บทที่ 107 ยืนหยัดอย่างอดทน

ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย

หนึ่งร้อยเจ็ด

ยืนหยัดอย่างอดทน

เมื่อเสวี่ยเจียเยว่ได้ยินแม่นางน้อยเอ่ยเช่นนั้น เธอก็อดที่จะคลี่ยิ้มบางไม่ได้

หลังจากเดินเล่นได้สักพัก เธอก็ชวนเสวี่ยหยวนจิ้งกลับ ขณะที่เดินผ่านร้านกุ้ยเซียงโหลว เธอตั้งใจจะเข้าไปซื้อขนมหลายชิ้น พลางนึกในใจว่าจะมอบขนมครึ่งหนึ่งให้ป้าหยางในวันพรุ่งนี้ หากไม่ใช่เพราะนางให้ความช่วยเหลือ คุณหนูกับฮูหยินเหล่านั้นคงไม่ได้สวมชุดของร้านซู่ยวี่เซวียนในวันนี้ ส่วนขนมที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งเธอจะมอบให้ป้าโจว

ป้าโจวคอยสนับสนุนเป็นอย่างมากหลังจากรู้ว่าเธอต้องการเปิดร้านตัดชุด นางไม่เอ่ยคัดค้านแม้แต่คำเดียว ทั้งยังบอกจุดเด่นของชุดในราชวงศ์ก่อนหน้าอีกด้วย กระทั่งให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ต่อการออกแบบชุด ยิ่งไปกว่านั้น… นางยังช่วยถ่ายทอดวิชาเย็บปักที่หาได้ยากให้เสวี่ยเจียเยว่ บุญคุณนั้นเธอยังจำไม่เคยลืมเลือน

เมื่อพวกเขาเข้ามาในลานเรือน เสวี่ยเจียเยว่ไม่ได้ตรงไปที่เรือนฝั่งตะวันออกทันที แต่ถอดหมวกออกแล้วยื่นทั้งหมวกและขนมบางส่วนให้เสวี่ยหยวนจิ้ง ก่อนจะหิ้วขนมสองสามอย่างเดินไปเคาะประตูเรือนหลัก

ประตูบานใหญ่เปิดออกทันทีโดยที่เธอไม่ต้องเคาะเป็นครั้งที่สอง

เมื่อเห็นว่าเป็นเสวี่ยเจียเยว่ ป้าโจวก็รีบยิ้มให้ทันที

จากนั้นเสวี่ยเจียเยว่จึงยิ้มตอบพลางเรียกนาง “ท่านอาจารย์”

เธอยกขนมในมือให้ป้าโจวดู “ระหว่างที่เดินกลับมาเมื่อครู่นี้ ข้าตั้งใจซื้อมาให้ท่านอาจารย์โดยเฉพาะ”

หลังจากไหว้ป้าโจวเป็นอาจารย์ เสวี่ยเจียเยว่มาที่นี่บ่อยขึ้นราวกับเป็นเรือนของตัวเองโดยไม่มีอาการเขินอายใดๆ และยามนี้เธอก็ถือขนมเดินเข้าไปในเรือน ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้อย่างคุ้นเคย จากนั้นจึงเปิดห่อขนมพลางเรียกป้าโจว

“ท่านอาจารย์ ท่านลองมาชิมขนมพวกนี้ดูสิเจ้าคะ ว่าอร่อยหรือไม่”

น้ำเสียงของเธอดูมีความสุขไม่น้อย ทำให้คนที่ได้ฟังรู้สึกมีความสุขไปด้วย

ป้าโจวยิ้มให้เสวี่ยเจียเยว่พร้อมกับปิดประตู เมื่อเดินไปถึงโต๊ะนางก็นั่งลงบนเก้าอี้อีกตัว ก่อนจะก้มหน้าลงมอง พบว่าบนโต๊ะมีขนมดอกท้อ ขนมดอกหอมหมื่นลี้ ขนมเซาปิ่งไส้กุหลาบ ขนมเปี๊ยะดอกบัว และขนมเปี๊ยะดอกไห่ถัง

