บทที่ 109 ลอกคราบ (1)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

ลู่เซิ่งยืนอยู่ในลาน มองสองมือของตัวเอง

ลวดลายรูปตาข่ายโผล่ขึ้นบนฝ่ามือ ถึงจะเล็กมาก แต่เมื่อพิจารณาก็ยังเห็นลวดลายสีเทาได้

‘วิชาด้ายทองเข้าสู่ระดับเบื้องต้น…สมควรยกระดับแล้ว’

เขาไม่กลับไปห้องสงบใจ แต่ยืนอยู่ในตัวลานเช่นนี้

‘ดีปบลู’ เขานึกในใจ

กรอบสีน้ำเงินอ่อนโผล่ขึ้นด้านหน้าเขา

[ดำเนินการเรียนรู้วรยุทธ์หรือไม่?] กรอบคำถามเด้งขึ้นมา

“ใช่” ลู่เซิ่งตอบอย่างสงบนิ่ง

กรอบข้อความหายไป เผยให้เห็นวรยุทธ์แต่ละชนิดแถวหนึ่งด้านหลัง หลังจากดูดซับปราณหยินจากของหลายชิ้นที่ได้มาเมื่อก่อนหน้า วรยุทธ์ทั้งหมดในเวลานี้เห็นปุ่มสามารถเรียนรู้

เพียงแต่สายตาของลู่เซิ่ง หยุดนิ่งที่วิชาเก้าพิฆาตแดงฉานเนิ่นนาน ปุ่มสามารถเรียนรู้ยังคงอยู่ แต่เขาทราบว่าหากเกิดตนกดลงไป ร่างกายจะต้านไม่ไหว มีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดปัญหา

ถ้าไม่บาดเจ็บสาหัส เส้นลมปราณก็เสียหาย

กายเนื้อต้านรับไม่ไหว ปราณภายในมีมากเกินไป ไม่อาจกักเก็บได้ ไม่แก้ปัญหานี้ ก็ไม่อาจกักเก็บวิชากำลังภายในระดับสูงกว่านี้ได้

‘น่าเสียดาย…’ เขามองวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานอย่างล้ำลึก ในที่สุดก็กลับไปยังวรยุทธ์ที่โผล่ขึ้นใหม่ด้านล่างสุด

[วิชาด้ายทอง: ระดับเบื้องต้น ผลพิเศษ: ป้องกันอาวุธมีคมระดับหนึ่ง]

วิชาแข็งกร้าวที่เรียบง่ายยิ่งวิชาหนึ่ง ผลพิเศษเพียงหนึ่งเดียวคือป้องกันอาวุธมีคม ลู่เซิ่งค่อยๆ พ่นลมหายใจ

‘ใช้วิชาหยินหยางกระเรียนหยกเพิ่มระดับดูก่อน’ เขาหยีตา

[ยกระดับวิชาด้ายทองถึงขั้นที่หนึ่ง]

ความคิดทำงาน แถวของวิชาด้ายทองบนเครื่องมือปรับเปลี่ยนเลือนลงในพริบตา ไม่กี่อึดใจก็ชัดขึ้นอีกครั้ง

[วิชาด้ายทอง: ระดับหนึ่ง ผลพิเศษ: ป้องกันอาวุธมีคมระดับสอง]

[เพิ่มวิชาด้ายทองถึงระดับที่สอง] ลู่เซิ่งรู้สึกว่าร่างกายไม่มีสิ่งใดผิดปกติ เพียงแต่ปราณภายในของวิชาหยินหยางกระเรียนหยกหายไปครึ่งหนึ่ง จึงยกระดับต่อ

ถึงแม้ปราณหยินจะมากพอจนยกระดับได้ แต่อย่างไรการยกระดับโดยตรงก็สิ้นเปลืองไปบ้าง การใช้การเรียนรู้วิชาที่ถึงขีดจำกัดจึงเป็นเส้นทางที่ถูกต้อง

กรอบวิชาด้ายทองบนเครื่องมือปรับเปลี่ยนพลันจางลง แล้วชัดขึ้นใหม่ กลายเป็นระดับสองอย่างรวดเร็ว ผลพิเศษเปลี่ยนเป็นป้องกันอาวุธมีคมระดับสองเช่นเดิม

