บทที่ 57 ความเอ็นดูรักของอี้เฉินเฟย

อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม

กู้เฉิงเซี่ยงโทสะพุ่งพรวด ถ้าไม่ใช่ว่าอี้เฉินเฟยกับเซียวหยู่เซวียนอยู่ที่นี่ เขาไม่มีทางปล่อยกู้ชูหน่วนไปอย่างง่ายดายแน่นอน

กู้ชูหน่วนมองตั๋วเงินสองกล่องใหญ่ข้างหน้า พูดอย่างกลัดกลุ้มเล็กน้อย “เงินมากนัก ข้าไม่มีที่จะเก็บแล้ว ไม่อย่างนั้น พวกเจ้าสองคนยกไปเก็บกันคนละกล่องเถอะ”

ฮูหยินใหญ่แทบจะล้มพับ

อนุภรรยาห้ากับกู้ชูหลันนางสารเลวสองคนนั่นถูกขับไปบ้านเดิม นางก็เบิกบานใจ

แต่ว่ามอบเงินห้าแสนตำลึงนี้ให้กู้ชูหน่วน นางปวดใจนัก

ที่ทำให้นางยากจะรับได้ยิ่งกว่าก็คือ เงินทั้งห้าแสนตำลึง นางบอกจะให้ใครก็ให้ เพียงแต่เซียวหยู่เซวียนกลับกระโดดขึ้นมาพูดว่า “ยัยขี้เหร่ เจ้าอย่ายัดมาให้ข้าอีกนะ ข้าก็ไม่มีที่จะวางแล้วเหมือนกัน”

อย่าว่าแต่ฮูหยินใหญ่ ทุกคนในจวนเฉิงเซี่ยงล้วนอยากเป็นลมตายไปนัก

ยังมีคนที่รังเกียจว่าเงินมากไปด้วย?

นี่จงใจทารุณพวกเขาหรือไร?

ถ้าไม่มีที่จะเก็บ เช่นนั้นก็อย่าเอาไปสิ คืนเงินห้าแสนตำลึงให้พวกเขา

ขณะที่ฮูหยินใหญ่คิดจะเอ่ยปาก กลับเห็นอี้เฉินเฟยหยิบแหวนวงหนึ่งจากในอกส่งให้กู้ชูหน่วน

กู้ชูหน่วนถอยหลังไปหลายก้าว “นี่เจ้า เจ้าคงไม่ได้ขอข้าแต่งงานหรอกนะ?”

“กล่าววาจาไร้สาระอะไร นี่คือแหวนมิติ แม้จะเล็กอยู่บ้าง มีพื้นที่เพียงสองร้อยตารางวา เจ้าเอาไปใช้ก่อน วันหน้าข้าจะให้ที่ใหญ่กว่านี้”

ทุกคนล้วนตกใจ

“แหวนมิติ? พื้นที่สองร้อยตารางวา?”

แหวนมิติเป็นของดี แม้จะมีพื้นที่แค่สิบตารางวา ก็เป็นราคาที่สูงมาก คนทั่วๆไปซื้อไม่ได้โดยสิ้นเชิง ต่อให้ซื้อได้ ก็มีค่าควรเมือง

อี้เฉินเฟยควักออกทีหนึ่ง ก็เป็นแหวนมิติสองร้อยตารางวาแล้ว

มือเติบเกินไปแล้วกระมัง

เซียวหยู่เซวียนเขยิบเข้าไปใกล้ ยิ้มประจบสอพลอ “คุณชายอี้ เจ้ายังมีแหวนมิติอีกไหม? ให้ข้าสักวงด้วยสิ ข้าไม่ต้องการใหญ่นัก แค่ห้าสิบตารางวาก็พอ”

“ไม่มีแล้ว”

“…..”

