บทที่ 109 ทักษะการแกะสลักกลุ่มดาวกระบวยใหญ่สุดหรูหรา ประณีต เกินเทียบเทียม

ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD

“ระบบตรวจจับอาหารจานใหม่ที่นายท่านคิดค้นได้แล้ว ระบบกำลังเริ่มคำนวณเพื่อตั้งราคาขาย…” เสียงขรึมของระบบดังขึ้นในศีรษะของปู้ฟาง จากนั้นความเงียบก็เข้าปกคลุม

ปู้ฟางรออยู่สองสามลมหายใจ แต่ก็ยังงุนงงไม่หาย เนื่องจากระบบยังไม่ตอบกลับมา

แต่ในที่สุดเสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“ไส้กรอกเนื้อวัวมังกรพเนจรทำมาจากเนื้อส่วนขาของวัวมังกรพเนจร เป็นอาหารที่มีพลังปราณอยู่มากและอัดแน่นไปด้วยสมุนไพรพลังปราณจากธรรมชาติมากมาย สมุนไพรนี้ไม่เพียงทำให้รสชาติของไส้กรอกอร่อยขึ้นเท่านั้น แต่ยังมีสรรพคุณเป็นยาบำรุงร่างกายอีกด้วย ไส้กรอกใช้ลำไส้เล็กของวัวมังกรพเนจรห่อไส้เอาไว้ ซึ่งช่วยกักเก็บพลังปราณภายในเอาไว้ได้เป็นอย่างดี ระบบประเมินว่าราคาของอาหารจานนี้ควรขายที่ชิ้นละสองร้อยห้าสิบผลึก ผู้ที่กินได้ควรมีปราณอยู่ในระดับห้าขั้นราชันยุทธการขึ้นไปเท่านั้น”

ไส้กรอกชิ้นละสองร้อยห้าสิบผลึก… เมื่อปู้ฟางได้ยินสนนราคา เขาก็ถอดจิตไปทันที ดูเหมือนว่าจะพูดอะไรไม่ออกไปเรียบร้อยแล้ว

ไส้กรอกชิ้นเดียวมีราคาสูงถึงสองร้อยห้าสิบผลึก นี่เป็นอาหารจานที่แพงที่สุดในร้าน ณ ตอนนี้ แถมเขายังเป็นคนคิดค้นมันขึ้นมาเองอีก ความจริงทั้งหมดนี้ทำให้จู่ๆ ปู้ฟางก็อดรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาไม่ได้

หลังจากที่คิดอยู่สักพัก ชายหนุ่มก็มั่นใจว่าราคานี้สมเหตุสมผลแล้ว เนื่องจากอาหารจานนี้แตกต่างจากก๋วยเตี๋ยวหลอดสูตรปรับปรุง แม้จะใช้เนื้อของวัวมังกรพเนจรเหมือนกัน แต่ปู้ฟางใส่เนื้อวัวมังกรพเนจรลงไปในก๋วยเตี๋ยวหลอดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนไส้กรอกนี้ใช้เนื้อส่วนขาจำนวนมากของวัวในการทำ ปริมาณเนื้อวัวที่เขาใช้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงจนเทียบกันไม่ได้เลยทีเดียว

นอกจากนี้เนื้อวัวมังกรพเนจรยังไม่ใช่สิ่งเลอค่าเพียงอย่างเดียวในไส้กรอก แต่ยังมีสมุนไพรราคาแพงมากมายที่เขาใส่ลงไปอีกด้วย เมื่อพิจารณาความจริงทั้งหมดนี้แล้ว ราคาสองร้อยห้าสิบผลึกต่อชิ้นก็จัดว่าไม่ได้สูงถึงเพียงนั้น อันที่จริงแล้วอาจเรียกได้ว่าเป็นราคาที่ย่อมเยาเลยทีเดียว เนื่องจากไม่มีทางที่คนธรรมดาจะไปสรรหาเนื้อของอสูรเวทระดับเจ็ดมากินได้

มีไส้กรอกอยู่ทั้งหมดยี่สิบชิ้นด้วยกัน หากเขาขายหมด ปู้ฟางจะมีรายรับห้าพันผลึก การจะก้าวขึ้นมามีพลังปราณระดับห้าขั้นราชันยุทธการได้นั้น ชายหนุ่มต้องการผลึกหลังแปลงหน่วยแล้วหนึ่งหมื่นผลึก จากหน่วยในการแปลงผลึกเป็นพลังปราณที่เขาใช้อยู่ตอนนี้ หมายความว่าเขาต้องหารายรับให้ได้สองหมื่นผลึกด้วยกัน

