ตอนที่ 71 วันธรรมดาของฟู่เสี่ยวกวน

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 71 วันธรรมดาของฟู่เสี่ยวกวน

เมื่อดวงอาทิตย์คล้อยต่ำ พลังความร้อนแรงของอากาศที่ร้อนจัดก็เริ่มลดลง ท้องฟ้าถูกแทนที่ด้วยสีส้มอ่อน ๆ แต่งแต้มไปด้วยเหล่าวิหคที่โผบินไปมาทั่วท้องฟ้า

กลุ่มคนทั้งหกเดินออกจากเรือนซีซาน และกำลังมุ่งหน้าไปยังทุ่งนาในชนบท

หยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานรู้สึกว่าทั้งหมดนั้นช่างสดชื่น รวงข้าวสีทองที่ยังมิได้เก็บเกี่ยวพลิ้วไหวไปตามสายลม กลิ่นหอมของข้าวลอยมาตามทาง ช่างเป็นกลิ่นที่ดียิ่งนัก นี่คือสิ่งที่พวกนางมิเคยได้สัมผัสมาก่อน จึงรู้สึกว่าการเดินทางครานี้คุ้มค่ายิ่งนัก

ในทุ่งนามีชาวนาหลายคนกำลังลงแรงกันอยู่ แม้แต่เด็กเล็กมากมายก็อยู่ในทุ่งนาเช่นกัน

เหล่าชาวนาผู้ใหญ่กำลังยุ่งอยู่กับการเก็บเกี่ยว เหล่าเด็กน้อยก็กำลังยุ่งอยู่กับการจับปลาในทุ่งนา ในยามนี้ปลานั้นอวบอ้วนยิ่ง รสชาติคงสดและนุ่มยิ่งนัก

“คุณชายมาแล้ว ! ”

“คุณชายมาเยี่ยมพวกเราแล้ว ! ”

“คุณชายขอรับ คุณชาย ! ”

ชาวชาวนาต่างยืดตัวขึ้น โบกมือเป็นการทักทายกับฟู่เสี่ยวกวน เด็กน้อยเหล่านั้นก็ตะโกนเรียกอย่างบ้าคลั่ง หลังจากนั้นก็จับปลามาคนละตัวและอุ้มขึ้นมาบนคันนา และรีบปรี่มาทางฟู่เสี่ยวกวน

ยอดฝีมือสาวที่ยืนอยู่ด้านหลังหยูเวิ่นหวินทันใดนั้นก็มายืนอยู่ด้านหน้าของหยูเวิ่นหวิน ขณะที่มือนั้นถึงขั้นจับด้ามกระบี่เอาไว้แล้ว หยูเวิ่นหวินรีบขัดขวางและเอ่ยเรียบ ๆ ขึ้นมา “มิเป็นไร”

ยอดฝีมือสาวเหลือบมองซูม่อที่อยู่รั้งท้าย ซูม่อนิ่งสงบอย่างถึงที่สุด

“องค์หญิง…”

“ข้ากล่าวหลายคราแล้ว ว่าอย่าเรียกข้าเยี่ยงนั้น”

“หากมีมือสังหาร…”

“เจ้ามองพวกเขา พวกเขาเหมือนมือสังหารรึ ? ข้าขอสั่งให้เจ้ายืนอยู่ด้านหลัง และห้ามกระทำอันใดทั้งนั้น ถ้าหากว่าข้ามิได้สั่ง ! ”

เด็กน้อยที่วิ่งนำหน้าสุดมาถึงเบื้องหน้าของฟู่เสี่ยวกวน เขาใช้ฟางห่อปลาสองตัวที่หนักประมาณครึ่งชั่งเอาไว้ “คุณชาย ข้ามอบให้ขอรับ ซุปปลานั้นอร่อยยิ่ง ท่านต้องดื่มเยอะ ๆ นะขอรับ”