ครั้งนี้ลู่เซิ่งรู้สึกว่าร่างกายโหวงๆ อยู่บ้าง มองผิวบนหลังมือของตัวเอง ลวดลายสีเทาชั้นนั้นชัดขึ้นเรื่อยๆ

‘ดูเหมือนต้องใช้ปราณหยินแล้ว’ เขาแลกเปลี่ยนของสามชิ้นจากจัวเหวินอวี่ ทั้งหมดเป็นของที่มีปราณหยิน แต่ว่าหลังจากดูดซับสามชิ้นรวมกัน ค่อยถึงขั้นเรียนรู้วิชาเก้าพิฆาตแดงฉานได้หนึ่งครั้ง

ดังนั้นก่อนที่จะเจอแหล่งปราณหยินแหล่งอื่น เขาต้องใช้ประหยัดๆ

ใช้สำนึกกดปุ่มเรียนรู้หลังวิชาด้ายทองเบาๆ

ซู่…

กรอบวิชาด้ายทองพลันพร่ามัว จากนั้นก็โผล่ขึ้นมาในพริบตา

[วิชาด้ายทอง: ระดับสาม ผลพิเศษ: ป้องกันอาวุธมีคมระดับสี่ เพิ่มพละกำลังระดับหนึ่ง]

เครื่องมือปรับเปลี่ยนแสดงผลอย่างเป็นรูปธรรม หลังทำให้วิชาด้ายทองสำเร็จออกมาในรูปแบบของเกม เหมือนตอนเล่นเกมในโทรศัพท์มือถือ

ลู่เซิ่งยกแขนขึ้น อาศัยแสงจันทร์พินิจดู รู้สึกว่าร่างกายคล้ายเกิดการเปลี่ยนแปลงที่อธิบายไม่ได้บางอย่าง บอกไม่ถูกว่าเป็นอะไร แต่คล้ายเป็นสิ่งของในชั้นละเอียดอ่อน

เขาสัมผัสการเปลี่ยนแปลงส่วนหนึ่งในร่าง ก่อนเดินเข้าไปในห้องสงบใจ ชักอิฐก้อนหนึ่งออกมาจากมุม

กำแพงพลันถูกดึงเป็นช่องดำช่องหนึ่ง ดาบเชือดสุกรที่ทั้งยาวทั้งใหญ่สองเล่มวางอยู่ด้านใน

ลู่เซิ่งใช้มือหนึ่งหยิบด้ามดาบขึ้นมา ก่อนกรีดดาบใส่ปลายแขนตนเอง

คมดาบคมกริบส่งเสียงครืด กรีดผ่านผิวเขามีแค่รอยเล็กๆ รอยหนึ่ง

‘ระดับความคมของดาบเล่มนี้ยังมากกว่าคมดาบทั่วไป แม้แต่ตัวมันก็กรีดผิวยาก…’ ลู่เซิ่งคาดคำนวณดู พลังป้องกันของผิวตนใกล้เคียงกับการสวมเกราะหนังแข็งไม่มาก

เกราะหนักแข็งที่หนาส่วนหนึ่ง แม้ใช้แรงก็กรีดใส่ไม่ขาด

‘วิชาด้ายทองนี้มีประสิทธิภาพพอถูไถ ไม่น่าจึงเป็นแค่ระดับพลังปลอดโปร่ง ฝึกจนสำเร็จแล้วประสานกับหัตถ์หมีขยุ้มค่อยเป็นแบบนี้ นอกจากป้องกันอาวุธมีคม ก็มีการเสริมพละกำลังที่วิชาแข็งกร้าวทั้งหมดมี ยังนับว่ามีผลแล้ว’ เขาส่ายหน้า ผิดหวังอยู่บ้าง

ปราณหยินรู้สึกเพียงหายไปส่วนเล็กๆ อาจเป็นเพราะวิชานี้อ่อนแอ

‘ในเมื่อเสียไปน้อยขนาดนี้ อย่างนั้นก็เรียนรู้ต่อได้อีก!’

