ที่แปลกเข้าไปใหญ่คือ วันนี้หญิงชราเอ่ยปากขึ้นมาว่าไม่ต้องคอยปรนนิบัติแล้ว ให้หลานสะใภ้ทั้งสองนั่งลงรับประทานอาหารด้วยกันเลย หลินหลันงุนงงแต่ก็พอคาดเดาได้ว่าติงหลั้วเหยียนคงกำลังเศร้าเสียใจด้วยเรื่องอะไรบางอย่าง
มื้ออาหารนี้จึงรับประทานกันไปภายใต้ความรู้สึกอึดอัด หลังรับประทานอาหารเป็นที่เรียบร้อย หมิงเจ๋อถูกพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายเรียกไปห้องหนังสือ ส่วนหญิงชราให้นางฮานและติงหลั้วเหยียนอยู่ต่อ หลินหลันและหมิงอวินจึงกลายเป็นคนที่ลอยตัวแยกออกไปได้อย่างสบายๆ
หลินหลันประหลาดใจอย่างยิ่งว่าหมิงเจ๋อไปก่อเรื่องแย่ๆ อะไรไว้แล้วหรือ
เมื่อกลับมาถึงห้อง หลี่หมิงอวินรีบจัดการภาระงานที่คั่งค้างไว้เมื่อช่วงกลางวันให้เสร็จสิ้น ระหว่างนั้นหลินหลันจึงเรียกอวิ๋นอิงเข้ามา
“อยู่ที่นี่คุ้นชินแล้วหรือไม่” หลินหลันเอ่ยถามนางด้วยท่าทีอ่อนโยน
อวิ๋นอิงฉีกยิ้มหวาน “เอ้อร์เส้าหน่ายนายและเอ้อร์เส้าเหยียเลี้ยงดูพวกเราข้ารับใช้อย่างดีมากเลยเจ้าค่ะ แม่โจวและพี่สาวทั้งหลายก็เป็นมิตรอย่างมากด้วยเช่นกัน ข้าน้อยและพี่เหวินลี่ได้มาปรนนิบัติรับใช้เอ้อร์เส้าเหยียและเอ้อร์เส้าหน่ายนายนับว่าเป็นความโชคดีของข้ารับใช้อย่างพวกเราเจ้าค่ะ”
หลินหลันเอียงอายโดยไม่รู้ตัว ช่างเป็นคำเยินยอที่ไม่เลวเลย! นางยอมรับว่านางเองก็เป็นจอมเสแสร้งที่ดีเยี่ยมคนหนึ่งและนางก็ชอบฟังคำเยินยอดีๆ ด้วยเช่นกัน
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แล้วเฉียวเจวียนที่เข้ามาพร้อมกับเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง เดิมทีข้าอยากรับพวกเจ้าทั้งสามคนเข้ามาทั้งหมด”
อวิ๋นอิงกล่าว “ต้าเส้าหน่ายนายค่อนข้างเป็นกันเองเช่นกันเจ้าค่ะ แต่อย่างไรก็ตามพี่ๆ จำนวนหนึ่งทางด้านนั้นชอบสั่งสอนผู้อื่น ดีที่เฉียวเจวียนปกติแล้วไม่ค่อยพูดมา ทำงานก็ขยันขันแข็งและว่องไวเจ้าค่ะ”
อาศัยว่าตนเองมีคุณสมบัติบางประการ เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้เป็นนายจึงชอบทำทีสั่งสอนผู้อื่นเพื่อเอาหน้าสักหน่อย นั่นเป็นอะไรที่หลินหลันไม่ชอบอย่างยิ่ง ต่างก็เป็นสาวใช้ด้วยกันทั้งนั้น หาได้มีใครสูงศักดิ์กว่าใครไม่
“เจ้าหาโอกาสไปเยี่ยมนางหน่อยเถอะ! วันนี้ทางด้านนั้นเหมือนจะไม่ค่อยสงบสุขเท่าใด! บอกให้นางทำอะไรก็ระมัดระวังเข้าไว้ อย่าให้ใครมาตำหนิสั่งสอนได้อีก” หลินหลันเอ่ยอย่างมีนัยยะ
อวิ๋นอิงกระพริบตาปริบๆ และยิ้มออกมาอย่างดีใจ นางตอบรับแล้วจึงออกไป
อวี้หลงที่กำลังพัดโบกไฟบริเวณเต่าผิงกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม “เอ้อร์เส้าหน่ายนายอยากให้อวิ๋นอิงไปสืบถามแล้วเหตุใดถึงไม่พูดไปตามตรงล่ะเจ้าคะ อวิ๋นอิงยังเด็ก เกรงก็แต่ว่าจะไม่เข้าใจความหมายของเอ้อร์เส้าหน่ายนายสิเจ้าคะ”
หลินหลันเผยรอยยิ้มมุมปากแล้วกล่าวอย่างสบายๆ “ถือว่าเป็นบททดสอบหนึ่งแล้วกัน!”