อี้เฉินเฟยจงใจทำให้เขาอยากได้แน่ๆ

คนผู้นี้ ไม่ได้ดีไปกว่าอาจารย์ซ่างกวนสักเท่าไหร่

ภายนอกยิ่งดูเป็นคนสุภาพอ่อนโยนเท่าไร ภายในยิ่งตีสองหน้ามากเท่านั้น

กู้ชูหน่วนกำลังเล่นแหวนมิติ แหวนนี้เป็นสีฟ้าอ่อนทั้งวง สวมใส่ที่นิ้วกลาง ไม่เล็กไม่ใหญ่ ใส่ได้พอดี ราวกับสั่งทำตามขนาดอย่างไรอย่างนั้น

“แหวนนี่ใช้อย่างไร?”

“เจ้าสวมไว้ที่นิ้ว ใช้ความคิดสั่งการก็ได้แล้ว”

กู้ชูหน่วนลองใช้ความคิดเก็บตั๋วเงินสองกล่องใหญ่ขึ้นมา คิดไม่ถึงว่าตั๋วเงินสองกล่องใหญ่นั่นจะหายวับไปจริงๆ

ภายใต้ความประหลาดใจ นางเรียกตั๋วเงินสองกล่องใหญ่ออกมาอีก หลังจากลองใช้ซ้ำไปมาหลายครั้ง นางก็กระตุกยิ้มอย่างพอใจ

“แหวนมิตินี้ไม่เลว ข้าชอบ ขอบใจเจ้า พี่เพิณเฟย”

หลังจากพูดว่าพี่เพิณเฟยออกไป กู้ชูหน่วนเองก็ตกตะลึงไป

“เจ้าชอบก็ดีแล้ว” อี้เฉินเฟยยิ้ม

กู้ชูหน่วนโบกแหวนมิติในมือ ยิ้มแล้วพูดกับกู้เฉิงเซี่ยง “ขอบคุณสำหรับเงินห้าแสนตำลึงของท่าน โอ้ไม่ เป็นเจ็ดแสนตำลึงสิ”

จากนั้นก็พาอี้เฉินเฟยกับเซียวหยู่เซวียนวางก้ามจากไป ทิ้งไว้เพียงหนึ่งประโยค “คืนนี้พวกเราไปหาที่ดีๆใช้เงินเสพสุข ดูซิว่าจะจ่ายเงินห้าแสนตำลึงนี้ออกไปได้หรือไม่”

พวกกู้เฉิงเซี่ยงโกรธจนแทบจะทุบตีของที่อยู่ตรงหน้า

ฮูหยินใหญ่สีหน้าเจ็บปวด “นายท่าน เงินห้าแสนตำลึงนั่นจะให้นางไปอย่างง่ายดายเช่นนี้หรือเจ้าคะ?”

กู้เฉิงเซี่ยงคำรามอย่างอารมณ์เสีย “มีราชวิทยาลัยเป็นพยาน เจ้ากล้าบิดพลิ้วหรือ?”

ฮูหยินใหญ่กุมอก เจ็บจนไม่อาจหายใจ

ห้าแสนตำลึง…ต้องเก็บนานเท่าไหร่…

ออกจากจวนกู้เฉิงเซี่ยงได้ไม่นาน พวกกู้ชูหน่วนก็ถูกคนชุดสองกลุ่มที่ไม่รู้จักล้อมเอาไว้

คนสองกลุ่มแทบจะพูดเป็นเสียงเดียวกัน “ขอเพียงเจ้าส่งกระดิ่งทลายวิญญาณออกมา ข้าก็จะไว้ชีวิตพวกเจ้า”

กู้ชูหน่วนแบมือออก “กระดิ่งทลายวิญญาณมีเพียงชิ้นเดียว แต่พวกเจ้ากลับมีสองกลุ่ม ไม่ว่าข้าจะส่งให้ใคร อีกกลุ่มก็ไม่มีทางปล่อยข้าไป จะจัดการอย่างไรดี?”