หลังจากออกไปกินดื่มเข้าห้องน้ำเรียบร้อย ลู่เซิ่งก็กลับมาถึงห้องอย่างรวดเร็ว ฝึกฝนวิชาแข็งกร้าววิชาใหม่ต่อ

ต่อจากวิชาด้ายทอง ก็เป็นวิชาโอสถกลองพลบค่ำ

ครั้งนี้เขาเอาวิชาแข็งกร้าวทั้งหมดห้าวิชามาจากศาลาประกาศยุทธ วิชาด้ายทองฝึกจนสำเร็จแล้ว ก็เป็นรอบของวิชาโอสถกลองพลบค่ำที่มีพลังสะท้อนกลับแข็งแกร่งสุดขีด

เงื่อนไขของวิชาแข็งกร้าววิชานี้คือฝึกฝนความแข็งแกร่งของตัวเอง จนเสริมสร้างเนื้อเยื่อผิวหนังเอ็นกระดูกทั้งร่างกลายเป็นโครงสร้างที่มีความเหนียวสูงเหมือนกับกลองหนังก่อน เมื่อเป็นแบบนี้ ถ้าคู่ต่อสู้โจมตีใส่ผิว พริบตาเดียวก็จะสัมผัสถึงแรงสะท้อนกลับสุดกำลังเหมือนตีกลอง

เรียกได้ว่าเป็นความสามารถชั้นเลิศที่ใช้การป้องกันแทนการโจมตี แน่นอนว่าความยากในการฝึกความสามารถนี้ก็สูงกว่าวิชาด้ายทองด้วย

ว่ากันว่าวิชาแข็งกร้าวนี้ยังเคยให้กำเนิดยอดฝีมือระดับสำนึกปลอดโปร่งในพรรค นับว่าเป็นคัมภีร์ลับระดับสุดยอดในขอบเขตพลังปลอดโปร่ง

ลู่เซิ่งสั่งกระดิ่ง กำชับบริวารให้เปลี่ยนน้ำแกงโอสถสำหรับแช่ตัว พร้อมทำความคุ้นเคยวิชาลมปราณเคล็ดลับของวิชาโอสถกลองพลบค่ำ

ศึกษาฝึกฝนเช่นนี้ พริบตาเดียวก็ผ่านไปสามวัน

เขาอยู่ในห้องสงบใจ เหนื่อยจนล้มนอนกับพื้น เวลาหิวกระหายก็เรียกคนส่งอาหาร เครื่องดื่ม เสริมร่างกายตามวิชาเดินลมปราณและวิธีตีค้อนซึ่งใช้ค้อนใหญ่ฟาดใส่ร่างกาย

ลู่เซิ่งให้คนแขวนกระบองเขี้ยวหมาป่าทำจากเหล็กสิบกว่าท่อนในห้องสงบใจ ทุกท่อนต่างหนาเท่าเอวคนทั่วไป ขณะฝึกฝนก็ใช้มือผลักกระบองเขี้ยวหมาป่า แล้วพุ่งชนใส่

หนามแหลมกับพลังกระแทกอันมหาศาลปะทะใส่ราง แบบนี้จะบรรลุเป้าหมายสร้างความมั่นคงแก่วิชาด้ายทอง และยังบรรลุผลในการตีค้อนในวิชาโอสถกลองพลบค่ำด้วย

ฝึกฝนกลับไปกลับมาเช่นนี้สามวัน บวกกับลู่เซิ่งเดิมฝึกฝนวิชาแข็งกร้าวจำนวนมาก มีประสบการณ์ล้นเหลือ จึงมีพื้นฐานวิชากำลังภายในที่เต็มเปี่ยมถึงขีดสุด

เวลาสามวัน ในที่สุดเขาก็ได้สัญลักษณ์พิเศษในระดับเบื้องต้นของวิชาโอสถกลองพลบค่ำ

ผัวะ!

กระบองเขี้ยวหมาป่าสีดำหยาบใหญ่ท่อนหนึ่งถูกกระแทกลอยขึ้นอย่างรุนแรง

ลู่เซิ่งยืนอยู่กลางวงล้อมของกระบองเขี้ยวหมาป่า สองแขนกระแทกไปด้านหน้าดุจพายุ

ผัวะๆๆ!