หยินหลิ่วถือน้ำแกงไข่ไก่ตุ๋นซึ่งมีส่วนผสมหลักคือวอลนัทและเหล้าจีนมาให้สองชาม “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ นี่คือน้ำแกงที่กุ้ยซ่าวตั้งใจทำให้เพื่อบำรุงร่างกายและระบบสมองเจ้าค่ะ”
หลินหลันสูดดมกลิ่นหอมหวนของมัน ทันใดนั้นท้องไส้ก็เริ่มส่งเสียงดังโครกคราก นี่มันอาหารชั้นเยี่ยมชัดๆ ทั้งยังช่วยเพิ่มขนาดหน้าอกอีกด้วย!
“เจ้าถือไปให้เอ้อร์เส้าเหยียทีสิ” หลินหลันหยิบของตนเองมาไว้หนึ่งชาม
ระหว่างรับประทานอยู่นั้น ป๋ายฮุ่ยก็ถือปลอกหมอนเข้ามา “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าค่ะ หมอนหนุนทำเสร็จเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ ส่วนนี่คือปลอกหมอนโดยเลือกตามขนาดที่ท่านกล่าวไว้ ท่านลองดูหน่อยนะเจ้าค่ะว่าต้องการลวดลายใด”
หลินหลันเห็นลายปักดอกเหมยขาว ซึ่งพอเหมาะพอเจาะกับบรรยากาศตอนนี้ที่เป็นฤดูหนาว นางจึงกล่าวขึ้น “อันนี้แล้วกัน! หลังจากเจ้าสวมปลอกหมอนเรียบร้อยแล้วก็นำไปมอบให้ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ทีนะ นางจะได้เอาไว้ใช้คืนนี้เลย”
ป๋ายฮุ่ยขานรับแล้วถือปลอกหมอนออกไป
หรูอี้เข้ามาเป็นคนถัดไป “ครั้งก่อนที่ฮูหยินรับปากว่าค่าใช้จ่ายในช่วงที่เอ้อร์เส้าเหยียเตรียมสอบทั้งหมดให้ไปคิดบัญชีกับฝ่ายการเงินของจวน ทว่านี่ก็ผ่านไปหลายเดือนแล้วแต่ทางห้องบัญชียังคงพลัดวันประกันพรุ่งอยู่ได้เจ้าค่ะ โดยบอกว่าจำนวนเงินตามรายการของเรามิใช่น้อยๆ และในหลายเดือนมานี้ทางจวนไม่มีรายรับอะไรเลย จึงยังจ่ายให้ไม่ได้เจ้าค่ะ เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ ท่านว่านี่มันหมายความว่าไงเจ้าคะ พวกเขาคงไม่ได้คิดจะเบี้ยวเราหรอกใช่ไหมเจ้าคะ”
หลินหลันแสยะยิ้มออกมาเมื่อได้ยินดังกล่าว “ปีนี้ท้องทุ่งแถบชานเมืองทั้งสองแห่งทำรายได้อย่างอู้ฟู่ และรายรับนี้เข้ามาในบัญชีตั้งนานแล้วด้วย ยังจะเอ่ยว่าไม่มีรายรับ นี่มันเป็นแค่ข้ออ้างเห็นๆ”
อวี้หลงกล่าว “เดาว่าพวกเขาคงเห็นจำนวนเงินที่ไม่ใช่น้อยๆ เลยเกิดเสียดายเงินขึ้นมากระมัง” แม่โจวก็ช่างเข้าใจทำเสียเหลือเกิน ซื้อโสมมาอย่างกับซื้อหัวไชเทา ซื้อรังนกมาอย่างกับเส้นหมี่ จนถึงตอนนี้ยังกินไม่หมดเลยด้วยซ้ำ
