บทที่ 102 เปิดประตูใหญ่แห่งโลกใหม่

บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน

บทที่ 102 เปิดประตูใหญ่แห่งโลกใหม่
ตอนนี้ศิษย์สายตรงทุกคนรู้ชื่อของบุตรศักดิ์สิทธิ์หมดแล้ว

ดูท่าแผนการเปลี่ยนวงรัศมีเป็นสีเขียวจะดำเนินการต่อไปไม่ได้แล้ว เสิ่นเทียนเกิดความตื่นตัวขึ้นมาในใจ

เขายิ้มน้อยๆ “ข้าก็เคยได้ยินชื่อเสียงโด่งดังของศิษย์น้องอวิ๋นตี๋จากศิษย์พี่หญิงอวิ๋นซีเหมือนกัน”

เมื่อได้ฟังคำพูดของเสิ่นเทียน ใบหน้าหล่อเหลาของฉินอวิ๋นตี๋มีความจนปัญญาเสี้ยวหนึ่ง “ศิษย์พี่หญิงต้องบอกว่าข้าเดินทางไม่ถูกต้องแน่ๆ!”

ใบหน้าฉินอวิ๋นตี๋ไม่มีความแปลกใจใดๆ เลย เพราะคนที่พูดเช่นนี้ไม่ได้มีเพียงจางอวิ๋นซีคนเดียว พูดได้ว่าทั้งแดนศักดิ์สิทธิ์ ผู้อาวุโสแทบทุกคนต่างมองไม่ดีที่เขาศึกษายันต์อัสนี

ดังนั้นศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์คนใหม่ท่านนี้ก็จะมาให้ข้าทำงานความคิดเหมือนกันหรือ

คิดได้ดังนั้น ฉินอวิ๋นตี๋พลันรู้สึกเบื่อหน่ายไร้รสชาติ

ทว่าเสิ่นเทียนกลับยิ้ม “ศิษย์น้องเข้าใจผิดแล้ว ความหมายของศิษย์พี่คือข้าสนใจศึกษายันต์อัสนีมากต่างหาก”

คำพูดของเสิ่นเทียนทำให้ฉินอวิ๋นตี๋ตาเป็นประกาย เหมือนเจอคนรู้ใจ “ศิษย์พี่จริงจังรึ”

เสิ่นเทียนพยักหน้า “ความรุ่งโรจน์ในชั่วพริบตาของระเบิดยันต์อัสนีเรียกได้ว่าเป็นศิลปะ”

ฉินอวิ๋นตี๋อึ้งไปนิดๆ “ศิลปะ ศิลปะอะไร”

เสิ่นเทียนขบคิดแล้วอธิบาย “ก็ศิลปะไง~ สิ่งที่เจ้าคิดว่างดงามที่สุดนั่นคือศิลปะ”

ฉินอวิ๋นตี๋เหมือนเข้าใจอะไรบางอย่าง ดวงตาตี่ในตอนแรกค่อยๆ กว้างขึ้น

ในนั้นมีประกายความตื่นเต้น เฝ้ารอคอย โหยหาและแสวงหาขยับวูบวาบอยู่

เขาพูดงึมงำกับตัวเองว่า “ข้าเข้าใจแล้ว ศิลปะก็คือการระเบิด!”

…..

เอ่ยจบ ฉินอวิ๋นตี๋มองเสิ่นเทียนด้วยความซาบซึ้งใจ นั่นคือความรู้สึกที่ได้เจอคนรู้ใจ

เขาสูดลมหายใจเข้าลึกทีหนึ่ง “ศิษย์พี่ท่านบอกว่าท่านชอบศึกษายันต์อัสนี นี่จริงรึ”

เห็นฉินอวิ๋นตี๋พูดจาสลับมั่วไปหมดแล้ว เสิ่นเทียนก็กระอักกระอ่วนขึ้นมา “ถ้าศิษย์น้องยินดีก็มาแลกเปลี่ยนกันได้”

