บทที่ 109

ชิวเจิ้นติดตามถังหยินมานานมากที่สุด ดังนั้นจึงเข้าใจความคิดของชายหนุ่ม “คงไม่เป็นเช่นนั้นหรอก เพราะมีนายท่านอยู่ พวกเราถึงสามารถต้านทานพวกมันได้ ขืนท่านถูกย้ายไป แล้วแบบนี้ใครจะมาปกป้องที่แห่งนี้กันเล่า ?”

ถังหยินหัวเราะอย่างภาคภูมิใจ “ถ้างั้นข้าจะทำตามแผนของเจ้า แต่ทว่าเรื่องข้อความในจดหมายนั้น เห็นทีจะต้องให้เจ้าช่วยข้าร่างข้อความสำหรับส่งกลับไปยังเมืองหลวงเสียหน่อยแล้ว”

“แน่นอนขอรับ” เรื่องการเขียนจดหมายรายงานนั้น ชิวเจิ้นถนัดยิ่งกว่าใคร ๆ อยู่แล้ว

เมื่อเสร็จเรื่องนี้แล้ว ถังหยินก็หันไปจัดการงานในเมืองชายแดนอื่น ๆ ต่อ และทำการโยกย้ายกองทหารให้ไปประจำการแต่ละท้องที่

การต่อสู้ครั้งนี้ กองพันที่ 4 และกองพันที่ 5 สูญเสียทหารไป 3 พันนาย ซึ่งรวม ๆ กันแล้วก็มากกว่า 5 พันนายทีเดียวที่เสียไป ทำให้พวกเขาต้องรวบรวมกองกำลังกันใหม่

วันต่อมา กองพลที่ 1 ก็ได้มาถึงชานเมือง เพื่อเดินทางพร้อมกับถังหยินกลับไปยังเมืองเฮิง

ทว่าก่อนที่จะจากไป ชิวเจิ้นก็ได้เห็นว่าชายหนุ่มยังคงแต่งชุดธรรมดาอยู่เลย เขาจึงส่ายหัว และบอกว่ามันไม่เหมาะสม

ถังหยินไม่เข้าใจและมองพร้อมถามขึ้น “ไม่เหมาะสมตรงไหนกัน ?”

ชิวเจิ้นหัวเราะ ถ้าเป็นเวลาปกติ ขุนนางแบบถังหยินนั้นจะต้องใส่ชุดผ้าแพรไหม ทว่าตอนนี้ชุดของเขานั้นกลับต่างออกไป มันเหมือนกับว่าเขาจะไปเที่ยวมากกว่า ถ้าขืนเป็นแบบนี้ละก็ พวกชาวเมืองจะต้องชื่นชมพวกแม่ทัพกับทหารมากกว่าตัวเขาแน่

ถังหยินตะลึงและยักไหล่ให้ “ไม่สำคัญหรอก อีกอย่าง การที่พวกแม่ทัพคนอื่น ๆ ได้รับการชื่นชมก็ดีแล้วมิใช่หรือ ?”

เด็กหนุ่มส่ายหัว “ท่านเข้าใจผิดแล้ว สิ่งที่ท่านต้องการมากที่สุดในตอนนี้ก็คือความเชื่อใจจากผู้คน แต่การที่ท่านทำตัวแบบนี้ ใครที่ไหนเขาจะเชื่อใจท่านกันเล่า ? ถ้าท่านต้องการจะยิ่งใหญ่ ก็มีแต่จะต้องได้รับการยกย่อง และทำให้คนที่ยกยอท่านรู้สึกปลอดภัยและเชื่อใจท่านเท่านั้น !”

อย่างนี้นี่เอง ถังหยินไม่คิดว่าชิวเจิ้นจะวางแผนไว้ไกลขนาดนั้น เขาพยักหน้าให้ “เจ้าพูดถูก งั้นข้าควรใส่ชุดเกราะสินะ ?”

“ใช่เลย !”

“ตกลง !”

