เล่มที่ 4 บทที่ 112 ไร้ยางอาย

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

แต่ตอนนี้นางจะขุดบาดแผลของพี่เยว่ถิงขึ้นมาได้อย่างไร?

    “เจ้าหลบออกไปเดี๋ยวนี้ เยว่ถิง เจ้าบอกข้ามาเดี๋ยวนี้ เหตุใดของประจำกายตัวเจ้าจึงไปตกอยู่ในมือขององครักษ์! พวกเราสกุลเยว่ถูกเจ้าทำให้เสียชื่อหมดแล้ว”

    ฮูหยินเยว่ผลักมือของหลินจงอวี้ออก ก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปด้วยความโกรธเกรี้ยว

    เสียงร้องโวยวายของนางดึงดูดความสนใจจากคนจำนวนมาก

    หลินเมิ้งหยาเองก็ได้เห็นเหตุการณ์ด้านนอกแล้ว ทุกคนกำลังชี้มือชี้ไม้เข้ามาภายใน

    ตกลงนางเป็นแม่แบบไหนกันแน่ ลูกสาวของตนเองถูกข่มขืน แต่นางกลับร้องโหวกเหวกโวยวายเหมือนกลัวจะไม่มีใครรู้เรื่องนี้อย่างไรอย่างนั้น

    “ท่านป้าเยว่ อย่าสาวไส้ให้กากินเลย เรื่องนี้เงียบไว้จะดีที่สุด”

    หลินเมิ้งหยามีใบหน้าเย็นชา ไม่เคยเจอแม่แบบนี้มาก่อน

    “ฮึ เจ้าบอกมิใช่หรือว่าพี่ชายของเจ้าหมั้นหมายกับเยว่ถิงเอาไว้แล้ว? เช่นนั้นนางก็มิใช่คนของสกุลเยว่อีกต่อไป ในเมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น พวกเจ้าสกุลหลินคงยังต้องการนางอยู่ใช่หรือไม่?”

    เหตุใดบนโลกใบนี้จึงมีมารดาเช่นนาง

    หรือผลประโยชน์ที่ได้รับจากฮองเฮาจะสามารถซื้อกระทั่งชีวิตของลูกสาวนางได้?

    เพลิงพิโรธพวยพุ่งขึ้นในใจของหลินเมิ้งหยา นางผิดเอง หากรู้ว่าแม่ของเยว่ถิงจะประสงค์ร้ายเช่นนี้ นางคงจะรับตัวเยว่ถิงมาก่อนหน้านั้นแล้ว

    “ดี นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เยว่ถิงมิใช่ลูกสาวของท่านอีก ข้าจะพานางไปด้วย หลบไป”

    หลินเมิ้งหยาพยุงร่างอ่อนยวบยาบของเยว่ถิงขึ้นมา และกำลังจะพาจากไป

    มองดูหยาดน้ำตาบนใบหน้าของพี่เยว่ถิง คนบริเวณรอบๆ ชี้มือชี้ไม้มาทางนาง ราวกับต้องการตำหนิติเตียนหญิงสาวผู้น่าสงสารคนนี้

    “หุบปากให้หมด!”

    ด้านนอกกระโจม หลินจงอวี้ส่งเสียงตะคอก คนเหล่านั้นปิดปากสนิท

    มองดูใบหน้าหล่อเหลาของหนุ่มน้อย เมื่อได้เห็นท่าทางเย็นชาของเขา คนเหล่านั้นจึงสงบลง

    “พี่เยว่ถิง พวกเราไปกันเถิด”

    ช่วยเยว่ถิงสวมใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย หลินเมิ้งหยาไม่อยากให้เยว่ถิงต้องทนทุกข์ทรมานอีกแล้ว

    ร่างกายบอบบางพยุงร่างของเยว่ถิงเพียงลำพัง ขณะที่เดินผ่านฮูหยินเยว่ที่กำลังโกรธเกรี้ยว ใบหน้านวลของหลินเมิ้งหยาพลันเย็นชาราวกับน้ำแข็ง