“ตอนแรกฮูหยินเป็นคนพูดเองมิใช่หรือว่า ไม่ว่าค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนเงินเท่าใดก็ให้ทางกองกลางเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด คิดจะเบี้ยวเช่นนั้นหรือ อย่าแม้แต่หวัง” หลินหลันกรอกดวงตาไปมาราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง “หรูอี้ ฉิ่งอานวันพรุ่งนี้นำบัญชีทั้งหมดติดไปด้วย”
อวิ๋นอิงกลับเข้ามาระหว่างกำลังสนทนากันอยู่ ใบหน้าเรียวเล็กของของนางเต็มไปด้วยอาการตื่นเต้น นางคาราวะหลินหลัน หลังจากนั้นหลินหลันจึงให้คนอื่นๆ ออกไปก่อนเพื่อให้นางได้เอ่ยปากพูดอย่างเต็มที่
“เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ ข้าน้อยได้เจอพี่เฉียวเจวียนแล้วเจ้าค่ะ นางบอกว่า ต้าเส้าหน่ายนายและต้าเส้าเหยียทะเลาะกันด้วยเรื่องสาวใช้ในอดีตคนหนึ่งเจ้าค่ะ…” อวิ๋นอิงชะงักไปชั่วขณะแล้วจึงกล่าวต่อ “ทางด้านนั้นสั่งให้ปิดปากกันเงียบกริบ มิว่าผู้ใดก็ห้ามแพร่งพรายออกไป ดังนั้นข้าน้อยจึงระมัดระวังอย่างมาก ไม่กล้าให้ผู้ใดเห็นเข้าเจ้าค่ะ”
หลินหลันพยักหน้าอย่างชื่นชมก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “รู้หรือไม่ว่าสาวใช้ในอดีตนั่นเป็นผู้ใด”
อวิ๋นอิงกล่าว “ดูหมือนจะมีนามว่าปี้หรูอะไรนี่ล่ะเจ้าค่ะ เฉียวเจวียนเอ่ยว่าต้าเส้าหน่ายนายร้องไห้ด้วยความเศร้าเสียใจอย่างยิ่ง และพูดออกมาว่า หากจะพานางเข้ามาในบ้านได้ก็ต่อเมื่อข้าตายไปแล้วเท่านั้น…”
หลินหลันถึงกับตกตะลึง ครั้งก่อนเหมือนได้ยินหรูอี้เอ่ยถึงคนผู้นี้เช่นกัน เห็นทีว่าหมิงเจ๋อคงก่อเรื่องรักซ้อนซ่อนเร้นเอาไว้แล้วสินะ มิน่าล่ะวันนี้ติงหลั้วเหยียนถึงเอาแต่ก้มหน้าก้มตาตลอดเวลา และหญิงชราก็ไม่ได้ให้นางคอยปรนนิบัติเช่นกัน
“อวิ๋นอิง เจ้ารู้หรือไม่ว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญมากที่สุดสำหรับการเป็นสาวใช้” หลินหลันเอ่ยถามภายใต้ใบหน้าที่เผยให้เห็นรอยยิ้มจางๆ
อวิ๋นอิงมีสีหน้าจริงจังขึ้นมาทันใด “ข้าน้อยรู้ดีเจ้าค่ะ การเป็นสาวใช้สิ่งที่สำคัญมากที่สุดคือการซื่อสัตย์ต่อผู้เป็นนายเจ้าค่ะ”
หลินหลันพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “เจ้าเป็นคนที่ฉลาดผู้หนึ่ง ตั้งใจทำงานเถอะ! ช่วยไปเรียกหรูอี้มาทีสิ”
ไม่นานนัก หรูอี้ก็เข้ามา
“หรูอี้ ข้าจำได้ว่าเจ้าเคยเอ่ยถึงสาวใช้คนหนึ่งที่เคยถูกขายออกไป มีนามว่าอันใดหรือ”
“เสี่ยวอวี่น่ะหรือเจ้าคะ”
“มิใช่ เป็นคนที่เจ้ามาบอกข้าหลังจากนั้น…”
“ปี้หรู?”