คนชุดดำสองกลุ่มได้ยินเช่นนี้ ก็พากันยกดาบสังหารอีกฝ่าย

กู้ชูหน่วนส่ายหน้า

“เฮ้อ สติปัญญานี้ ข้าเองก็ยอมแล้วจริงๆ ไปเถอะ พวกเราไปหอโคมเขียวอู๋โยวกัน”

เซียวหยู่เซวียนมองกู้ชูหน่วนกับอี้เฉินเฟยที่เดินเคียงบ่าเคียงไหล่กันด้านหน้า แล้วมองดูคนชุดดำสองกลุ่มที่ตีกันจนหัวร้างข้างแตกด้านหลังอีกที ก่อนตะลึงตาค้างไป

“อย่างนี้ก็ได้หรือ?” มิน่ายัยขี้เหร่ถึงพูดว่าพวกเขาสติปัญญาต่ำต้อย

“นี่ พวกเจ้ารอข้าด้วยสิ”

หอโคมเขียวอู๋โยว ซ่องที่ใหญ่ที่สุดของเมืองหลวง

ที่นี่ไม่เพียงแต่รวบรวมคนงามชั้นเลิศทั้งหมดในแว่นแคว้น ยังมีนายโลมหน้าตาหล่อเหลาความสามารถรอบด้านอีกด้วย

เพิ่งจะหัวค่ำ ที่นี่ก็มีเสียงดังคึกคักแล้ว มีทั้งเศรษฐีพ่อค้าหลั่งไหลกันมาไม่ขาดสาย ทางเข้าหอโคมเขียวอู๋โยวมีเด็กสาววัยแรกแย้มสวมเสื้อผ้ายั่วยวนยืนอยู่ไม่น้อย กำลังทักทายแขกที่มาอย่างเต็มกำลัง

เมื่อกลุ่มกู้ชูหน่วนสามคนมาเยือน ก็ทำให้ทุกคนตกตะลึงไปทันที

ไม่ใช่อะไร

แต่บุรุษทั้งสองที่อยู่ข้างกายนาง ผู้หนึ่งหน้าตาหล่อเหลาผู้หนึ่งสง่างาม กอปรกับนางที่แม้จะสวมผ้าคลุมหน้า แต่อากัปกิริยาที่แผ่ออกมาดูมีความสูงส่งแต่กำเนิด

พวกเขาสามคน ต่อให้มุดอยู่ในฝูงชน ก็เป็นจุดแสงสว่างสายหนึ่ง

ยิ่งไปกว่านั้นผ้าไหมที่พวกเขาสวมใส่ล้วนเป็นชั้นดีเลิศทั้งสิ้น คนของหอโคมเขียวอู๋โยวดวงตาคมกริบกันทั้งนั้น จะจำไม่ได้ได้อย่างไร

สตรีงดงามหลายคนชิงล้อมเข้ามาทันที ร่างอ่อนนุ่มไร้กระดูกเดี๋ยวซบเดี๋ยวพิงเซียวหยู่เซวียน

“เอ๋ นี่ไม่ใช่คุณชายเซียวหรอกหรือ? ท่านไม่มานานเท่าไหร่แล้ว ข้าคิดถึงแทบแย่”

“คุณชายเซียว ครั้งก่อนท่านยังบอกว่าจะพาข้าไปปล่อยโคมริมน้ำ เพียงหมุนตัว ท่านก็ไปโปรดปรานพี่สาวหมู่ตานเสียแล้ว ท่านคงไม่ได้ลืมข้าไปแล้วหรอกนะเจ้าคะ”

กู้ชูหน่วนสองมือกอดอก ยิ้มเย้ยหยัน “เสี่ยวเซวียนเซวียน ดูท่าเจ้าก็เป็นคนชอบเรื่องรักๆใคร่ๆเหมือนกันนี่”