เสิ่นเทียนเดินมาริมทะเลสาบกระจกจันทราช้าๆ ก่อนหยิบลูกประคำเก้าโอรสออกมาวางตรงกลางมือเบาๆ ทันใดนั้นลูกประคำพลันส่องอ่อนไปกลางทะเลสาบกระจกจันทรา

จากนั้นน้ำทะเลสาบกลุ่มหนึ่งลอยขึ้นจากกลางทะเลสาบ ลอยอยู่ตรงหน้าเสิ่นเทียนกับฉินอวิ๋นตี๋

ฉินอวิ๋นตี๋ตะลึงไปเล็กน้อย ไม่เข้าใจนิดๆ ว่าศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์คนใหม่นี้คิดจะทำอะไรกันแน่

“เมื่อครู่ข้าสังเกตมาสักพักแล้ว ศิษย์น้องเหมือนจะยึดมั่นในการเขียนอักขระยันต์อัสนีกับการวางตำแหน่งค่ายกล นี่เป็นวิธีที่เสริมอานุภาพให้ยันต์อัสนีได้จริงๆ แต่ไม่ใช่ทางเลือกเดียวของศิษย์น้อง บางครั้งถ้าศิษย์น้องยินดีจะเปลี่ยนแนวทางก็อาจจะพบโลกใหม่ก็ได้!”

เสิ่นเทียนยิ้มไปพลางส่งพลังสายฟ้าเข้าไปในน้ำทะเลสาบกลุ่มนั้นไปพลาง

ทันใดนั้นกลุ่มน้ำทะเลสาบสูงเท่าคนนั้นเริ่มมีฟองอากาศผุดออกมาไม่หยุด เมื่อฟองอากาศมากขึ้นเรื่อยๆ ปริมาตรของน้ำทะเลสาบกลุ่มนั้นก็เล็กลงเรื่อยๆ เช่นกัน

ฉินอวิ๋นตี๋เหม่อมองการควบคุมของเสิ่นเทียน เวลานี้ไม่เข้าใจเลยว่าศิษย์พี่ท่านนี้จะทำอะไรกันแน่ อีกทั้งน้ำทะเลสาบเยอะขนาดนั้น เหตุใดถึงหายไปต่อหน้าสองคนในพริบตา!

ศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์ท่านนี้กำลังแสดงกลอุบายมหัศจรรย์อะไรกันแน่

……..

ในที่สุด น้ำกลุ่มใหญ่นั้นก็หายไปจนหมด แทนที่ด้วยกลุ่มอากาศที่หดเหลือเท่ากำปั้นลอยอยู่เหนือลูกประคำ

และเพราะกลัวว่าจะเห็นไม่ชัด เสิ่นเทียนเลยให้จิ่วเอ๋อร์เพิ่มพลังวิญญาณสีเขียวตรงมุมกลุ่มอากาศนั้นเป็นพิเศษ

เสิ่นเทียนเห็นฉินอวิ๋นตี๋ทำหน้างงแล้วก็เผยรอยยิ้มลึกลับ “ต่อไปจะเป็นช่วงเวลาประจักษ์ปาฏิหาริย์”

เอ่ยจบ ลูกประคำส่งแรงดีดออกมา ดีดกลุ่มอากาศสีเขียวนั้นไปยังทะเลสาบกระจกจันทรา จากนั้นปลายนิ้วเสิ่นเทียนจุดประกายแสงอัสนีสีขาวสายหนึ่ง ขยับวูบวาบไม่มั่นคง

ฉินอวิ๋นตี๋เห็นชัดเจนว่านั่นเป็นเพียงวิชาอัสนีที่ตื้นเขินที่สุดของแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ ไม่มีธาตุใดๆ อยู่ อีกทั้งเขายังสังเกตเห็นว่าเสิ่นเทียนรวมสายฟ้านี้ออกมาน่าจะมีพลังวิญญาณราวๆ หลอมปราณขั้นหนึ่ง

ดังนั้น ศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์จะทำอะไรกัน!

