอมสวมหมวกเขียวแต่ก็ไม่ยอมเปิดเผยเรื่องในปีนั้นออกมา” เขามองใบหน้ายิ้มแย้มของบิดา พึมพำกล่าว “ข้าไม่อาจไปหาจวงเหลียงอวี้ได้ แต่ข้าสามารถไปหาโจวเสาจิ่น ข้าต้องการให้จวงเหลียงอวี้อยู่ที่น้ำพุเหลืองอย่างไม่เป็นสุข ข้าต้องการให้โจวเจิ้นต้องเสียใจที่แต่งงานกับจวงเหลียงอวี้ในตอนนั้น…”

 

 

เขากัดฟันพูด เสียงน่ากลัวสะท้อนอยู่ในห้องข้างห้องเล็ก ๆ นั้น

 

 

***

 

 

ดูทีแล้วการไปหาหยวนซื่อนั้นได้ผลจริง ๆ

 

 

ไม่ถึงสองวัน เฉิงเก้าก็มากระซิบบอกนางเบา ๆ ว่า “ท่านผู้นำตระกูลจวนรองกล่าวว่าบรรยากาศการเรียนในสำนักศึกษาไม่ค่อยดีนัก บัณฑิตไม่ตั้งใจพัฒนาและขยันขันแข็งในการศึกษา ในทางตรงกันข้าม กลับสนใจเรื่องของเรือนชั้นใน เรียกท่านลุงอี๋ไปอบรมครั้งหนึ่ง ให้เขายามมีเวลาว่างอย่าเอาแต่ไปเที่ยวเล่นตามหุบเขาลำเนาไพร ในเมื่อรับช่วงต่อดูแลสำนักศึกษาแล้ว ก็ควรจะจัดการดูแลเรื่องภายในสำนักศึกษาให้ดี”

 

 

โจวเสาจิ่นยิ้ม

 

 

ใครจะรู้ว่าหลังจากที่เฉิงเก้ากล่าวเช่นนี้ไปสองวัน ก็มีเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นในสำนักศึกษา

 

 

เนื่องจากเห็นว่าบรรยากาศการเรียนในสำนักศึกษาไม่ดีนัก จวนหลักตัดสินใจสนับสนุนทุนช่วยเหลือให้สำนักศึกษาสองพันเหลี่ยง โดยอาศัยการแนะนำจากอาจารย์ผู้สอนในสำนักศึกษา คัดเลือกนักเรียนที่มีตำแหน่งซิ่วไฉสิบคนไปศึกษาที่สำนักศึกษาเย่ว์ลู่ซึ่งเป็นหนึ่งในสำนักศึกษาของสำนักศึกษาซีต้าเป็นเวลาสองปี

 

 

ทุกคนจะได้เงินจำนวนสองร้อยเหลี่ยงสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายอย่างเท่า ๆ กัน

 

 

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องไปเรียนที่สำนักศึกษาเย่ว์ลู่ เงินนี้สามารถซื้อลานเล็ก ๆ ในเมืองชั้นในของจินหลิงได้เลยหลังหนึ่ง

 

 

นักเรียนในสำนักศึกษาทุกคนต่างก็ไปทดสอบดูอย่างกระตือรือร้น ไม่ว่าจะเดินไปที่ไหนในซอยจิ่วหรูต่างก็ได้ยินบรรดาบ่าวรับใช้สนทนาถึงเรื่องนี้กัน

 

 

เฉิงลู่กลับมีสีหน้าซีดเผือด

 

 

เขารู้ดีว่าเรื่องนี้ชี้เป้ามาที่เขาแปดถึงเก้าในสิบส่วน

 

 

ตัดไฟเสียแต่ต้นลม

 

 

เพียงแต่ไม่รู้ว่านี่เป็นความคิดของนายท่านสี่หรือความคิดของหยวนซื่อกันแน่ ต่อให้เป็นความคิดของนายท่านสี่ แต่ถ้าไม่มีหยวนซื่อเป็นตัวกลาง นายท่านสี่จะสนใจเรื่องพวกนี้หรือ

 

 

เฉิงลู่ไม่ได้ลงชื่อ แต่ชื่อของเขาก็ยังปรากฏอยู่บนกระดาษสีแดงแผ่นใหญ่บนกำแพงของสำนักศึกษา

 

 

คนในสำนักศึกษายินดีกับเขาอย่างจริงใจบ้างอย่างอิจฉาบ้าง

 

 

เขายิ้มน้อย ๆ แต่พองาม ตอบคำถามคนแล้วคนเล่า แต่ในใจกลับกำลังครุกรุ่นดังพายุใต้ฝุ่น

 

 

หยวนซื่อ เฉิงสวี่ พวกเจ้าคอยดู!

 

 

เฉิงลู่กลับบ้านมาเก็บกระเป๋า

 

 

ต่งซื่อร้องไห้จนเหมือนกับคนที่ท่วมไปด้วยน้ำตา จับมือของบุตรชายเอาไว้พลางถามขึ้นว่า “เจ้าไม่ไปไม่ได้หรือ”

 

 

“ไม่ได้!” เฉิงลู่กล่าวเสียงอ่อนโยนว่า “อาจจะทำให้จวนหลักไม่พอใจได้”

 

 

ต่งซื่อได้ยินแล้วก็ยิ่งเจ็บปวดใจ ร้องไห้เรียกเฉิงไป่ขึ้นมา “เหตุใดท่านถึงทิ้งพวกเราสองแม่ลูกไปเช่นนี้ด้วย ถ้าหากท่านยังอยู่ บุตรชายของข้าที่สอบได้เป็นถึงซิ่วไฉแล้วจะยังต้องเห็นแก่สีหน้าของผู้อื่นเช่นนี้อยู่อีกได้อย่างไร…”

 

 

เฉิงลู่มองดูมารดาที่ทิ้งตัวอยู่บนเตียงแล้วก็ได้แต่รู้สึกว่าน่ารำคาญยิ่งนัก

 

 

รู้จักแต่ร้องไห้!

 

 

ถ้าหากว่าการร้องไห้มีประโยชน์ เขาก็คงจะร้องไห้อย่างเศร้าโศกเสียใจให้มากยิ่งกว่านางเสียอีก

 

 

บิดาพยามยามขยันขันแข็งให้จวงเหลียงอวี้ดู ให้จวงเหลียงอวี้รู้สึกเสียใจมาโดยตลอด แต่ยังไม่ทันที่บิดาจะได้บรรลุเป้าหมาย จวงเหลียงอวี้ก็เสียชีวิตไปก่อนแล้ว บิดาสูญเสียความอยากมีชีวิตต่อ จึงจากไปด้วย…มารดา ช่างเป็นคนโง่เขลาจริง ๆ แม้แต่คนที่เป็นคู่ชีวิตกำลังคิดอะไรอยู่บ้างก็ยังไม่รู้…แต่มารดาก็พูดถูกอยู่ประโยคหนึ่ง ถ้าหากบิดายังอยู่ พวกเขามีบ้านมีทรัพย์สิน ทำไมเขาจะต้องเห็นแก่สีหน้าของคนที่ซอยจิ่วหรู…หากเขามีเรื่องอะไร ก็มีบิดาออกหน้าให้…บิดาจะปกป้องเขาดังนกอินทรี!

 

 

เขาคิดถึงแผ่นหลังที่หนาและกว้างและมือที่อบอุ่นของบิดา แล้วภาพก็ค่อย ๆ สลัวจางไป…