ภาคที่ 1 การรุกกลับของศิษย์พี่ บทที่ 62 ไล่กลับไป

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ภายใต้การประมือของมหาปรมาจารย์ยอดฝีมือสองคน ธรรมชาติและอุณหภูมิของสภาพแวดล้อมรอบข้างก็เปลี่ยนแปลงไป ผลกระทบไกลออกไปทุกสารทิศ

โชคยังดีที่เมืองชมตะวันมีเขตอาคมเป็นของตัวเอง จึงสามารถควบคุมมรสุมที่พวกเขาพามาในขอบเขตที่กำจัดได้

แต่ภายในขอบเขตนี้ สภาพไม่เหลือชิ้นดีแล้ว

“เขากว่างเฉิงยืนกรานจะเป็นปฏิปักษ์กับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ของข้าอย่างนั้นหรือ?”

ตอนนี้เอง เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นในอากาศของเมืองชมตะวัน

วินาทีถัดมา ดวงอาทิตย์เจิดจ้าดวงหนึ่งที่ใหญ่ยิ่งกว่าก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ

เมื่อดวงอาทิตย์ดวงนี้ปรากฏขึ้น ดวงอาทิตย์ที่ชายชราชุดทองแปลงกายเป็นนั้น พลันดับความสว่างลงในทันที ส่วนฝ่ามือดุสิตที่แปรเปลี่ยนเป็นไฟเพลิงสีม่วงอยู่ในฝ่ามือของเหยียนซวี่ ก็แทบจะดับลงไปในวินาทีนั้นเช่นกัน!

เหยียนซวี่เปล่งเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ เตาโอสถที่หลอมจากไฟของฝ่ามือดุสิต ก็เกิดรอยร้าวขึ้นไปทั่วในชั่วพริบตา ก่อนจะแหลกละเอียดไป

เตาโอสถที่แตกละเอียดกลายเป็นเพลิงลาม ลุกไหม้อยู่กลางอากาศ ทว่าไม่นานก็มอดดับไปเช่นกัน

พระอาทิตย์ดวงที่สองที่ลอยอยู่กลางอากาศนั้น กำลังส่องสว่างแข่งกับพระอาทิตย์ดวงจริงบนท้องฟ้า ชั่วขณะหนึ่งราวกับมีพระอาทิตย์สองดวงกำลังสาดส่องอยู่บนท้องฟ้า เหนือเมืองชมตะวันแห่งอาณาจักรถังตะวันออก

บัดนี้เขตอาคมของเมืองชมตะวันไม่สู้ดีนัก ต่างจากตอนที่เหยียนซวี่เผชิญหน้ากับชายชราชุดทอง

อักขระวิญญาณค่อยๆ สว่างวาบขึ้น จนบิดเบือนไปไม่เหลือเค้าเดิม

ผู้อาวุโสฉินนั่งอยู่กลางตำหนัก คิ้วทั้งสองค่อยๆ เลิกขึ้นมา “มาอวดเบ่งผิดที่เสียแล้ว”

ภายในตำหนักพลันเกิดปราณดาบจำนวนมหาศาลพุ่งทะยานขึ้นไปบนฟ้า

บริเวณที่ปราณดาบพาดผ่านไป ความรู้สึกร้อนจัดที่เกิดจากพระอาทิตย์ทั้งสองดวงก็พลันลดลงในทันที ทั่วหล้าแปรเปลี่ยนเป็นเย็นสบายขึ้นมาก

ทว่าหลังจากที่เย็นสบายแล้ว ก็กลับกลายเป็นหนาวเย็นจนสุดขั้ว!

ขณะนี้ร่างของผู้อาวุโสฉินปรากฏขึ้นที่ด้านบนของตำหนัก มองดูชายชราในชุดสีทองด้วยดวงตากรุ่นโกรธ

เขาคำรามเสียงต่ำ ลมพลันพัดเมฆคล้อย ผืนดินแผ่นฟ้าบิดเบือน เหมือนกับมีดาบมหึมาไร้รูปร่างเล่มหนึ่ง ฟันไปยังภาพลวงข้างหน้าจนแตกร้าว

รอยร้าวลุกลามไปยังพระอาทิตย์ดวงที่สอง คล้ายต้องการจะทำลายมันให้แตกสลายไป!