มองปราดเดียวก็รู้ว่าขนมเหล่านี้ล้วนมาจากร้านกุ้ยเซียงโหลว ขนมในร้านนี้ไม่เพียงแต่อร่อยเท่านั้น ทว่ายังมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองอีกด้วย โดยที่ขนมแต่ละอย่างจะตั้งชื่อตามดอกไม้ทั้งสิ้น

เสวี่ยเจียเยว่หยิบขนมเปี๊ยะดอกบัวขึ้นมาหนึ่งชิ้น และส่งให้ป้าโจวด้วยสองมือพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มสดใส

“ท่านอาจารย์ ท่านลองกินชิ้นนี้ก่อนเจ้าค่ะ”

รอยยิ้มของเธอไม่ได้เป็นไปในเชิงเอาใจแต่อย่างใด เป็นเพียงรอยยิ้มของผู้น้อยที่มีความเคารพต่อผู้อาวุโสเท่านั้น

เสวี่ยเจียเยว่ปฏิบัติต่อผู้คนอย่างจริงใจเสมอมา แม้ว่าในอดีตป้าโจวจะดูเย็นชาและไม่น่าเข้าใกล้ ทว่าตั้งแต่ที่เธอมาเป็นลูกศิษย์ของนาง ก็กล่าวได้ว่านางเป็นคนโอบอ้อมอารี ไม่เพียงสั่งสอนเสวี่ยเจียเยว่ในเรื่องการเย็บปักเท่านั้น แต่ยังแนะนำในเรื่องอื่นอีกด้วย เพราะเหตุนี้ป้าโจวจึงเปรียบเสมือนญาติคนหนึ่งของเธอ

ป้าโจวยื่นมือไปรับขนมเปี๊ยะดอกบัวโดยไม่ปฏิเสธ ก่อนยกขึ้นกัดกินคำเล็กๆ

แม้ว่าป้าโจวจะไม่เคยเล่าประสบการณ์ชีวิตของตนให้ฟัง แต่เสวี่ยเจียเยว่คาดว่านางมีภูมิหลังที่ดี เห็นได้จากพฤติกรรมของนาง ชาติกำเนิดของนางต้องไม่ใช่คนธรรมดา แต่ในเมื่อนางไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง เสวี่ยเจียเยว่ก็ไม่คิดเอ่ยถาม อาจารย์กับลูกศิษย์ต่างเข้ากันได้เป็นอย่างดี

ขณะที่ป้าโจวกำลังกินขนมเปี๊ยะดอกบัว สายตาของนางก็มองไปที่ชุดของเสวี่ยเจียเยว่ เมื่อเห็นว่าบนชุดปักเป็นลายดอกไห่ถัง นางก็เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้าปักพวกนี้เองหรือ”

เสวี่ยเจียเยว่เอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มจนตาหยี “เจ้าค่ะ ท่านอาจารย์ลองดูสิเจ้าคะ ฝีมือปักของข้าเป็นเช่นไรบ้าง สมกับที่ท่านอบรมสั่งสอนมาหรือไม่เจ้าคะ”

ป้าโจวพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ปักได้ไม่เลว ฝึกอีกหน่อยต้องปักสวยกว่าข้าแน่นอน”

จากนั้นนางเอ่ยเตือนว่าอย่าดีใจจนเหลิง ต้องพยายามต่อไปอย่างไม่ลดละ ซึ่งเสวี่ยเจียเยว่ก็รับคำด้วยความเคารพ

เสวี่ยเจียเยว่สนทนากับป้าโจวอีกครึ่งชั่วยาม ระหว่างนั้นก็กินขนมไปหลายชิ้น ฟังนางพูดถึงฝีมือการเย็บปักครู่หนึ่ง เธอจึงขอตัวลากลับเรือน

ป้าโจวเดินมาส่งเสวี่ยเจียเยว่ที่หน้าประตู เมื่อเห็นแม่นางน้อยเดินไปถึงเรือนฝั่งตะวันออก และหันกลับมาโบกมือให้ นางก็ยิ้มแล้วปิดประตูเรือนของตน

เสวี่ยเจียเยว่เปิดประตูเรือนก็เห็นกระถางดอกเบญจมาศสีม่วงที่เธอซื้อมาก่อนหน้านี้วางอยู่บนโต๊ะ จึงเดินไปหยิบขึ้นมาด้วยสองมือ แล้วเดินไปทางห้องของเสวี่ยหยวนจิ้ง