ช่วงที่ฉินอวิ๋นตี๋เกิดความสงสัยขึ้นในใจนั้น กลับเห็นว่าประกายสายฟ้าตรงปลายนิ้วเสิ่นเทียนพลันยิงไปทางกลุ่มแสงสีเขียว

สายฟ้านั้นดูเล็กและเปราะบางมาก เหมือนจะหายไปได้ตลอดเวลา ทว่ามันก็ยังข้ามผ่านอากาศแทงเข้าไปกลางกลุ่มแสงสีเขียวนั้น

พริบตาเดียว แสงสีฟ้าสว่างพร่างพราวระเบิดออกโดยพลัน

ทะเลสาบกระจกจันทราเหมือนมีดอกบัวฟ้าเบ่งบาน แสงสว่างจ้าเสียจนฉินอวิ๋นตี๋แสบตานิดๆ ตามด้วยเสียงดังสนั่น เกิดคลื่นลูกใหญ่ขึ้นบนผิวทะเลสาบ

หมอกดำอบอวลอีกครั้ง ปรากฏสายรุ้งขึ้นกลางฟ้าดินอีกครา

…..

ฉินอวิ๋นตี๋มองเสิ่นเทียนที่ยืนอยู่กลางสายรุ้งอย่างเฉยชาก่อนจะพูดด้วยความมึนงง “เป็นไปได้อย่างไร!”

เขาเห็นชัดเจนว่าประกายสายฟ้าที่พันรอบปลายนิ้วเสิ่นเทียนมีความแกร่งเพียงหลอมปราณขั้นหนึ่ง

เหตุใดหลังเขายิงประกายสายฟ้านั้นออกไปแล้วถึงเกิดอานุภาพระเบิดน่าสะพรึงเช่นนี้

นี่ไม่สมเหตุสมผลเลย!

ฉินอวิ๋นตี๋รู้สึกเหมือนตนคว้าเจออะไรบางอย่าง

แต่เขาก็รู้สึกอีกว่ามีเยื่อบางหนึ่งชั้นขวางไม่ให้เขาเดินหน้าไป

ดวงตาตี่ในตอนแรกยามนี้เบิกตาโตเหมือนกระดิ่งทองแดง จ้องเปลวไฟสีฟ้ากลุ่มนั้น

เขาพูดด้วยความลุ่มหลง “เป็นไปได้อย่างไร อานุภาพนี้มากพอจะคุกคามถึงผู้ฝึกบำเพ็ญระดับสร้างฐาน แกร่งเกินไปแล้ว!”

มีอำนาจคุกคามถึงผู้ฝึกบำเพ็ญระดับสร้างฐานไม่เท่าไร ปัญหาคือยันต์อัสนีนี้สามารถผลิตได้ ขอแค่ใช้พลังวิญญาณบางส่วนก็ทำให้ผู้ฝึกบำเพ็ญระดับหลอมปราณทำอันตรายระดับสร้างฐานได้!

ฉินอวิ๋นตี๋ไม่โง่ เขาก็รู้ว่าเสิ่นเทียนกำลังสาธิตสุดยอดวิชาแขนงหนึ่งอยู่ และรากฐานของวิชาเลิศล้ำนี้ก็มาจากกลุ่มอากาศที่คลุมด้วยสีเขียวนั้น

หากผลิตและกักเก็บกลุ่มอากาศแบบนั้นไว้ได้ ก็จะเรียกออกมาได้จำนวนมากในการต่อสู้

อย่าว่าแต่ระดับสร้างฐานเลย ต่อให้เจอผู้แข็งแกร่งระดับแก่นพลังทองที่ค่อนข้างอ่อนแอก็ค่อนข้างน่าปวดหัวเหมือนกัน!

ถ้าต้นทุนต่ำพอ ก็จะทำให้ศิษย์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ทุกคนติดอาวุธยันต์อัสนีแบบนี้ได้ ถึงตอนนั้นกำลังรบของทั้งแดนศักดิ์สิทธิ์จะพุ่งพรวดในเวลาอันสั้น!