เซียวหยู่เซวียนสีหน้าดำคล้ำ

มาเที่ยวเล่นสถานที่อย่างหอโคมเขียวนี้ พาสตรีผู้หนึ่งมาด้วย ดูอย่างไรก็ไม่เข้าท่า

อีกอย่างในเมืองหลวง ยังมีสตรีผู้ใดกล้ามาหาความบันเทิงในหอโคมเขียวอู๋โยวอย่างโจ่งแจ้งบ้าง

เซียวหยู่เซวียนดันหญิงสาวที่เข้ามาใกล้มาขาดสายเหล่านั้นออกไปอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย แล้วหยิบตั๋วเงินโยนให้พวกนาง ปากก็พูดอย่างหงุดหงิด “วันนี้ข้าไม่ได้มาหาสตรี แยกไปให้หมด”

“คุณชายเซียว ไม่ทราบว่าสองท่านนี้คือ…ดูแล้วแปลกหูแปลกตาอยู่บ้าง ไม่สู้ให้ข้าอยู่เป็นเพื่อนพวกเขา”

พูดแล้ว หญิงสาวอีกคนก็ประชิดเข้ามา

เซียวหยู่เซวียนขวางพวกนางไว้ แล้วพูดเสียงเย็นเยียบ “บอกแล้วว่าวันนี้ไม่ได้หาสตรี ออกไปให้หมด”

กู้ชูหน่วนดึงเซียวหยู่เซวียนออก แล้วดึงคนงามผู้นั้นมา ก่อนเชยคางนางขึ้นอย่างทะเล้น เป่าลมข้างหูนางอย่างคลุมเครือ แล้วพูดยิ้มแย้ม “คนงามจะเจ็บปวดเอาได้ ผู้ชายอย่างพวกเจ้ากระด้างหยาบคาย ไม่รู้จักรักหยกถนอมบุปผาแม้แต่น้อย ไป ไปดื่มสุราเป็นเพื่อนข้าสองสามจอก”

เซียวหยู่เซวียนกระทืบเท้าอยู่กับที่ แล้วพูดฟ้องอี้เฉินเฟย “เจ้าดู นางมีความสำรวมของสตรีสักเล็กน้อยบ้างไหม? เจ้าปล่อยให้นางวุ่นวาย มาหอโคมเขียวอู๋โยวสถานที่สกปรกเช่นนี้ได้อย่างไร?”

อี้เฉินเฟยยิ้มเจื่อน “ข้าแพ้ให้นาง เจ็ดวันนี้ได้แต่อยู่เป็นเพื่อนนางดื่มเที่ยวเล่นสนุกเท่านั้น แม้แต่อิสระสักเศษเสี้ยวก็ไม่มี นางจะมา ข้าจะทำอะไรได้?”

“เจ้าพูดเตือนไม่ได้หรือ?”

“คำเตือนจากผู้แพ้น่ะหรือ?”

ให้ตายเถอะ

อี้เฉินเฟยคงไม่ได้หวังให้ชื่อเสียงนางเสียหายจริงๆหรอกนะ?

เซียวหยู่เซวียนยิ่งคิดยิ่งดูเป็นไปได้

“ข้าขอสั่งเจ้า พานางออกมา คืนนี้นางจะไปที่ใดก็ได้ แต่ห้ามอยู่กับนายโลมหอโคมเขียวเพียงอย่างเดียวเท่านั้น”

หอโคมเขียวอู๋โยวเสียงดังเกินไป เซียวหยู่เซวียนฟังไม่ชัดว่าอี้เฉินเฟยพูดอะไรบ้าง

ท่ามกลางความไม่แน่ชัด คล้ายจะได้ยินถอนหายใจอย่างจนปัญญา พูดเสียงเบาหวิวหนึ่งประโยค “หลายปีมานี้นางเหนื่อยกับชีวิตเกินไปแล้ว ให้นางผ่อนคลายก็ดี”

อะ…อะไรนะ?”

หูของเขาเกิดอาการหลอนไปแล้วหรือ?

เมื่อครู่อี้เฉินเฟยกำลังพูดอยู่หรือ?