ชายหนุ่มกำลังนั่งอ่านตำราอยู่บนเก้าอี้ เมื่อเห็นว่าเสวี่ยเจียเยว่กลับมาแล้ว เขาจึงวางตำราในมือลง และเงยหน้าเอ่ยถาม “เจ้ากลับมาแล้วหรือ”

“เจ้าค่ะ” เสวี่ยเจียเยว่ตอบ ขณะเดียวกันเธอก็นำดอกเบญจมาศสีม่วงไปวางไว้บนแท่นวางดอกไม้ทรงดอกไห่ถังที่มุมผนังห้อง

ห้องของเสวี่ยหยวนจิ้งตกแต่งอย่างเรียบง่าย มีเพียงเตียงหนึ่งหลัง เก้าอี้สองตัว และโต๊ะเขียนหนังสือหนึ่งตัว ส่วนแท่นวางดอกไม้นี้เดิมทีเขาไม่ต้องการ อยากให้เสวี่ยเจียเยว่นำไปตั้งไว้ในห้องของตนมากกว่า แต่อีกฝ่ายกลับยืนกรานว่าจะตั้งไว้ที่นี่ ซึ่งไม่มีดอกไม้วางอยู่บนนั้นสักที เมื่อมีดอกเบญจมาศเช่นนี้ก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้นไม่น้อย

เสวี่ยเจียเยว่หันกลับไปเอ่ยกับชายหนุ่มด้วยรอยยิ้ม “วางดอกไม้ไว้ในห้องเยอะๆ ถึงจะดีนะเจ้าคะ เพราะทำให้คนที่ได้มองรู้สึกดี เดี๋ยวช่วงฤดูใบไม้ผลิข้าจะซื้อดอกกุหลาบพันปีสักกระถางมาวางไว้ที่นี่ ในฤดูร้อนเป็นต้นทับทิม ฤดูใบไม้ร่วงเป็นดอกเบญจมาศ ฤดูหนาวเป็นดอกเหมย ท่านพี่ ท่านคิดว่าอย่างไรเจ้าคะ”

แม้ว่าเธอจะชอบดอกไม้ แต่เพราะเมื่อก่อนมีเงินไม่มาก จึงไม่อยากใช้จ่ายไปกับดอกไม้ใบหญ้า ทว่าตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว เพราะร้านซู่ยวี่เซวียนเริ่มทำกำไรได้บ้าง อีกทั้งหลังจากผ่านวันนี้ไป กิจการจะต้องดีขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน ดังนั้นเธอจึงสามารถซื้อของเหล่านี้ได้

เสวี่ยหยวนจิ้งยกยิ้มมุมปาก หากมองให้ดีอาจพบว่าในดวงตาเขาปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาอีกด้วย “ได้สิ เจ้าว่าอย่างไรก็เอาตามนั้น”

เสวี่ยเจียเยว่ตอบอย่างมีความสุข จากนั้นเธอจึงเดินออกไปนำห่อขนมเข้ามา แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านพี่ ขนมนี้ข้าซื้อมาให้พวกเราสองคนกินเจ้าค่ะ ท่านรีบมากินเร็วเข้า”

เธอเปิดห่อขนมและวางไว้ตรงหน้าเสวี่ยหยวนจิ้ง ก่อนจะเดินออกไปอีกครั้งเพื่อรินน้ำใส่ถ้วย แล้วนำเข้ามาวางไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือ

เสวี่ยหยวนจิ้งมองแม่นางน้อยด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็เอื้อมมือไปหยิบขนมเซาปิ่งไส้ดอกหอมหมื่นลี้แล้วส่งให้อีกฝ่าย

เสวี่ยเจียเยว่โบกมือปฏิเสธพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าเพิ่งกินขนมกับท่านอาจารย์ไปหลายชิ้น ขนมพวกนี้ท่านพี่ก็กินเถอะเจ้าค่ะ”