ฉินอวิ๋นตี๋พูดด้วยความตื่นเต้น “ศิษย์พี่ กระบวนท่าเมื่อครู่เรียกว่าอะไรรึ”

เสิ่นเทียนเผยอมุมปากกล่าว “อยากเรียนรึ ข้าจะสอนเจ้าเอง!”

…..

ใช่ โชคลิขิตที่เสิ่นเทียนเห็นจากวงรัศมีของฉินอวิ๋นตี๋ก็คือฉินอวิ๋นตี๋มีโอกาสพบปรากฏการณ์น้ำถูกแยกด้วยไฟฟ้าโดยบังเอิญหนึ่งครั้ง

เมื่อไฟฟ้าสัมผัสกับน้ำเป็นเวลานานก็จะแบ่งน้ำเป็นไฮโดรเจนและออกซิเจน

และเมื่อไฮโดรเจนและออกซิเจนที่มากพอสัมผัสกันในที่แคบและจุดไฟขึ้นมาก็จะเกิดการระเบิดอย่างรุนแรง

ฉินอวิ๋นตี๋เคยมีครั้งหนึ่งที่วางค่ายกลยันต์อัสนีบนทะเลสาบกระจกจันทราและไฟฟ้าแยกไฮโดรเจนและออกซิเจนออกมาจำนวนมาก จากนั้นเขาก็วางค่ายกลยันต์ระเบิดอัสนีอีกครั้งตามอำเภอใจทันที จากนั้นจุดชนวนระเบิดกลางไฮโดรเจนและออกซิเจน

ด้วยเหตุนี้อานุภาพระเบิดของค่ายกลครั้งนั้นจึงเหนือกว่าที่เขาคาดการณ์เอาไว้มาก

หลายเดือนมานี้ ฉินอวิ๋นตี๋หวังว่าจะให้เกิดปาฏิหาริย์แบบครั้งนั้นด้วยความระมัดระวังมาตลอด

น่าเสียดายแค่ว่ายิ่งเขาระวังมากเท่าไร เวลาในการวางค่ายกลก่อนระเบิดสองครั้งยิ่งห่างกันมากเท่านั้น

รอจนไอน้ำ ไฮโดรเจนและออกซิเจนเหนือทะเลสาบกระจกจันทราหายไปหมดแล้วก็ไม่อาจเกิดปาฏิหาริย์ขึ้นอีก แน่นอน ในความคิดฉินอวิ๋นตี๋มีความยึดมั่นที่จะแสวงหาแสงสว่างนั้น

จึงทดลองในทะเลสาบกระจกจันทราเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ช้าก็เร็วต้องมีสักวันที่จะพบความลับในนั้น และสิ่งที่เสิ่นเทียนทำคือแค่ใช้ฐานะของนักเรียนวิทยาศาสตร์ช่วยให้เจ้านี่เปิดความรู้วิทยาศาสตร์ก่อนเวลาเท่านั้น

ความจริงแล้วเสิ่นเทียนก็เฝ้ารอคอยมากเช่นกันว่า หลังจากเด็กหนุ่มผู้ลุ่มหลงในการ ‘วิจัย’ คนนี้เปิดประตูโลกใหม่แล้ว จะเดินบนเส้นทางนี้ไปได้ไกลเท่าไร

พึงรู้ไว้ว่าในโลกก่อนของเสิ่นเทียนนั้น ระเบิดหรืออาวุธปืนถูกศึกษาวิจัยไปจนถึงระดับที่ค่อนข้างแข็งแกร่งแล้ว

ในโลกนี้ ศาสตร์เซียนกับวิทยาศาสตร์จะผสานกันด้วยมือของฉินอวิ๋นตี๋และเปล่งประกายความรุ่งโรจน์และสีสันใหม่หมดได้หรือไม่

เสิ่นเทียนอยากรู้ยิ่งนัก!

…………………………………..