“ยอดวิชาแปดพิภพ ดาบเทพผสานปราณอย่างนั้นหรือ?” เสียงทุ้มใหญ่ดังมาจากในดวงอาทิตย์เจิดจ้า

วินาทีถัดมา ดวงอาทิตย์เจิดจ้านั้นไม่หลบกลับ ทั้งยังพุ่งตัวตกลงไปยังตำแหน่งของผู้อาวุโสฉิน

ราวกับอาทิตย์คล้อยอัสดง แสงเจิดจ้าหล่นร่วงสู่พื้น ราวกับต้องการจะเผาโลกมนุษย์ให้สิ้นซาก!

ซึ่งนั่นก็คือหนึ่งในเจ็ดวิชาสุริยัน วิชาดาบผลาญฟ้าคล้อยประจิม!

บนประกายดาบเจิดจ้าราวกับตะวันที่กำลังตกดิน ทันใดนั้นก็มีสัญลักษณ์เทพขนาดมหึมาสว่างขึ้น ยิ่งใหญ่ราวกับจะปกคลุมทั้งเมืองชมตะวันเอาไว้

ดาบเทพผสานปราณที่ท่านผู้อาวุโสขับเคลื่อน เมื่อปลายดาบไร้รูปร่างฟาดฟ้าผ่าดิน ก็ปรากฏสัญลักษณ์เทพสว่างขึ้นเช่นกัน

พลังของทั้งสองฝ่ายอยู่ในระดับเดียวกัน เมื่อปะทะเข้าด้วยกัน จึงทำให้เมืองชมตะวันราวกับจะแตกสลายออกเป็นผุยผง

ในตอนนี้เอง ณ เมืองชมตะวันก็มีเสียงของราชาอาณาจักรถังตะวันออกดังขึ้นมา “หากท่านทั้งสองจะประมือกันก็เลือกที่อื่นเถิด คิดจะพังอาณาจักรถังตะวันออกของข้าหรืออย่างไรกัน?”

เขตอาคมเมืองชมตะวันพลันส่องสว่างขึ้นในทันที อักขระวิญญาณที่ผสานเข้าด้วยกันก็ยิ่งหลอมรวมชัดเจนมากยิ่งขึ้น

ครั้นเขตอาคมเริ่มโคจรอย่างเต็มกำลัง พลังก็เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ

ผู้อาวุโสฉินหยุดปราณดาบลง แล้วพูดอย่างหงุดหงิดว่า “มีคนอยากจะจงใจหาเรื่อง ข้าก็จะเล่นด้วยจนถึงที่สุด คิดจะรังแกเขากว่างเฉิงกันง่ายๆ หรืออย่างไร”

พระอาทิตย์ดวงนั้นหยุดอยู่กลางอากาศ มีเสียงลอดผ่านออกมาว่า “จ้าวซื่อเฉิง เจ้าจะเข้ามาแทรกเรื่องระหว่างข้ากับเขากว่างเฉิงอย่างนั้นหรือ?”

เสียงที่สงบนิ่งของจ้าวซื่อเฉิง ราชาอาณาจักรถังตะวันออกดังขึ้นมาจากเขตอาคมของเมืองชมตะวันว่า “ทะยานบูรพากล่าวหนักเกินไปแล้ว คงไม่ดีนักหากถังตะวันออกของข้าจะเอาตัวเข้าแทรกเรื่องระหว่างทั้งสองดินแดนศักดิ์สิทธิ์”

“แต่พวกท่านลงไม้ลงมือกันที่เมืองชมตะวัน เกรงว่ายากนักที่ข้าจะแสร้งทำเป็นไม่เห็น”

ภายในตำหนักอาศัย เยี่ยนจ้าวเกอลูบคางของตนเอง ‘ที่แท้ก็เป็นทะยานบูรพา หนึ่งในเจ็ดสุริยันนี่เอง แต่ในความทรงจำของข้า เขาเพิ่งเปลี่ยนคนไปเมื่อไม่กี่ปีก่อน’

ในช่วงเวลาที่สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ตั้งตัวขึ้นมา มียอดฝีมือที่มีพรสวรรค์โดดเด่นเจ็ดคน ถูกขนานนามว่า ‘เจ็ดสุริยัน’

ซึ่งนามของพวกเขามีความหมายเดียวกับชื่อวิชาเจ็ดสุริยะ นั่นก็คืออรุณเบิกฟ้า ทะยานบูรพา กลางเวหา จรัสแสง คล้อยประจิม แสงสนธยา และแสงรัตติกาล