เสวี่ยหยวนจิ้งรู้ว่าเสวี่ยเจียเยว่เป็นคนประหยัด ชายหนุ่มกังวลว่าการที่อีกฝ่ายไม่กินเป็นเพราะอยากเก็บขนมเหล่านี้ไว้ให้เขา จึงไม่กล่าวคำใด แต่โน้มตัวไปใกล้เสวี่ยเจียเยว่ ก่อนจะยัดขนมใส่ปากอีกฝ่าย

เสวี่ยเจียเยว่ไม่มีทางเลือก จึงทำได้เพียงอ้าปากรับขนมที่เขายื่นมาให้ ริมฝีปากของเธอสัมผัสกับมือเสวี่ยหยวนจิ้งโดยไม่ทันระวัง

ชั่วขณะนั้นเขารู้สึกเสียวซ่านที่ปลายนิ้ว และความรู้สึกนั้นก็ส่งตรงมาที่หัวใจอย่างฉับพลัน

ชายหนุ่มชักมือกลับอย่างกระอักกระอ่วน ก่อนจะมองเสวี่ยเจียเยว่ที่ไม่รู้เรื่องอันใดครู่หนึ่ง แล้วหยิบขนมขึ้นมากินบ้าง หลังจากกัดเข้าไปเขาก็รู้สึกเหมือนถูกปีศาจเข้าสิงก็ไม่ปาน อดรนทนไม่ไหวจนต้องแตะปลายนิ้วนั้นไว้ที่ริมฝีปากของตนและลูบเบาๆ

ราวกับมีคลื่นซัดสาดในหัวใจไม่ยอมหยุด ทั้งยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมและความอบอุ่นของริมฝีปากเสวี่ยเจียเยว่ที่ติดอยู่บนปลายนิ้วของเขา ซึ่งรู้สึกดีกว่าขนมทั้งหมดในใต้หล้าเสียอีก

เมื่อเสวี่ยเจียเยว่กินขนมชิ้นนั้นหมดแล้ว เธอก็ชวนเสวี่ยหยวนจิ้งสนทนา “ท่านพี่ ท่านเพิ่งแข่งเสร็จ ถ้ากินขนมเสร็จแล้วท่านก็พักผ่อนเสียหน่อยเถอะ อย่าเพิ่งรีบร้อนอ่านตำรา พักผ่อนเต็มที่แล้วค่อยอ่านผลก็คงเหมือนกัน”

เดือนสองในปีหน้าจะมีการสอบระดับเซี่ยนชื่อ ตามด้วยการสอบฝู่ชื่อ และย่วนซื่อ แม้ว่าอาจารย์ในสำนักศึกษาไท่ชูและสำนักศึกษาแห่งอื่นจะคิดว่าเสวี่ยหยวนจิ้งต้องสอบผ่านอย่างแน่นอน ไม่แน่อาจได้อันดับหนึ่งทั้งสามระดับ และได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘เสี่ยวซานหยวน[1]’ ทว่าเขากลับไม่ทะนงตัวแม้แต่น้อย ยังคงหมั่นเพียรอ่านตำราทุกวัน

เสวี่ยเจียเยว่เข้าใจดีว่าเป้าหมายของเขาไม่ใช่การสอบผ่านแค่ระดับต้นเท่านั้น แต่เป็นการสอบระดับมณฑล ระดับเมืองหลวง และสอบต่อหน้าพระที่นั่ง เมื่อไรที่เธอเห็นว่าเขากำลังอ่านตำรา ก็จะไม่เข้ามารบกวนชายหนุ่ม แต่วันนี้เธอคิดว่าเขาควรพักผ่อนเสียก่อนแล้วค่อยอ่านตำราต่อ

เสวี่ยหยวนจิ้งตอบตกลงขณะที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เมื่อเห็นเสวี่ยเจียเยว่เก็บห่อขนมกับถ้วยน้ำเตรียมจะเดินออกไป เขาก็รีบเอ่ยถาม

“ถ้าข้าพักผ่อนแล้ว เจ้าก็จะออกไปใช่หรือไม่”

เสวี่ยเจียเยว่มองท้องฟ้าด้านนอก เมื่อเห็นว่ายังสว่างอยู่เธอจึงตอบกลับไป

“เมื่อวานข้าตรวจดูของในร้านเห็นว่าผ้าเหลือไม่มากแล้ว และสีที่เหลืออยู่ก็มีสีเดียว เลยคิดว่าจะไปซื้อผ้าดีๆ มาเพิ่ม และอาศัยช่วงที่ยังสว่างอยู่ไปดูร้านผ้าไหมรอบๆ ด้วย”