    “อย่าคิดว่าข้าจะปล่อยคนที่ทำร้ายพี่เยว่ถิงไป จงจำเอาไว้ พวกเราสกุลหลินล้วนเป็นคนอำมหิต พวกเราจะไม่หยุดจนกว่าศัตรูของเราจะตาย”

    ดวงตาที่เคยสุกสกาวราวหยดน้ำกลับกลายเป็นเย็นชา

    ทั้งที่เป็นเพียงหญิงสาวร่างกายบอบบาง ทว่าคำพูดของนางประหนึ่งใบมีดอันแสนคมกริบ แม้แต่ฮูหยินเยว่เองยังต้องขยับเท้าถอยหลัง

    “เจ้า…บังอาจพูดกับข้าเช่นนี้เชียวหรือ! คิดหรือว่าอ๋องอวี้จะปกป้องเจ้าได้?”

    เย็นชาเหลือเกิน ร่างของฮูหยินเยว่หดลงเล็กน้อย แต่ถึงกระนั้นยังคงยืดอกตอบโต้ฝีปากกับหลินเมิ้งหยา

    “ปกป้องได้หรือไม่ได้ไม่ใช่เรื่องที่ท่านต้องมาสนใจ พวกเราสกุลหลินไม่มีทางปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปง่ายๆ แน่นอน ฮูหยินเยว่ ข้าไม่สนใจหรอกว่าท่านมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือไม่ แต่ความโกรธของพวกเราสกุลหลิน ท่านไม่มีทางรับผิดชอบไหวแน่นอน”

    สกุลหลินเปรียบเสมือนเสือหมอบในราชวงศ์ ยิ่งไปกว่านั้นยังปฏิบัติตนอยู่ในครรลองครองธรรม

    แม้แต่ซ่างกวนชิงและหลินเมิ้งหวู่เองก็ต้องอยู่ภายใต้การปกครองของท่านพ่อ

    สกุลหลินมีทายาทสืบทอดรุ่นต่อรุ่นเป็นร้อยปี อีกทั้งยังเป็นสกุลเดียวที่อยู่รอดมาได้นับตั้งแต่ก่อตั้งต้าจิ้น

    ตั้งแต่ก่อตั้งต้าจิ้น อำนาจทางการทหารตกอยู่ในมือสกุลหลินมาโดยตลอด

    ไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนกี่บัลลังก์ สกุลหลินยังคงยืนหยัดอยู่ได้เสมอ สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความน่าเกรงขามของสกุลหลิน

    ดังนั้น ฮองเฮาจึงพยายามวางแผนส่งน้องสาวตนเองมาแต่งงานกับท่านพ่อ

    สาเหตุหลักก็คงเพื่อควบคุมอำนาจสกุลหลิน

    แต่สกุลหลินที่สงบนิ่งราวเสือหมอบเสมอมา กลับทำให้ผู้อื่นลืมไปว่าพวกเราสกุลหลินถือครองอำนาจทางการทหารมากน้อยเพียงไหน

    แม้แต่ฮองเฮา หากทำให้สกุลหลินขุ่นเคือง เกรงว่าจะหนีเพลิงแห่งความแค้นไม่พ้น

    “ฮึ หากเจ้าไม่พูดข้าเองก็คงลืมไปแล้ว เจ้าคิดว่าสกุลหลินจะเบ่งอำนาจไปได้อีกนานแค่ไหนกันเชียว?”

    น้ำเสียงของฮูหยินเยว่เจือไว้ซึ่งความสุขใจทั้งที่ผู้อื่นกำลังมีความทุกข์ ดวงตาของหลินเมิ้งหยาสั่นไหวเล็กน้อย สตรีตรงหน้าจึงเงียบลง

    ทว่า หลินเมิ้งหยาที่ได้ยินคำพูดของนางรีบเอ่ยถาม

    “หมายความว่าอย่างไร?”