จากนั้นก็ได้มีเด็กอีกคนหนึ่งวิ่งมา “คุณชายขอรับ คุณชาย ข้าขอมอบปลานี้ให้แก่ท่าน ! ” เด็กน้อยนำปลาที่หนักสองถึงสามชั่งที่เปรียบเสมือนสมบัติล้ำค่ามอบให้แก่ฟู่เสี่ยวกวน

“ดี ดี ข้ารับไว้ทั้งหมด ขอบใจพวกเจ้า”

“คุณชายขอรับ พวกข้าก็ขอบคุณท่าน ! ”

เด็กหลายคนกำลังวิ่งตรงมา กลัวว่าหากช้าไปคุณชายจะเดินจากไปและมิได้ทานปลาที่ตนเองจับมา

โดยเร็ว ซูม่อและชุนซิ่วก็มองไปทางฟู่เสี่ยวกวนด้วยความขุ่นเคือง สองมือของพวกเขานั้นเต็มไปด้วยปลาจำนวนมาก

หวางเอ้อเช็ดเหงื่อพลางเดินตรงมา เหลือบมองเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับตะโกนไปทางทุ่งนา “หวางเฉียง นำปลาของคุณชายส่งกลับไปก่อน”

“ขอรับ ! ”

ในมือของหวางเอ้อยังคงถือจอกชา เขาเหลือบมองเด็กสาวด้านหลังของฟู่เสี่ยวกวนที่สวมผ้าปิดหน้า ทราบว่าน่าจะเป็นคนของคุณชาย

เขากล่าวกับฟู่เสี่ยวกวนยิ้ม ๆ “คุณชายดูสิขอรับ เก็บได้ประมาณครึ่งหนึ่งแล้ว ผ่านไปอีกสองวันก็น่าจะเก็บจนหมดแล้ว”

ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้ามองฟ้า และกล่าวขำ ๆ “อากาศวันพรุ่งนี้ไม่เลว ต้องเร่งรีบตากแห้งและเก็บเข้ายุ้งฉาง ลูกคนที่สองของเจ้ายังอยู่ที่โรงปูน แรงงานที่บ้านพอหรือไม่ ? ”

“พอขอรับ ข้าและหวางเฉียงเก็บเกี่ยว หวางเฉียงหาบกลับบ้าน ลูกสะใภ้ข้ารับผิดชอบนำไปตากแดด ของบ้านข้าน่าจะเก็บเกี่ยวจนหมดในวันพรุ่งนี้ เก็บเกี่ยวเสร็จแล้วก็จะไปช่วยบ้านญาติต่อ”

“ข้ากลัวว่าลูกสะใภ้เจ้าจะหมดแรงเสียก่อน”

“ฮ่าฮ่าฮ่า”

เสียงหัวเราะของชาวนาชราดังลั่นทุ่ง หวางเอ้อเดินตามฟู่เสี่ยวกวนไปตามคันนา พูดคุยถึงเรื่องการเพาะปลูก และพูดคุยถึงเรื่องจินตนาการในอนาคต

จนกระทั่งถึงทุ่งนาที่หนึ่ง ทั้งสองคนต่างหยุดลง ฟู่เสี่ยวกวนชี้ไปยังถังผสมที่อยู่ในทุ่งนา “เยี่ยงนั้นจะเหนื่อยและได้ประสิทธิภาพต่ำ”

หยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานที่เดินตามหลังฟู่เสี่ยวกวนมาตลอด ได้ยินคำพูดที่เขาคุยกันทั้งสิ้น ทั้งสองหันมาสบสายตา และรู้สึกว่าคนผู้นั้นแปลกประหลาดยิ่งขึ้น

สิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนและหวางเอ้อพูดคุยกันนั้นพวกนางแทบจะมิเข้าใจ แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับเข้าใจ ! เขาเข้าใจเป็นอย่างยิ่ง ราวกับเป็นมืออาชีพ ซึ่งนั่นทำให้พวกนางรู้สึกไม่เข้าใจยิ่งนัก