“ใช่ ปี้หรูนี่แหละ เจ้ารู้ไหมว่าเหตุใดนางถึงถูกขายออกไป”
“เรื่องนี้ข้าน้อยก็ไม่ค่อยทราบแน่ชัดหรอกเจ้าค่ะ ปี้หรูเป็นสาวใช้ที่ต้าเส้าเหยียพึงพอใจให้คอยติดตาม และทุกคนต่างพากันซุบซิบว่าอีกไม่ช้าก็เร็วปี้หรูคงได้ถูกแต่งตั้งเป็นอนุภรรยาเจ้าค่ะ”
ถึงตอนนี้หลินหลันจึงพอเข้าใจได้ว่า หลังจากปี้หรูถูกขายออกไป หมิงเจ๋อคงตัดใจไม่ได้เลยแอบไปตามหานางและเลี้ยงดูนางเป็นบ้านน้อยไว้ข้างนอก และตอนนี้ก็เอ่ยปากต้องการรับนางบำเรอเข้ามาสักห้อง เดาว่าปี้หรูคงตั้งครรภ์ และอาศัยสิ่งที่มีชีวิตในท้องมาสร้างแรงกดดันให้หมิงเจ๋อนั่นเอง
หลินหลันรู้สึกโกรธเคืองแทนติงหลั้วเหยียน แต่งงานได้ไม่ถึงปี หมิงเจ๋อก็ออกลายเช่นนี้ นี่มันทำร้ายจิตใจกันเกินไปแล้ว มีสิทธิ์อะไรที่ผู้หญิงต้องคอยดูแลตัวเองอย่างดีราวกับหยกบริสุทธิ์เพื่อผู้ชายอยู่ฝ่ายเดียว ขณะที่ผู้ชายกลับมีสิทธิ์ครอบครองภรรยาสามนางบำเรอสี่อะไรประเภทนั้น ตระกูลหลี่ต้องการปกปิดมัน ขณะที่ติงหลั้วเหยียนก็กลัวว่าจะเสียชื่อเสียง บวกกับหญิงชราและแม่มดชราที่คอยโน้มน้าวใจอยู่เรื่อยๆ อย่างมากสุดจึงทำได้เพียงกัดฟันอดทนขมขื่น น้ำตาตกในต่อไป ฮึ! อะไรที่ว่าเรื่องเน่าเฟะจะให้แพร่งพรายออกไปมิได้ แต่สุดท้ายก็คงปิดบังไว้ไม่ได้อยู่ดี หากไม่ทำให้พวกนางขายหน้าเสียบ้าง พวกนางมีหวังได้กล่าวว่าสามารถปกปิดเรื่องราวได้ตลอดอย่างง่ายดาย
ในที่สุดหลี่หมิงอวินก็วางปากกาลง เขามองไปยังคำคมจากตัวอักษรนับพันที่รังสรรค์ขึ้นมาพลางถอนหายใจเฮือกยาว เพื่องานชิ้นนี้เขาต้องยุ่งหัวหมุนมาหลายวันทีเดียว
หลินหลันเคลื่อนย้ายตะเกียงเข้ามา “เขียนเสร็จหมดแล้วหรือ”
หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เสร็จเรียบร้อย ครบถ้วนสมบูรณ์แบบ”
หลินหลันช่วยเขาเก็บปากกาและหมึก ขณะเดียวกันก็นำเรื่องราวของหมิงเจ๋อเล่าให้หลี่หมิงอวินได้รับฟัง ทันใดนั้นสีหน้าของหลี่หมิงอวินดูเคร่งขรึมขึ้นมาเล็กน้อย นัยน์ตาคู่ล้ำลึกสงบนิ่ง คิ้วเข้มทั้งสองขมวดเข้าหากันโดยยังคงปราศจากคำพูดใดๆ
“คิดๆ ดูแล้วรู้สึกเจ็บใจแทนพี่สะใภ้ชะมัด นี่เพิ่งแต่งงานได้ไม่ทันใดเอง…” หลินหลันกล่าวอย่างสะเทือนใจ
น้ำเสียงของหลี่หมิงอวินปะปนไว้ด้วยความผิดหวังเล็กน้อย “พี่ใหญ่ก็ช่างไม่รู้จักทะนุถนอมสิ่งที่มีคุณค่าบ้างเลย”