     ฮูหยินเยว่หลบตาหลินเมิ้งหยา ทว่าสายตากระหยิ่มยิ้มย่องกลับเผยความจริงในใจของนางออกมา

    ข้างกายของหลินจงอวี้คือทหารองครักษ์ราวสิบกว่าคน ทุกคนเข้ามาห้อมล้อมบริเวณนี้เอาไว้ หลินเมิ้งหยามองดู นางรู้สึกคุ้นหน้าของคนเหล่านั้น

    ที่แท้ พวกเขาคือคนที่หลงเทียนอวี้ส่งมาคุ้มครองดูแลนาง

    “พระชายา”

    ทันทีที่หลินเมิ้งหยาปรากฏตัว ทหารสิบกว่าคนถวายคำนับ หลินจงอวี้ยืนอยู่ด้านหน้าสุดด้วยสีหน้าเย็นชา

    “กลับไปยังกระโจมของพวกเราเถิด เสี่ยวอวี้ เจ้ามาพยุงพี่เยว่ถิง ข้าจะไปหาท่านอ๋อง”

    ตั้งแต่ออกจากกระโจม ร่างกายของพี่เยว่ถิงสั่นเทาอยู่ตลอดเวลา

    บรรยากาศกลางป่ายามค่ำคืนเย็นยะเยือก แต่ต่อให้เย็นขนาดไหน ก็ยังมิอาจเทียบได้กับใจคน

    “นายหญิง พวกเราจัดการเองเจ้าค่ะ”

    เมื่อเงยหน้าขึ้น ใบหน้าคุ้นเคยของป๋ายจีปรากฏตรงหน้า

    ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก หลินเมิ้งหยาก้มหน้าปลอบโยนเยว่ถิง ก่อนจะส่งมอบนางให้กับป๋ายจี

    เสื้อคลุมสีเทาห่อหุ้มร่างของเยว่ถิงเอาไว้ แต่ถึงกระนั้นก็ยังมิอาจปิดบังสายตาของคนเหล่านั้นได้

    สายตาเหยียดหยามเหล่านั้น

    หลินเมิ้งหยารู้สึกเจ็บปวดใจเหลือเกินเมื่อนึกถึง

    ตอนนี้แม้จะหาข้ออ้างมาปกปิดก็คงมิทันแล้ว

    ป๋ายซ่าวเองก็นำเสื้อคลุมสีแดงมาคลุมร่างของนางไว้เพื่อป้องกันความหนาว

    เสือตัวนั้นถูกไล่ต้อนเข้าไปในป่าลึก ทุกคนพากันไปไล่ล่าเสือตัวนั้น

    ดวงตาของหลินเมิ้งหยาหลงเหลือไว้เพียงความเย็นชา เดินออกไปยังกระโจมอันหรูหรา

    ภายในตอนนี้มีเสียงเพลงดังออกมาเบาๆ เสียงหัวเราะคิกคักของหญิงสาว เสียงพึงพอใจของพวกผู้ชายไม่รู้จักพอ

    บางที คนที่อยู่ภายในคงเชื่อมั่นในฝีมือของตัวเองมาก ดังนั้นด้านนอกจึงไม่มีองครักษ์แม้แต่คนเดียว

    “องค์ชายรองดูจะสนุกสนานมากเลยนะเพคะ เหตุใดจึงไม่ไปเข้าร่วมการล่าเสือเล่า?”