หวางเอ้อในยามนี้มองไปทางฟู่เสี่ยวกวนด้วยความงุนงง แล้วกล่าวว่า “การสีข้าวใช้วิธีนี้มาอย่างเนิ่นนานแล้ว ยังจะมีวิธีแก้ไขให้ดียิ่งขึ้นอีกหรือขอรับ”

ลักษณะการนวดข้าวในปัจจุบันนี้ จะนำตัดรวงข้าวมาส่วนหนึ่งก่อน หลังจากนั้นก็จะใช้คนหยิบรวงข้าวขึ้นมาและทุบอย่างแรงในถังเพื่อให้ข้าวตกลงมา รอจนข้าวในถังมีมากแล้ว จึงนำไปตากแดดที่ลานตาก

“เรื่องนี้ข้ามิเคยใคร่ครวญมาก่อน พวกเราสามารถสร้างเครื่องนวดข้าวขึ้นมาได้ เช่นนี้”

ฟู่เสี่ยวกวนคุกเข่าข้างทุ่งนา หยิบหินกรวดบนพื้นขึ้นมาวาดรูป

 “ของสิ่งนี้มิยุ่งยาก เป็นถังทรงกลม ตอกตะปูเหล็กไว้ด้านบน ตรงกลางเป็นเพลา ส่วนตรงนี้ทำคันโยก ทำสิ่งนี้ให้ยึดไว้ภายในถัง หนึ่งคนเขย่าคันโยก ถังนี้ก็จะหมุนตัว ส่วนอีกคนนั้นค่อยส่งรวงข้าวลงไป จะเกิดการเสียดสีกับตะปูที่อยู่ในถัง และข้าวก็จะหลุดลงมา มิต้องคำนึงเรื่องการใช้สองคน ประสิทธิภาพจะเร็วขึ้นอย่างมาก และช่วยผ่อนแรงได้”

หวางเอ้อเองก็คุกเข่าตาม จ้องมองอยู่ครู่หนึ่งใบหน้าคิ้วขมวด และพยักหน้า “วิธีของคุณชายยอดเยี่ยมยิ่งนัก”

“หากพวกเจ้าว่างแล้วก็ลองไปทำดู มิจำเป็นต้องเป็นตะปูเหล็ก จุดหลักคือการเพิ่มแรงเสียดทาน”

“พาข้าไปดูที่หมู่บ้านหวางเจียชุน” ฟู่เสี่ยวกวนเช็ดโคลนบนมือออกแล้วลุกขึ้นยืน

“ขอรับ”

กลุ่มคนยังคงเดินหน้าต่อไป หลังจากที่ข้ามสะพานแล้ว ก็จะเห็นบ้านที่ยังสร้างมิเสร็จที่อยู่ด้านข้างทุ่งนา

“ปูนซีเมนต์นั้นใช้งานได้ดียิ่ง ทั้งยังแข็งแรงมาก การสร้างบ้านจึงเป็นไปอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น” หวางเอ้อกล่าว

“อือ ข้าเพิ่งจะได้ใคร่ครวญเมื่อครู่ เพื่อจะได้สะดวกแก่การตากแดดทางการเกษตร รอจนปูนซีเมนต์ซีซานผ่านพ้นช่วงเร่งรีบ ให้ทุกครัวเรือนใช้ปูนซีเมนต์ทำให้พื้นที่ตากแดดนั้นราบเรียบ เยี่ยงนั้นจะได้มิต้องใช้เสื่อตากแดดแล้ว”

“นั่น… ปูนซีเมนต์เหล่านี้เป็นของล้ำค่า นำมาใช้เป็นลานตากแดดจะยิ่งสิ้นเปลืองเกินไปไหมขอรับ ?”