“ก็นั่นน่ะสิ น่ารังเกียจเกินไปแล้ว พี่สะใภ้นิสัยใจคอดีงามขนาดนี้ หากเป็นข้า คงได้โวยวายให้ถลมทะลายกันไปข้าง” หลินหลันเม้มริมฝีปากเข้าหากัน ก่อนจะเอ่ยออกไปด้วยสีหน้าบึ้งตึง
หลี่หมิงอวินหัวเราะออกมาเบาๆ “เจ้าไม่กลัวผู้อื่นจะพากันพูดว่าเจ้าเป็นจอมขี้หึงหรอกหรือ”
หลินหลันกล่าวอย่างไม่แยแส “เป็นผู้หญิงขี้หึงแล้วยังไงหรือ บุรุษอย่างพวกเจ้าก็เห็นแก่ตัว ทำอะไรตามอำเภอใจ ทีกับสตรีอย่างพวกเราดันต้องคอยยึดหลักสามคล้อยตาม สี่คุณธรรม [1] อะไรนั่น…”
เมื่อได้ฟังนางโอดครวญ หลี่หมิงอวินก็อดกล่าวปลอบใจมิได้ “นั่นคือบุรุษอื่น บุรุษของเจ้ามิใช่เช่นนั้นหรอกนะ”
หลินหลันหรี่ตามองไปที่เขาภายใต้สีหน้าซึ่งเต็มไปด้วยความสงสัย
หลี่หมิงอวินขมวดคิ้วและกล่าวด้วยท่าทางจริงจัง “ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน หากภรรยาข้ามิเชื่อ เช่นนั้นก็คงต้องรอดูเองแล้วล่ะ”
หลินหลันย่นจมูกแล้วกล่าวออกไป “เจ้านี่พูดเก่งกว่าร้องเพลงเสียอีก”
หลี่หมิงอวินมองไปที่นางด้วยรอยยิ้มเริงร่า นัยน์ตาคู่ลึกล้ำฉายแววแห่งความอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย “แล้วทำไม่เก่งหรอกหรือ” เขากล่าวด้วยเสียงสุขุมอันทรงเสน่ห์
หลินหลันถลึงตาใส่เขากลบเกลื่อนความเขินอาย “ไม่สนใจเจ้าแล้ว” นางวางปากกาพู่กันลงแล้วหันหลังให้เพื่อเดินไปยังห้องน้ำ
รอยยิ้มของหลี่หมิงอวินที่ปรากฏบนริมฝีปากก่อนหน้าค่อยๆ เลื่อนหายไป นัยน์ตากลับฉายความเศร้าหมองและความกสับสนอย่างเห็นได้ชัด
แม้ว่าระหว่างพวกเขาจะไม่มีอะไรต่อกันแล้ว แต่เมื่อได้ยินว่านางตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ภายในใจก็อดรู้สึกหดหู่ไม่ได้
วันรุ่งขึ้น ติงหลั้วเหยียนไม่ได้มาร่วมฉิ่งอานตามธรรมเนียมปฏิบัติ โดยให้เหตุผลว่าไม่สบาย แม่มดชราเมื่อได้ฟังจึงได้แต่เอ่ยว่า เช่นนั้นก็ให้นางพักผ่อนให้เต็มที่สักสามสี่วัน
หลินหลันเสนอตัวหวังเข้าไปช่วยดูแล “หรือไม่ให้ลูกไปตรวจดูอาการสักหน่อยดีไหมเจ้าคะ”
แม่มดชราเผยรอยยิ้มจางๆ “แค่อาการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ พักสักหน่อยก็หายดีแล้วล่ะ”
หลินหลันฉีกยิ้มอ่อนหวานโดยไม่เซ้าซี้ใดๆ ต่อ
หญิงชรากล่าว “ตอนที่คนเราร่างกายไม่สบาย สภาพจิตใจก็จะแย่ตามไปด้วย เจ้าเป็นถึงแม่ยายก็ควรไปเยี่ยมเยียนนางสักหน่อยเช่นกัน”
นางฮานตอบรับอย่างนอบน้อมทันที
หลินหลันกล่าวขึ้นมาบ้าง “เช่นนั้นหลานไปอยู่เป็นเพื่อนพี่สะใภ้ใหญ่แล้วกันนะเจ้าคะ!”