ภายหลังเจ็ดสุริยันก็กลายเป็นรูปแบบตำแหน่งที่ตายตัว เมื่อคนหนึ่งสิ้นชีพไปหรือสละตำแหน่ง ก็จะมีผู้ที่เข้ามารับช่วงต่อสืบทอดต่อไป

เยี่ยนจ้าวเกอหันหน้ากลับไปมอง สีหน้าของเฟิงอวิ๋นเซิงแปลกประหลาดไปเล็กน้อย

เมื่อเห็นว่าเยี่ยนจ้าวเกอมองนางอยู่ เฟิงอวิ๋นเซิงก็ส่ายหน้า “ท่านอาจารย์ปู่ของข้าก็คือทะยานบูรพารุ่นก่อน หลังจากที่ท่านอาจารย์ปู่เสียไป ทะยานบูรพารุ่นนี้ก็รับช่วงต่อ ซึ่งก็คือคนที่อยู่ด้านนอกนั่นแหละ”

“ปัจจุบันในบรรดาเจ็ดสุริยัน เขาอายุน้อยที่สุด ประสบการณ์น้อยที่สุด แต่วรยุทธ์ทั้งกายก็เขย่าขวัญคนทั้งโลกเช่นกัน”

พระอาทิตย์ที่อยู่กลางอากาศค่อยๆ เลือนหายไป ปรากฏชายวัยกลางคนสวมชุดสีทองคนหนึ่ง ซี่งนั่นก็คือทะยานบูรพารุ่นปัจจุบัน

ทะยานบูรพาจ้องผู้อาวุโสฉินตาเขม็ง จากนั้นก็กวาดสายตามองไปยังเมืองชมตะวันที่อยู่เบื้องล่าง แล้วพูดขึ้นช้าๆ ว่า “มีคนรับศิษย์ทรยศสำนักข้าเอาไว้ ข้าก็ต้องมีถามไถ่เป็นธรรมดา”

“มอบคนมาชดใช้ความผิด”

“มิเช่นนั้น ก็ต้องต่อสู้กันแล้วล่ะ”

ร่างสูงใหญ่ของผู้อาวุโสฉินยืนตระหง่านอยู่กลางท้องฟ้า สีหน้าท่าทางไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย “ข้าบอกไปแล้ว ที่นี่ไม่มีคนที่เจ้าต้องการ”

“หากเจ้าต้องการจะสู้ เช่นนั้นก็สู้ สิ่งอื่นข้าไม่มี มีเพียงดาบหนึ่งเล่ม และหมัดหนึ่งคู่ สู้กับเจ้าจนถึงที่สุด”

ชายชราที่อยู่ด้านข้างทะยานบูรพาพูดด้วยท่าทางโกรธเกรี้ยวว่า “ข้าเห็นกับตาว่าเยี่ยนจ้าวเกอ ศิษย์สำนักเจ้าพาศิษย์ทรยศสำนักของข้ากลับมา คำพูดไม่กี่คำของเจ้าใช่ว่าจะแก้ต่างได้เสียที่ไหน?”

เหยียนซวี่ยืนอยู่ด้านหลังผู้อาวุโสฉิน กล่าวพร้อมใบหน้าเย็นชา “เจ้าบอกว่าใช่ก็ถือว่าใช่แล้วหรือ?”

“ข้ายังอยากจะบอกว่าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าขโมยของล้ำค่าของสำนักข้าไป จงส่งคืนกลับมาโดยเร็ว”

ดวงตาทั้งสองของทะยานบูรพาฉายแสงเจิดจ้า ทิ่มแทงจนเหยียนซวี่เจ็บปวดไปทั้งตัว “พูดเพ้อเจ้อ ตายเสียเถอะ!”

ผู้อาวุโสฉินก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว “จะอวดเบ่ง ก็กลับไปอวดที่สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าเสีย!”

และในตอนนี้เอง เสียงของเยี่ยนจ้าวเกอก็ดังออกมาจากในตำหนัก

“ได้พบท่านทะยานบูรพา เยี่ยนจ้าวเกอจากเขากว่างเฉิงนับว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่ง”

“ในเทือกเขามฤคลับตา ข้าได้ประมือกับเซียวเซิงและเฉาหยวนหลงศิษย์สำนักท่าน และได้พบกับเฟิงมู่เกอที่สำนักท่านต้องการตัวจริง”

“แต่หลังจากนั้น ข้ากับเฟิงมู่เกอก็ไม่ได้มีการติดต่อสานสัมพันธ์ใดๆ อีก” เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวอย่างเฉยเมย “เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้ พวกข้าได้สนทนากัน นั่นกลับทำให้ข้าได้รู้เรื่องราวที่น่าสนใจบางเรื่อง”