หลังจากที่ขายไส้กรอกเหล่านี้หมด ปู้ฟางจะประหยัดเวลาในการบรรลุขั้นปราณไปถึงหนึ่งในสี่เลยทีเดียว จัดว่าเป็นเรื่องน่ายินดียิ่งสำหรับชายหนุ่ม

ที่สำคัญที่สุดคือ… ไส้กรอกยี่สิบชิ้นนี้เขาใช้ขาเพียงข้างเดียวของวัวมังกรพเนจรในการทำ วัวทั้งตัวนั้นมีเนื้ออยู่มากโข หากเขานำเนื้อทั้งหมดมาทำเป็นอาหารขาย ปู้ฟางน่าจะบรรลุระดับหกขั้นจักรพรรดิยุทธการได้เลยทีเดียว…

เขาอยากเอาไส้กรอกราคาแพงจับใจนี่มาประกอบอาหารเสียเดี๋ยวนี้เพื่อลองชิมรสชาติ แต่กระบวนการตากแห้งต้องใช้เวลากว่าจะสำเร็จผล

ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงทำได้เพียงเดินกลับห้องไปพลางยืดเส้นยืดสาย หลังจากอาบน้ำอาบท่าเสร็จ เขาก็คลานขึ้นเตียงแล้วหลับไปในที่สุด

สำหรับชายหนุ่มที่ตั้งใจจะก้าวขึ้นมาเป็นพ่อครัวเทพแล้ว การนอนเป็นสิ่งที่สำคัญเสียยิ่งกว่าอะไร

ณ จวนตระกูลหยาง

ขาทั้งสองข้างของหลัวซานเหนียนสั่นกึกๆ เล็กน้อยขณะเดินทางกลับมาถึงจวน ทันทีที่นางก้าวเข้าไปภายใน ร่างสง่าร่างหนึ่งก็รีบรุดมาประคองนาง

“พี่หญิงใหญ่หลัว ท่านไหวหรือไม่เจ้าคะ” เสียงอ่อนหวานดังออกจากปากของสตรีร่างสง่าผู้นั้น

“เจวี้ยนเอ๋อร์ รีบพาข้าไปหาท่านขุนศึกเร็วเข้า!” หลัวซานเหนียนพูดอย่างรีบร้อน มือจับหญิงสาวหน้าตาสวยงามอ่อนโยนในชุดกระโปรงยาวสีน้ำทะเลเอาไว้

ปฏิกิริยาของหลัวซานเหนียนทำให้สตรีนามว่าเจวี้ยนเอ๋อร์เกิดกลัวขึ้นมา นางถามด้วยน้ำเสียงขลาด “มีอะไรเกิดขึ้นกับเฉินน้อยรึเจ้าคะ”

“ข้าหาเขาจนเจอแล้วก็ช่วยออกมาได้ แต่ตอนที่ข้ากำลังพาเขากลับบ้าน… ก็มีคนมาชิงตัวเขาไปอีก” ดวงตาของหลัวซานเหนียนว่างเปล่าขึ้นมาในบัดดล

ปากเล็กจิ้มลิ้มของเจวี้ยนเอ๋อร์เผยอพร้อมส่งเสียงอุทานออกมาอย่างไม่อยากเชื่อหู “ใครในนครหลวงแห่งนี้ที่กล้ามาชิงตัวเฉินน้อยไป ทั้งๆ ที่พี่หญิงทำหน้าที่คุ้มกันอยู่”

หลัวซานเหนียนทำได้เพียงยิ้มขมขื่นแทนคำตอบ ความจริงที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่เรื่องที่นางจะอธิบายได้โดยง่าย จนถึงตอนนี้นางก็ยังไม่อยากเชื่อว่าชายที่ร่างทั้งร่างอาบไล้ไปด้วยรัศมีของพระพุทธองค์นั้นคือเจ้ามู่เฉิง เสนาบดีฝ่ายซ้ายผู้เป็นที่เลื่องลือในเรื่องความหงิม จนได้รับสมญานามว่าปราชญ์ผู้อ่อนแอ!