นางฮานกำลังจะเอ่ยปาก ทว่าหญิงชรากลับกล่าวขึ้นมาเสียก่อน “ไว้รอนางร่างกายแข็งแรงขึ้นอีกหน่อยเจ้าค่อยไปแล้วกัน! เดี๋ยวจะป่วยตามกันไปเสียอีก”
สงสัยว่าในใจพวกเจ้าคงจะคำนึกถึงแต่เลือดเนื้อเชื้อไขตระกูลหลี่ที่อยู่ในท้องปี้หรูอย่างเดียวสินะ เห็นลูกสะใภ้เป็นอะไรไป พอไม่ดีเข้าหน่อยก็สลับสับเปลี่ยนงั้นหรือ หลินหลันนึกตำหนิอยู่ภายในใจ
หลินหลันฉีกยิ้มอ่อนโยน “ที่ท่านย่าพูดก็ถูกเจ้าค่ะ” หลังจากนั้นนางจึงหันไปพูดกับแม่มดชราโดยเผยสีหน้ากล้าๆ กลัวๆ และเอ่ยถามอย่างเกรงใจ “ท่านแม่เจ้าคะ ครั้งก่อนที่ท่านเอ่ยว่า ค่าใช้จ่ายในส่วนของใช้และอาหารที่เตรียมให้หมิงอวินในช่วงเตรียมสอบทั้งหมดกองกลางจะเป็นผู้ชำระให้…ลูกเลยอยากเรียนถามดูเจ้าค่ะ ว่ายังยึดตามคำพูดนั้นหรือไม่เจ้าคะ”
นางฮานเหลือบสายตาไปมองหญิงชรา ก่อนจะชักสีหน้าเคร่งขรึมและกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พึงพอใจ “เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร ในเมื่อเป็นเรื่องที่รับปากไว้ แล้วจะมีเหตุผลอันใดให้กลับคำ”
“แน่นอนว่าลูกเองก็เชื่อมั่นว่าท่านแม่จะต้องทำตามคำพูดที่ให้ว่า ดังนั้น เลยให้สาวใช้นำรายการบัญชีไปที่ห้องบัญชีของจวน ทว่ากลับถูกพลัดวันประกันพรุ่งไม่รู้กี่ครั้งแล้วเจ้าค่ะ ไม่เอ่ยว่าตอนนี้ทางบัญชีไม่มีเงิน ก็เอ่ยว่าเงินเพิ่งถูกส่งไปใช้ในจุดอื่นแล้วเจ้าค่ะ”
นางฮานแสร้งทำทีประหลาดใจ “มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ ข้าไม่ยักจะรู้เลย”
หลินหลันจึงแสร้งทำเป็นประหลาดใจด้วยเช่นกัน “เหตุใดท่านแม่ถึงไม่รู้ล่ะเจ้าคะ ทางห้องบัญชีนั่นยังบอกอีกว่าไม่เชื่อไปถามท่านแม่เลยก็ได้ และนี่ก็ผ่านไปตั้งหลายเดือนแล้วด้วย…”
สีหน้าของหญิงชราดูเคร่งขรึมขึ้นมาไม่ต่างกัน “ผู้ดูแลของตระกูลเจ้าก็ช่างหละหลวมเกินไปแล้ว ข้ารับใช้พวกนี้ไม่รู้จักกฎระเบียบกันแล้วสินะ ถึงได้กล้าทำเรื่องอย่างมีลับลมคมในเช่นนี้ กระทั่งค่าใช้จ่ายของนายน้อยของตระกูลหลี่ก็ยังไม่กล้านำมาชำระให้ รีบจ่ายคืนออกไปให้เรียบร้อยเสีย!” นางกล่าวขึ้นด้วยความไม่พอใจ