พริบตานั้น กล้ามเนื้อทั่วร่างเขาระเบิด บวมพองขึ้น เกิดลวดลายเหมือนคลื่น กระจายออกมาจากผิวทั่วตัว

เขาพุ่งทะลวงเข้าไปในวงล้อมกระบองเขี้ยวหมาป่า กระแทกแต่ละฝ่ามือใส่กระบองเขี้ยวหมาป่าจนลอย กระบองเขี้ยวหมาป่าที่หนักมากกว่าร้อยชั่งพุ่งกลับมาตามน้ำหนักและแรงดีดสะท้อน ก่อนถูกเขากระแทกกระเด็นขึ้นอีกรอบ

หนามแหลมอันคมกริบปักบนผิวลู่เซิ่ง เพียงเกิดรอยยุบเล็กๆ หลายจุด

ตูม!

ทันใดนั้น ลู่เซิ่งหมุนสองแขนราวลูกข่าง

กระบองเขี้ยวหมาป่าทั้งหมดถูกกระแทกลอยออกไป

ตึงๆๆ!

โซ่ที่ยึดกระบองเขี้ยวหมาป่าถูกกระแทกจนขาด กระบองเขี้ยวหมาป่าทุกท่อนกระแทกใส่กำแพง เกิดเป็นรูใหญ่เล็กไม่เท่ากัน จากนั้นก็ตกลงบนพื้นอย่างหนักหน่วง

ฟู่ว…

ลู่เซิ่งชักสองมือกลับ ท่อนบนที่เปลือยอยู่เป็นสีแดงก่ำ แต่ไม่มีบาดแผลแม้แต่น้อย

‘ตัวใหญ่ขึ้นอีกแล้ว…’ เขาถอนใจ มองเส้นกล้ามเนื้อที่ยิ่งมายิ่งขยายของตนเอง

ก่อนหน้านี้ตอนเขายังไม่ฝึกวิชาแข็งกร้าว สูงแค่ราวหนึ่งหนี่งหมี่แปดสิบ ตอนนี้คาดว่าคงสองหมี่แล้ว หนำซ้ำไม่ใช่โครงกระดูกผอมสูงแบบนั้น หากเป็นกล้ามเนื้อแข็งแกร่งบนร่างที่ไม่มีส่วนใดไม่กำยำ

เขายืนอยู่ในห้องสงบใจ ไอความร้อนซัดสาด ทำให้คลื่นความร้อนกระจายไปทั่วห้อง

‘ฝึกวิชาแข็งกร้าวนี้มากไป ดูเหมือนผลข้างเคียงคือร่างกายขยายขึ้นเรื่อยๆ ’ ลู่เซิ่งหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้

กางเกงตัวเก่าก็ใส่ไม่ได้แล้ว จากกางเกงสั้นหลวมกว้างกลายเป็นกางแกงแนบตัว

ลู่เซิ่งถอนใจคำหนึ่งยื่นมือไปสั่นกระดิ่ง

ไม่ทันไรนอกห้องสงบใจก็แว่วเสียงคน

“ใต้เท้า?”

“ไปเอาชุดเสื้อผ้าที่ใหญ่ที่สุดมาให้ข้า” ลู่เซิ่งสั่ง

“ขอรับ”

คนด้านนอกรีบถอยไป

ลู่เซิ่งยืนในห้องสงบใจ รู้สึกเลือดลมทั่วร่างไหลลื่น เกิดความสบายที่ไม่เคยมีขึ้นมาก่อน รู้ว่าร่างกายฟื้นฟูขึ้นมากแล้ว วิชาหยินหยางกระเรียนหยกที่ใช้ไปตอนยกระดับวิชาด้ายทองเมื่อก่อนหน้าก็ฟื้นฟูโดยสมบูรณ์เช่นกัน

‘วันนี้จะเป็นวันที่วิชาโอสถกลองพลบค่ำสำเร็จ’ เขานั่งขัดสมาธิกับพื้น ปล่อยให้เหงื่อบนร่างไหลลงตามผิว

เมืองเลียบคีรี สวนล่องไพร

จางหยวนตงคิ้วเข้มตาโต ร่างสูงใหญ่ สองแขนยาวถึงเข่า ในวงการคนเรียกเขาว่าราชาวานรแขนยาว

พลังฝ่ามือคว่ำฟ้าของเขายอดเยี่ยมล้ำเลิศ บรรลุถึงระดับสุดยอดของขั้นผนึกจิต ต่อให้ต่อสู้กับเฉินอิงแห่งพรรควาฬแดงในช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ที่สุดก็สูสี บริวารยังมีสามมหาวัชระ แต่ละคนเป็นยอดฝีมือสำนึกปลอดโปร่งที่รับผิดชอบหน้าที่ด้านใดด้านหนึ่ง

แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ เขายังคงขมวดคิ้วกังวล นั่งในสวนดอกไม้ของชุมนุมใหญ่ อับจนหนทาง

‘ตระกูลเจิน…ละทิ้งแม้กระทั่งพรรควาฬแดงหรือ’ เขาในฐานะยอดฝีมือผนึกจิต ย่อมมีการติดต่อกับตระกูลเจิน เป็นขุมกำลังในสังกัดรองจากพรรควาฬแดง และได้ข่าวเบื้องลึกที่ผิดปกติของตระกูลเจินเพราะสาเหตุนี้

‘พรรควาฬแดงเป็นแขนขวาไหล่ซ้ายของตระกูลเจินในแดนเหนือ แม้แต่ขุมกำลังใหญ่ขนาดนี้ยังทอดทิ้ง พวกเขาคิดทำอะไรกันแน่’ จางหยวนตงสับสนไม่เข้าใจ

“พี่ตง” ด้านนอกสวนดอกไม้ บุรุษร่างเตี้ยกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ ราววัชระดำ สาวเท้าเข้ามา เขาแบกขวานเหล็กสีดำเล่มหนึ่งบนหลัง สภาวะไม่ธรรมดา

คนผู้นี้คือรองหัวหน้าชุมนุมล่องไพร หลีซัน สำเร็จวิชาแข็งกร้าวเก้าบรรพตมานาน ถึงขั้นบรรลุขอบเขตสำนึกปลอดโปร่ง วิชาแข็งกร้าวระดับพลังปลอดโปร่งของคนผู้นี้ถึงขั้นเหนือกว่าคนรุ่นก่อน เป็นอันดับสองในชุมนุมล่องไพร

“อาซัน เจ้ามาแล้ว” จางหยวนตงลุกขึ้น “เรื่องที่ข้าให้เจ้าตรวจสอบ สถานการณ์เป็นอย่างไร”

หลีซันสีหน้าเคร่งขรึม มองซ้ายมองขวา เอ่ยเสียงเบาว่า

“เจ้าสำนักแปรผันถูกเผาตายแล้ว”

“จริงหรือ!?” จางหยวนตงเสียงสั่น

“พันจริงหมื่นแท้!” หลีซันกล่าวอย่างแน่ใจ

จางหยวนตงถอนใจ ไพล่มือไปด้านหลัง เดินพล่านในสวนดอกไม้

“ในนี้…ต้องมีปัญหา! เจ้าสำนักแปรผันเป็นบุตรของประมุขพรรควาฬแดง พลังก็เป็นขอบเขตผนึกจิต แม้จะยังไม่ถึงจุดสูงสุด แต่วิชากระบี่โลหิตเริงโรจน์ก็ไม่อาจดูแคลน ต่อให้เป็นข้า ไม่ถึงหลายร้อยกระบวนท่ายากตัดสินแพ้ชนะ ยอดฝีมือเช่นนี้กลับถูกไฟเผาตายไปง่ายๆ หรือ พูดออกไปผู้ใดเชื่อ”

หลีซันพยักหน้าเช่นกัน “ไฟไหม้กะทันหัน ต่อให้เป็นยอดฝีมือระดับพลังปลอดโปร่ง ขอแค่วิชาตัวเบาไม่ใช่ชั่ว ก็พุ่งออกไปง่ายๆ อย่าว่าแต่ระดับสำนึกปลอดโปร่งกับผนึกจิตที่แข็งแกร่งกว่า” นอกเสียจากถูกขังไว้ในห้องลับไม่อาจหนีออกไป ถูกไฟคลอกตาย”

“นั่นเป็นไปไม่ได้!” จางหยวนตงส่ายหน้า “คนอื่นอาจไม่ทราบ แต่ข้าเคยสู้กับเจ้าสำนักแปรผัน เขาซ่อนมีดสั้นที่คมกริบเล่มหนึ่งไว้บนตัว เก็บไว้ในฝักกระบี่ ตัดทองหักเหล็กได้สบายๆ มีห้องลับอะไรต้านทานอาวุธคมศัสตราเทพเช่นนี้ได้”

……………………………………….