“อย่างเช่น ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์สักแห่งที่มีชื่อเสียงเลื่องลือกว้างไกลในโลกแปดพิภพ ช่วยกันปกปิดหนุนหลัง ปล่อยปะละเลยให้หลานชายของผู้อาวุโสเฒ่าบางคนทำมิดีมิร้ายกับลูกศิษย์หญิงร่วมสำนัก”

“เมื่อทำมิดีมิร้ายไม่สำเร็จ กลับปกป้องคนผิด ให้ร้ายกับศิษย์หญิงผู้นั้น”

“ที่น่าสนใจที่สุดก็คือ คนบางคนที่หื่นกามเป็นชีวิตจิตใจเหมือนกรรมจะตามสนอง ถูกตัดรากถอนโคนรากฐานของบุตรหลาน…”

เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวอย่างไม่ทุกข์ร้อนว่า “ภายหลังคงไม่ต้องกังวลแล้วว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก”

“วาจาเหลวไหลสิ้นดี!” ทะยานบูรพาพูดอย่างเยือกเย็นว่า “ในเมื่อเจ้าพูดจาเหยียดหยามลบหลู่ความบริสุทธิ์ของสำนักข้า วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้าให้ตายตรงนี้ ก็ไม่มีใครพูดอะไรได้!”

“หากเยี่ยนตี๋บิดาเจ้าไม่ยินยอม ก็ให้เขามาที่ยอดเขาเรืองรองเองก็แล้วกัน ดูสิว่าเขาจะมีชีวิตรอดจนไปถึงยอดเขาได้หรือไม่”

สิ้นคำพูด เขาก็ฟาดฝ่ามือลง

ผู้อาวุโสฉินหัวเราะด้วยความสะใจ “ตนเองกระทำไม่ยุติธรรม สั่งสอนศิษย์ไม่เป็น ปล่อยให้คนหนีไปได้ ตรวจสอบตัวเองดูให้ดีสักหน่อย คงจะดีกว่านี้กระมัง!”

“ที่แห่งนี้ยังไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะมากำเริบเสิบสานได้! ”

ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอีกครั้ง ราชาอาณาจักรถังตะวันออกไม่เอ่ยกล่าวคำพูดใดๆ เขตอาคมเมืองชมตะวันถูกกระตุ้นให้ทำงาน พุ่งไปทางคนทั้งสอง และกดดันไปพร้อมๆ กัน

ไม่ต้องสงสัย เขาต้องเข้าข้างฝั่งของเยี่ยนจ้าวเกออยู่แล้ว

แม้ว่าจะเป็นปรปักษ์กับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ไม่ไหว ทว่าก็ต้องทำตัวเป็นกลางในการปะทะกันของทั้งสองดินแดนศักดิ์สิทธิ์ให้มากที่สุด

ถึงกระนั้นเรื่องมีส่วนเกี่ยวข้องกับบุตรชายคนเดียวของสหายเยี่ยนตี๋ จ้าวซื่อเฉิงก็เลือกฝั่งเลือกฝ่ายโดยที่ไม่ลังเล แม้แต่เสี่ยงกับภัยอันตรายมากมายจากสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ โดยที่ไม่ได้คำนึงถึงความเป็นกลางใดๆ

สายตาของทะยานบูรพาดูเยือกเย็น ถ้าหากเป็นในเวลาปกติ เขตอาคมของเมืองชมตะวันไม่สามารถทำอะไรเขาได้สักนิด

ทว่าในตอนนี้ที่เขาสู้กันอย่างดุเดือดกับผู้อาวุโสฉิน หากเสียสมาธิแล้วล่ะก็ อานุภาพของเขตอาคมเมืองชมตะวันก็จะเผยออกมา

ผู้อาวุโสฉินเสมือนกับแม่ทัพในสนามรบนี้ ทำให้ทะยานบูรพาที่มีพลังสูสีกัน เสียเปรียบมากขึ้นเรื่อยๆ

“ดี ดีมาก!” ทะยานบูรพาถอยตัวออกจากสนามรบ หันหน้ากลับไปมองเมืองชมตะวันครั้งหนึ่ง ไม่กล่าวอะไรอีก เขากลายร่างกลับไปเป็นพระอาทิตย์ใหม่อีกครั้ง แล้วหายตัวไปในอากาศ

…………..