ประโยคดังกล่าวของหญิงชราถือว่าไว้หน้านางฮานมากพอตัว นางฮานผู้นี้ ทำอะไรไม่ได้เรื่องทั้งนั้น ยกเว้นก็แต่เรื่องเงินเรื่องสมบัติ ดังนั้นทางห้องบัญชีของจวนจึงเป็นนางที่คอยควบคุมดูแลทั้งหมดอย่างแน่นอน หากไม่ได้รับคำอนุญาตจากนางฮาน มีหรือพวกเขาจะกล้าทำเช่นนั้น
นางฮานกล่าวด้วยสีหน้าตื่นกลัว “ไว้ลูกจะกลับไปสอบถามดูเจ้าค่ะ แต่คิดว่าพวกเขาไม่น่ากล้าทำเช่นนี้ บางทีอาจมีปัญหาอื่นอะไรเจ้าค่ะ”
“พวกเขาเอ่ยว่า ปีนี้รายรับไม่สู้ดีนัก ทางห้องบัญชีจึงไม่มีรายรับเพียงพอ ทว่าลูกได้ยินหมิงอวินเอ่ยว่า ปีนี้การเก็บเกี่ยวประจำปีของพวกเราทางนี้ดีทีเดียว ไม่มีพื้นที่ท้องทุ่งใดที่ไม่ได้เก็บเกี่ยวผลผลิตประจำปี และด้วยความที่พื้นที่ทางทิศใต้และทิศตะวันตกถูกน้ำท่วมและอีกพื้นที่หนึ่งเกิดความแห้งแล้ง หลายๆ แห่งจึงพากันมาซื้ออาหารและธัญพืชจากทางด้านเราทั้งนั้น ท้องทุ่งแต่ละแห่งในเมืองหลวงต่างก็มีรายได้ก้อนใหญ่กันเลยทีเดียว ท่านแม่เจ้าคะ เรื่องนี้ท่านคงมิใช่ว่าไม่ทราบกระมัง! หากมิทราบ เช่นนั้นคงต้องรีบแล้วนะเจ้าคะ ให้หมิงอวินไปลองถามไถ่ดูก็ได้นะเจ้าคะ” หลินหลันกล่าวอย่างใส่ใจ
สีหน้าของหญิงชราดูย่ำแย่ยิ่งขึ้นเพราะความรู้สึกอึดอัดคับข้องใจ ขณะเดียวกันนางก็อดกรนด่าอยู่ในใจมิได้ จะหาข้ออ้างทั้งทีก็ไม่รู้จักหาให้ดีหน่อย ทำเสมือนคนอื่นเขาเป็นคนหูหนวกตาบอดไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรทั้งนั้น? เห็นทีว่าที่จิ้งเสียนเอ่ยไว้ส่วนมากคงเป็นความจริงสินะ
นางฮานยิ้มเจื่อน “ไว้ไปถามไถ่ดูก่อนว่าเกิดจากเหตุอันใดแล้วค่อยว่ากันอีกทีเถอะ!”
——
[1] หลักสามคล้อยตาม สี่คุณธรรม (三从四德) คือผู้หญิงหากยังไม่ออกเรือนต้องเชื่อฟังบิดา เมื่อแต่งงานมาต้องเชื่อฟังสามี และเมื่อสามีถึงแก่กรรมต้องเชื่อฟังบุตรชา