เสวี่ยหยวนจิ้งได้ยินเช่นนั้น ก็รีบลุกพรวดพราดขึ้นมา “ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”

“ไม่ต้องเจ้าค่ะ” เสวี่ยเจียเยว่รีบตอบกลับไป “เมื่อเช้าท่านเพิ่งแข่งจีจวี ไม่เหนื่อยหรือเจ้าคะ ถึงได้มีแรงเดินไปทุกที่เป็นเพื่อนข้าเช่นนี้ ท่านนอนพักผ่อนอยู่ที่เรือนไปเถอะเจ้าค่ะ”

เสวี่ยหยวนจิ้งจะสบายใจได้อย่างไรหากต้องปล่อยให้แม่นางน้อยไปคนเดียว ชายหนุ่มอย่างเขามีกำลังวังชาเต็มเปี่ยม แค่แข่งจีจวีไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม เขาจะเหนื่อยจนหมดแรงเช่นนั้นได้อย่างไร

เขาคิดดังนั้นก่อนจะเอ่ยขึ้น “เจ้าดูถูกข้าเกินไปแล้ว แค่แข่งขันจีจวีเท่านั้น จะทำให้ข้าเหนื่อยง่ายดายเช่นนั้นได้เยี่ยงไร ตอนนี้ต่อให้ต้องแข่งอีกรอบข้าก็ยังไหว”

เมื่อเห็นเขายืนกรานเช่นนั้น เสวี่ยเจียเยว่จึงตอบตกลง

ทว่าชุดบนตัวเธอมีราคาแพงเพราะใช้ผ้าเนื้อดี ในใจของเสวี่ยเจียเยว่จึงอยากทะนุถนอมยิ่งนัก เธอไม่อยากสวมตามอำเภอใจ เดิมทีคิดจะกลับไปเปลี่ยนชุดที่เธอสวมเป็นประจำในห้องของตน แต่เมื่อคิดอีกที… คนในภพนี้ชอบตัดสินคนอื่นที่หน้าตาและเสื้อผ้าที่สวม ตอนนี้เธอกำลังจะออกไปเจรจาเรื่องงานกับเจ้าของร้านขายผ้าไหม หากสวมเสื้อผ้าที่ดูไม่ดี จะไม่ถูกดูแคลนเอาหรือ

หลังจากคิดได้เช่นนั้น เธอก็สวมชุดเดิมเดินออกจากเรือนพร้อมกับเสวี่ยหยวนจิ้ง โชคดีที่เขาไม่ได้บังคับให้เธอสวมหมวกที่มีผ้าคลุมหน้าเหมือนเมื่อเช้า เพราะตอนนี้เขาอยู่ข้างๆ เป็นเพื่อนเธอตลอดทาง

ระหว่างที่เดินไปเธอบอกให้เสวี่ยหยวนจิ้งรู้ถึงเรื่องที่ตนคิดอยู่ในใจมาตลอด นั่นก็คือตอนนี้พวกเขาสามารถร่วมมือทำการค้ากับร้านผ้าไหมแห่งใดได้บ้าง เพื่อจะซื้อผ้าไหมจากร้านแห่งนั้นในภายภาคหน้า ขณะเดียวกันร้านแห่งนั้นก็ต้องให้ราคาที่ถูกลง เพื่อให้ร้านของเธอทำกำไรได้บ้าง ด้วยวิธีนี้เธอจะสามารถประหยัดเงินสำหรับซื้อผ้าไปได้

พอเสวี่ยหยวนจิ้งได้ยินเช่นนั้น เขากลับไม่เอ่ยคำใด

วิธีของเสวี่ยเจียเยว่ยอดเยี่ยมไม่น้อย ทว่าร้านซู่ยวี่เซวียนยังไม่เป็นที่รู้จักในเมืองผิงหยางมากนัก เกรงว่าคนในร้านขายผ้าไหมเหล่านั้นจะไม่สนใจคำพูดของเด็กสาวด้วยซ้ำ อาจจะมีคนหัวเราะเยาะก็เป็นได้