“ของสิ่งนี้มิได้ล้ำค่า ภายภาคหน้ากำลังการผลิตจะยิ่งสูงขึ้น จนแม้แต่สันเขานี้ก็สามารถทาให้เป็นถนนปูนซีเมนต์ได้แต่คงต้องใช้เวลาเสียหน่อย มันจะดียิ่งขึ้นเป็นแน่”

ใบหน้าดำคล้ำของชายชรามีรอยยิ้มผุดขึ้นมา เขาเชื่อมั่นในตัวคุณชายอย่างหาที่สุดมิได้ ในตอนนี้ถึงแม้เรือนเหล่านั้นจะยังมิได้สร้างขึ้น แต่ส่วนฐานได้สร้างไว้เสร็จแล้ว นั่นคือซื่อเหอเยวี่ยน ทั้งยังใช้อิฐกระเบื้องและปูนซีเมนต์ในการสร้าง

ก่อนหน้าที่คุณชายจะมายังซีซาน หวางเอ้อก็มิกล้าแม้แต่จะคิด

แม้แต่เรื่องการแต่งงานของบุตรชายหวางเฉียง เขาจะสร้างบ้านใหม่ก็เป็นเพียงบ้านกำแพงดินที่มิเกินสามห้อง ไหนเลยจะเหมือนกับในตอนนี้ นี่ราวกับก้าวขึ้นฟ้าด้วยขาเพียงหนึ่งก้าว

ชาวบ้านต่างพอใจกันอย่างยิ่ง จึงรักใคร่และเทิดทูนคุณชายอย่างที่มิอาจบรรยายได้

“ข้ามีความคิดหนึ่งอยากให้เจ้าลองฟัง ลองดูสิว่าจะพอทำให้เป็นจริงได้ไหม”

“คุณชายเชิญกล่าว”

“รอจนข้าวเก็บเข้ายุ้งฉาง เจ้าเป็นหัวหน้ากลุ่มก่อตั้งกลุ่มก่อสร้างขึ้นมา เป็นกลุ่มที่เชี่ยวชาญทางด้านการสร้างบ้าน โดยสรุปจากประสบการณ์การสร้างบ้านในหมู่บ้านหวางเจียชุนของเจ้า ในภายภาคหน้าจะอาศัยทีมของเจ้ามาเสริมประสบการณ์เหล่านี้ เพื่อสร้างบ้านในหมู่บ้านให้มากยิ่งขึ้น แน่นอนว่าการสร้างบ้านในภายหลังนั้นจำต้องเก็บค่าใช้จ่าย ข้าจะให้พ่อบ้านจางนำต้นทุนของปูนซีเมนต์ อิฐ และกระเบื้องมาให้เจ้า เจ้ากำหนดราคาแรงงาน และเจ้าก็ประเมินต้นทุนด้วยตนเอง แล้วนำมาเสนอให้ข้าเห็นด้วยก็พอ เจ้าคิดว่าอย่างไร?”

“เป็นเรื่องที่ดียิ่ง หมดหน้าเกษตรแล้วชาวบ้านย่อมเต็มใจทำเพื่อที่จะมีรายได้เพิ่ม”

“ประเดี๋ยวผ่านไปอีกไม่กี่วันข้าจะเรียกทุกคนมาประชุม จะพูดเรื่องนี้ในยามที่ถึงเวลาประชุม เจ้าต้องเตรียมพร้อมไว้ด้วย”

กลุ่มของฟู่เสี่ยวกวนกลับมาถึงเรือนซีซานก็เป็นยามพลบค่ำแล้ว

ครานี้ได้เดินเยอะไม่น้อย แต่หยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานกลับมิรู้สึกเหนื่อยแต่อย่างใด

ในใจของพวกนางตอนนี้เต็มไปด้วยความประหลาดใจ รู้สึกว่าฟู่เสี่ยวกวนยอดเยี่ยมจริง ๆ อย่างอธิบายไม่ถูก

และในยามนี้ ฟู่เสี่ยวกวนกลับเข้าห้องครัวไป กล่าวว่าปลาที่เนื้ออวบเยี่ยงนี้ มิสามารถปล่อยให้แม่ครัวทำให้เสียของได้