    บังอาจลงมือทำร้ายเยว่ถิง คนผู้นั้นจะต้องไม่ใช่คนธรรมดา

    ครุ่นคิด มีเพียงองค์ชายรองแห่งซีฟานเท่านั้นที่จะทำเรื่องเช่นนั้นได้

    ภายในกระโจม มือซ้ายและขวาของหูลู่หนานโอบกอดหญิงสาวสองคน สายตาโลมเลีย รอยยิ้มหื่นกระหาย

    ทว่า เขาพลันเหลือบเห็นร่างบางสวมใส่เสื้อคลุมสีแดงฉาน ขยับฝีเท้าก้าวเข้ามาทีละก้าว

    ผิวสีขาวดุจหิมะ แม้จะเป็นหญิงสาวที่ผิวพรรณดีที่สุดแห่งซีฟาน เกรงว่าก็มิอาจเนียนนุ่มดังเช่นหญิงสาวตรงหน้าได้

    รูปร่างหน้าตางดงาม แม้จะไม่ร้อนแรงเท่าหญิงสาวในอ้อมกอด แต่ถึงกระนั้นก็มากเพียงพอที่จะกระตุ้นสัญชาตญาณของบุรุษ

    แต่สิ่งที่ทำให้ไม่อาจละสายตาไปจากนางได้นั่นคือดวงตาเปล่งประกาย ทว่าเย็นชาจนน่าขนลุกคู่นั้น

    เพียงสบตา หัวใจของเขาพลันอ่อนยวบ

    เขาฉีกยิ้มกว้าง แม้จะเป็นสาวงามที่สุดในวัง แต่ก็มิอาจเทียบนางได้เลยแม้แต่น้อย

    สตรีงดงามเช่นนี้ เขารู้สึกอยากครอบครองนางตั้งแต่แรกเห็น

    แต่นางมักจะหลบเลี่ยงเขาเสมอ อีกทั้งยังใช้มันสมองของตนเองทำให้เขากลายเป็นเพียงของเล่นเท่านั้น

    หูลู่หนานยิ้มกริ่ม สายตามิอาจละไปจากชายกระโปรงของหลินเมิ้งหยาได้

    “เสือมีอะไรน่าสนใจกัน ข้าชอบร่ำสุรากับสาวงามมากกว่า”

    นักเต้นระบำถอนตัวออกจากห้องไปอย่างรู้หน้าที่ ภายในกระโจมจึงเหลือเพียงหูลู่หนานและหลินเมิ้งหยา

    “เจ้าเป็นตัวการที่ทำร้ายพี่เยว่ถิงใช่หรือไม่?”

    เมื่ออยู่ต่อหน้าหูลู่หนาน หลินเมิ้งหยาจำเป็นต้องควบคุมตนเองเอาไว้มิให้พุ่งเข้าไปสังหารเขาในทันที

    “เยว่ถิง? อ๋อ คุณหนูสกุลเยว่ผู้นั้นน่ะหรือ เป็นหญิงสาวที่อ่อนโยนทั้งกายและใจ องครักษ์ของข้ายังคงโหยหานางมิรู้ลืม”

    กระตุกยิ้มมีเลศนัยขึ้นที่มุมปาก ราวกับว่ากำลังหวนนึกถึงความทรงจำอันน่าพึงพอใจ

    ท่าทีของหูลู่หนานเสมือนคนเมา มือของหลินเมิ้งหยากำเข้าหากันแน่น

    เล็บคมยาวจิกแทงเข้าไปในฝ่ามือของตนเอง ผ้าไหมสีแดงสดพลิ้วไหวบนเรือนร่างสีขาวดุจหิมะ สีแดงของเสื้อคลุมพลันปกคลุมรอยแดงบนผิวหนัง

    “นางคือว่าที่เจ้าสาวของพี่ชายข้า”

    หลินหนานเซิง บุรุษที่ทุกคนล้วนรู้จักถึงความเก่งกล้าและหล่อเหลา

    หูลู่หนานระเบิดเสียงหัวเราะ ใบหน้าแสดงให้เห็นถึงความสะใจ

    “พี่ชายของเจ้า? หลินหนานเซิง? ฮ่าๆ เขาถือว่าเป็นคนที่มีพรสวรรค์คนหนึ่ง แต่น่าเสียดาย สตรีของเขากลับกลายเป็นหญิงสาธารณะไปเสียแล้ว ไม่สิ เขายังไม่ทันจะได้ลิ้มลองก็ถูกพวกข้าชิงตัดหน้าไปก่อนแล้ว”