เขาไม่อาจทนเห็นเสวี่ยเจียเยว่เป็นทุกข์กับเรื่องนั้นได้ จึงต้องเอ่ยเกลี้ยกล่อมอีกฝ่าย

“ช่วงนี้เจ้าอย่าเพิ่งทำเรื่องนี้เลย รอให้กิจการของร้านเราเติบโตมากกว่านี้ก่อน และต้องการผ้าจำนวนมากในทุกๆ วัน หากถึงตอนนั้นย่อมมีคนยอมร่วมมือค้าขายกับเจ้า แต่ตอนนี้พักไว้ก่อนเถอะ”

ทว่าเสวี่ยเจียเยว่ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้อย่างง่ายดาย เธอยังคงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หากไม่ลองดูจะรู้ได้อย่างไรเจ้าคะ แม้ว่าจะมีชุดหลากหลายแบบและแปลกใหม่ แต่ผ้าในร้านเหลือน้อยเต็มที หลังจากผ่านวันนี้ไป ข้าคิดว่าจะต้องมีคนมาตัดชุดที่ร้านของพวกเรามากขึ้นอย่างแน่นอน และส่วนมากก็จะเป็นสตรีในตระกูลใหญ่ แค่ผ้าที่เรามีอยู่ในร้านตอนนี้ พวกนางจะถูกใจได้อย่างไรเจ้าคะ แต่ตอนนี้เงินในมือของพวกเรามีอยู่อย่างจำกัด แล้วจะซื้อผ้าได้สักกี่พับ ท่านพี่… ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะลองดู”

เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งเห็นอีกฝ่ายยืนกรานเช่นนั้น เขาก็ทำได้เพียงพยักหน้าตอบรับ

จากนั้นทั้งสองคนก็เดินเข้าไปในร้านขายผ้าไหมแห่งแรก แน่นอนว่าทั้งเจ้าของร้านและลูกจ้างคิดว่าพวกเขาเพียงมาซื้อผ้าในร้านเท่านั้น จึงรีบมาต้อนรับด้วยรอยยิ้ม แต่หลังจากเสวี่ยเจียเยว่เอ่ยความต้องการของตนออกมา คนเหล่านั้นก็ปิดประตูไม่ต้อนรับทันที

พวกเขาเดินไปที่ร้านขายผ้าไหมอีกหลายแห่ง แต่เจ้าของร้านต่างก็พูดว่าไม่เคยได้ยินชื่อร้านตัดชุดชื่อซู่ยวี่เซวียนมาก่อน คงเป็นเพียงร้านเล็กๆ เท่านั้น จะได้ใช้ผ้าเท่าไรกันเชียว ยังจะให้ขายผ้าในราคาถูกอย่างนั้นหรือ

ในที่สุดก็ไม่มีร้านไหนยอมตกลงร่วมมือกับเธอ

เสวี่ยเจียเยว่ไม่เคยคิดท้อถอย เธอยังคงเอ่ยถามร้านขายผ้าไหมแห่งต่อไป และเสวี่ยหยวนจิ้งก็ไม่มีทีท่าว่าจะเอ่ยเกลี้ยกล่อมเธอสักนิด ได้แต่เดินไปด้วยเท่านั้น

หลังจากถูกปฏิเสธห้าครั้งติดต่อกัน เสวี่ยเจียเยว่ก็มายืนอยู่หน้าประตูร้านขายผ้าไหมชื่อ ‘รุ่ยซิงหลง’ และเอ่ยถามเสวี่ยหยวนจิ้ง

“ท่านพี่ ท่านว่าครั้งนี้ข้าจะประสบความสำเร็จหรือไม่เจ้าคะ”

เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ได้ตอบไปตรงๆ แต่เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้าจะคอยอยู่ข้างๆ เจ้าไปตลอดทาง”

เขาอาจจะช่วยได้ไม่มากในตอนนี้ แต่สามารถอยู่เคียงข้างเสวี่ยเจียเยว่ได้เสมอ และจะพยายามไปพร้อมกับอีกฝ่าย

[1] ผู้ที่สามารถสอบได้ที่หนึ่งทั้งสามการสอบของราชสำนัก