ความจริงแล้วทุกคนต่างตกเป็นเหยื่อการแสดงตบตาของเจ้ามู่เฉิงทั้งสิ้น ไอ้จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์คนนี้ไม่ได้เป็นนักปราชญ์ผู้ไร้พิษภัยแต่อย่างใด แต่กลับเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ชั้นยอดที่มีพลังปราณแก่กล้าเสียจนหลัวซานเหนียนต่อกรไม่ได้แม้แต่น้อยด้วยซ้ำ

จนถึงวันนี้ หลัวซานเหนียนเคยสัมผัสพลังที่แก่กล้าน่ากลัว จนทำให้นางรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังหมุน จากคนเพียงคนเดียวเท่านั้น

และคนผู้นั้นก็คือผู้เยี่ยมยุทธ์อันดับหนึ่งของจักรวรรดิวายุแผ่ว เซียวเหมิง ผู้มีพลังปราณระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการ

เจ้ามู่เฉิงเป็นขั้นนักพรตยุทธการรึ แม้แต่หลัวซานเหนียนก็ยังงุนงงจนทำอะไรไม่ถูก… ตัวนางเองยังไม่อยากเชื่อเรื่องนี้แม้แต่น้อย

ตลอดรัชสมัยการครองราชย์ของจักพรรดิฉางเฟิ่ง เจ้ามู่เฉิงผ่านการสอบรับราชการตั้งแต่จุดต่ำสุด เขาพัฒนาจากนักปราชญ์ผู้อ่อนเยาว์มาเป็นนักปราชญ์อับดับหนึ่งจากบททดสอบการรับราชการนี้ ความสำเร็จในหน้าที่การงานของเขาจัดว่าเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงหาตัวจับยาก เขาใช้เวลาเพียงสิบปีในการก้าวขึ้นมารับตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายซ้าย ทุกคนคิดว่าเจ้ามู่เฉิงเป็นเพียงนักปราชญ์คนหนึ่งเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้จึงไม่ค่อยมีใครระวังเขามากนัก แม้เขาจะเก่งกาจจนยากหาใครเทียบเทียมในด้านการวางกลยุทธ์ แต่จักรวรรดินี้ให้ความสำคัญกับความสามารถด้านการรบเหนือสิ่งอื่นใด ไม่มีใครคิดว่านักปราชญ์จะทำการใหญ่ได้หากไร้ซึ่งพละกำลัง

แม้รัตติกาลจะมาเยือนแล้ว แต่ทั้งนครหลวงก็ยังคงตกอยู่ในความสับสนอลหม่าน

สถานการณ์ในนครหลวงนั้นไม่แน่นอน อันตรายแอบซ่อนอยู่ทุกหนแห่ง

ณ จวนตระกูลหยาง หยางโม่ขุนศึกผู้สยบประจิมกลับมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง หลัวซานเหนียนเล่าทุกสิ่งที่นางเห็นและได้ยินให้ชายชราผมขาวผู้สง่างามฟัง

“ข้าเข้าใจแล้ว” หยางโม่พูดพร้อมส่งสัญญาณให้หลัวซานเหนียนและเจวี้ยนเอ๋อร์ออกไปได้

เขานั่งลงในห้องโถงใหญ่โดยไม่พูดอะไร ความจริงที่ว่าเจ้ามู่เฉิงเป็นคนลักพาตัวโอวหยางเสี่ยวอี้และหยางเฉินไปเพื่อให้ตระกูลทั้งสองหันมาสนับสนุนองค์ชายรัชทายาทนั้น เป็นการประกาศศึกกับอวี่อ๋องอย่างชัดเจน…

“หากเจ้ามู่เฉิงเป็นผู้ฝึกตนขั้นนักพรตยุทธการจริง เหตุใดจึงเก็บซ่อนความสามารถของตนเอาไว้นานหลายปีถึงเพียงนี้ ไอ้เจ้ามู่เฉิงนี่… มันเป็นใครกันแน่ มันกำลังวางแผนทำอะไรอยู่” หยางโม่พึมพำเสียงแผ่ว

เขาไม่ได้เป็นกังวลเรื่องความปลอดภัยของหยางเฉิน อีกทั้งสองสามวันต่อจากนี้ เจ้ามู่เฉิงจะให้ลูกน้องส่งตัวหยางเฉินคืนให้เขา ทว่าการรู้ความจริงข้อนี้ก็ไม่ได้ทำให้สิ่งต่างๆ เปลี่ยนไปแต่อย่างใด

เนื่องจากความจริงที่ว่าตระกูลหยางและตระกูลโอวหยางเลือกข้างองค์ชายรัชทายาทได้กลายมาเป็นเรื่องที่รับรู้โดยทั่วกันแล้ว และขุนนางมากมายก็ตัดสินใจตามพวกเขาด้วย จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมากลับลำตอนนี้ แปลว่าพวกเขาจะต้องเดิมพันข้างองค์ชายรัชทายาทต่อไปอย่างแน่นอน