    เสียงหยิ่งยโสโอ้อวด เห็นได้ชัดว่าหูลู่หนานตั้งใจทำเช่นนั้น

    สีหน้าของหลินเมิ้งหยายิ่งไม่น่ามอง ทว่าเพียงชั่วอึดใจต่อมา รอยยิ้มมีเลศนัยพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้า

    “เจ้ายิ้มอะไร?”

    เคยเห็นรอยยิ้มของสาวงามมามากมาย ทว่ารอยยิ้มของหญิงสาวตรงหน้า เสมือนรอยยิ้มที่พร้อมจะกระชากวิญญาณเข้าสู่โลกแห่งความตาย

    “ข้ายิ้มเพราะขนาดความตายกำลังมาเยือน แต่เจ้าก็กลับไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย”

    ส่งเสียงเย็นชา ไร้ซึ่งความอ่อนโยน

    หลินเมิ้งหยาในเวลานี้งดงามตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ทว่าความงามนั้นกลับเจือไว้ซึ่งยาพิษ

    อยู่ๆ หูลู่หนานก็รู้สึกสนใจขึ้นมา ก่อนลุกขึ้นจากที่นั่งของตนเอง ขยับเท้าเข้ามาทีละก้าว ก่อนจะหยุดยืนตรงหน้านาง

    เขารู้ดี นางไม่เหมือนคนอื่น

    บางที นางคงเป็นคนประเภทที่ยอมพลีชีพได้เพื่อเป้าหมายของตนเอง

    “โอ้ว? เจ้าลองบอกให้ข้าฟังหน่อยสิว่าความตายของข้าจะมาเยือนได้อย่างไร?”

    หูลู่หนานหยักยิ้มยั่วยุ ราวกับเขามั่นใจว่าหลินเมิ้งหยามาเพียงเพื่อเจรจากับเขาเท่านั้น

    “เจ้ากล้าเข้ามายุ่งกับคนของสกุลหลิน เจ้าสมควรตาย”

    ริมฝีปากสีแดงดั่งลูกอิงเถาทำให้ความเป็นความตายที่ออกมาจากปากเป็นเรื่องมีเสน่ห์เย้ายวน ทั้งสองดูไม่เหมือนศัตรูคู่อาฆาตกันเลยแต่น้อย

    “ข้าได้ยินมาว่าเยว่ถิงยังมีน้องสาวอีกหนึ่งคน อีกทั้งเจ้ายังมีสาวใช้หน้าตางดงามดั่งหยกอีกสี่คน จริงสิ น้องชายที่เจ้ารับอุปการะมาด้วยอีกหนึ่ง แม้ข้าจะไม่ชอบบุรุษ แต่ลิ้มลองดูสักครั้งก็มิใช่เรื่องเสียหายอันใด”

    ยิ่งพูดยิ่งไร้ยางอาย ความโกรธในใจหลินเมิ้งหยาระเบิดออก

    “เพราะเหตุใดเจ้าต้องทำร้ายคนของข้า?”

    บางที ตอนแรกหูลู่หนานอาจเพียงแค่ลักพาตัวนางไปโดยไม่มีวัตถุประสงค์อื่น ทว่าตอนนี้นางมั่นใจเหลือเกินว่าชายคนนี้พุ่งเป้ามาที่นางโดยตรง

    “นั่นก็เพราะเจ้าคือรางวัลในสงครามของข้า เจ้าและเจียงซานล้วนเป็นของข้า”

    ในที่สุดหูลู่หนานก็พูดความจริงออกมา หลินเมิ้งหยาหยักยิ้มเย็นชา

    “ถ้าหาก…”

    “อ๊าก….”