“แต่… องค์ชายรัชทายาทนั้นเหมาะจะดำรงตำแหน่งจักรพรรดิจริงน่ะหรือ” หยางโม่ถอนหายใจยาว แม้องค์ชายรัชทายาทจะไม่ได้เบาปัญญาและไม่ใช่คนโหดเหี้ยม แต่เขาก็ธรรมดาจนเกินไป ความสามารถขององค์ชายรัชทายาทกับอวี่อ๋องนั้นต่างกันมากโขอยู่

หยางโม่ไม่เข้าใจแม้แต่น้อยว่าเหตุใดเจ้ามู่เฉิงจึงเลือกยืนข้างองค์ชายรัชทายาท

ณ จวนตระกูลโอวหยาง เสียงถอนหายใจแบบเดียวกันนี้ก็ดังขึ้นเช่นกัน

ด้วยสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนของนครหลวง หลายคนจึงกระสับกระส่ายจนนอนไม่หลับ แต่ปู้ฟางกลับนอนหลับสบายอย่างสุขอุรา

การบ้านการเมืองของราชวงศ์นั้นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาแม้แต่น้อย จุดประสงค์เดียวของเขาในตอนนี้คือการทำร้านอาหาร เมื่อค่ำคืนเดินหน้าผ่านไป ดวงอาทิตย์ก็กลับมาฉายแสงบนขอบฟ้าอีกครั้ง ปู้ฟางเองก็ตื่นตามเวลาเช่นกัน

ชายหนุ่มสวมชุดผ้าขนสัตว์ ก่อนเดินออกจากห้องนอนเข้าครัวไป ทุกวันในเวลานี้เขาจะฝึกทักษะการใช้มีด แม้ปู้ฟางจะมีระบบคอยช่วยเหลือ แต่ก็ยังต้องฝึกหนักเนื่องจากความสำเร็จนั้นไม่มีทางลัด

แต่วันนี้ปู้ฟางกลับไม่คิดฝึกทักษะการใช้มีดฝนดาวตก เนื่องจากเขาผ่านระดับแรกเรียบร้อยแล้ว แม้ระดับสองจะเปิดใช้งานแล้วก็ตาม แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้รีบร้อนแต่อย่างใด เขาอยากฝึกทักษะการแกะสลักกลุ่มดาวกระบวยใหญ่ที่ได้รับมาก่อน

ปู้ฟางพอจะมีประสบการณ์การแกะสลักอยู่บ้าง ตอนที่เขาทำเต้าหู้บุปผาพันชั้นเมื่อวันก่อน เขาใช้ทักษะการใช้มีดผสมกับทักษะการแกะสลัก แม้เขาจะไม่ได้ใช้ทักษะการแกะสลักมากนัก แต่ก็ยังทำให้เต้าหู้บุปผาพันชั้นออกมาสวยงามอลังการจนทุกคนล้วนพูดไม่ออก

ตอนนี้เขากำลังจะเริ่มการฝึกทักษะการแกะสลักของระบบแล้ว แม้ระดับความยากของมันจะมากกว่าการทำเต้าหู้บุปผาพันชั้น แต่ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ทักษะการใช้มีดขั้นสูงมาผสมโรงด้วยแต่อย่างใด

“ทักษะการแกะสลักกลุ่มดาวกระบวยใหญ่เป็นวิชาการแกะสลักพิเศษที่ต้องใช้พลังปราณเที่ยงแท้ตลอดเวลา นายท่านต้องทำสมาธิตั้งใจแกะสลักให้วิจิตรเที่ยงตรงที่สุด เพื่อส่งพลังปราณจากมีดทำครัวให้เข้าไปในพื้นผิวของอาหาร ซึ่งจะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่น่าตื่นตาตื่นใจเหมือนความฝัน ทักษะการแกะสลักกลุ่มดาวกระบวยใหญ่นั้นมีวงแหวนปราณพิเศษด้วยเช่นกัน หลังจากที่แกะสลักเสร็จ ความสวยงามของอาหารจานนั้นจะเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก”

ปู้ฟางอ่านคำอธิบายของทักษะการแกะสลักกลุ่มดาวกระบวยใหญ่ดู หลังจากที่อ่านอยู่สักพัก เขาก็รู้ว่าทักษะนี้ไม่ใช่การแกะสลักธรรมดา แต่เป็นการใช้พลังปราณเที่ยงแท้ในการทำงาน ตอนนั้นเองทักษะที่ว่านี้ก็กลายมาเป็นทักษะที่หรูหรา ประณีต เกินเทียบเทียมในสายตาของชายหนุ่มทันที

………………..