ถึงชายหนุ่มจะเป็นคนงี่เง่า แต่เขาก็ยังฟังคำแนะนำของสหาย ดังนั้นเขาจึงรีบใส่ชุดเกราะสีดำและพกดาบที่มีพู่สีแดงไว้ข้างตัวในทันที

ไม่นานนักพวกเขาก็เดินทางมาถึงเมืองเฮิงในตอนเที่ยงวัน

ทว่าก่อนที่จะเข้าเมืองไป ถังหยินก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่แปลกประหลาด เขาคิดไม่ออกเลยว่า อันใดคือสาเหตุที่ทำให้เมืองอันแสนรุ่งเรืองนี้ เงียบชนิดที่ว่าไม่มีเสียงอะไรส่งออกมาเลยแม้แต่นิดเดียวเช่นนี้

ระหว่างที่กำลังสงสัยอยู่นั้น หยวนจี้ ไป่หยง และคนอื่น ๆ ที่อยู่ในเมืองก็ได้ออกมาต้อนรับเขาอย่างรวดเร็วด้วยรอยยิ้มและการโค้งคำนับ “ยินดีด้วยขอรับ ขอต้อนรับนายท่านกลับสู่เมืองพร้อมกับชัยชนะในครั้งนี้ !”

“ดี ๆ” ถังหยินตอบส่ง ๆ ไปและถาม “ในเมืองนั่น…”

พูดยังไม่ทันจบ หยวนจี้ชิงพูดก่อน “นายท่านรีบเข้ามาเถิด !”

ชายหนุ่มมองเขาอย่างสงสัย ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อดี จึงได้แต่เดินตามพวกเขาไปในเมือง

ถนนหลักของเมืองเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ถังหยินไม่เคยเห็นชาวเมืองจำนวนมากขนาดนี้มาก่อนเลย ที่นี่น่าจะมีประชาชนอาศัยอยู่มากถึง 1 แสนคนเลยทีเดียว

ชายหนุ่มตะลึงกับภาพที่เห็นนี้ ในเวลาเดียวกันก็มีเสียงปรบมือพร้อมกับเสียงตะโกนดังขึ้นมาให้กำลังใจเขา พร้อมกันนั้นก็มีกลีบดอกไม้สีแดงลอยลงมาจากฟากฟ้า

เขานั่งอยู่บนหลังม้า ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองตึกรามบ้านช่องทั้งสองข้างทางที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย มีทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ คนเฒ่าคนแก่มากมายที่พากันโปรยดอกไม้ให้

ชายหนุ่มเอื้อมมือไปจับมัน

การต้อนรับนี้ไม่ได้มาจากทางการ แต่มาจากใจของชาวเมืองล้วน ๆ …นี่เป็นครั้งแรกที่ถังหยินได้เห็นอะไรแบบนี้

ยิ่งได้เห็นภาพตรงหน้านี้ จิตใจของเขาก็ยิ่งตื่นเต้น เพราะไม่ว่าชายหนุ่มจะทำอะไร ก็จะมีแต่เสียงเรียกชื่อให้กำลังใจเขาดังสนั่นตลอดเวลาไม่หยุดหย่อน

ถังหยินมีความสุขมากไปตลอดทาง และเมื่อเขามานั่งที่เก้าอี้ ก็มีข้ารับใช้เอาขนมกับชามาให้

คนที่ตามเขามา ก็พากันหัวเราะขำขันกับท่าทีดังกล่าวของชายหนุ่ม

แต่เดิมนั้นถังหยินเป็นเด็กกำพร้าในป่าเขาลำเนาไพร แต่มาตอนนี้เขากลับกลายเป็นวีรบุรุษที่ทุกคนให้ความสำคัญ ซึ่ง 2 สิ่งนี้มันก็ต่างกันมากเลยทีเดียว มันทำให้เขาทำตัวไม่ถูก

“นายท่าน ข้ามีเรื่องที่ต้องรายงานท่าน 2 อย่าง”

หยวนจี้พูดขึ้น ทำให้ถังหยินได้สติ “เรื่องอะไร ?”

“จดหมายที่ท่านเขียน เพื่อขอให้แม่ทัพอิงปูช่วยเหลือนั้นได้รับการตอบรับแล้ว เนื้อความในนั้นบอกว่าตัวเขานั้นยินดีที่จะช่วยจัดหาซื้อม้าที่นายท่านต้องการให้ และนอกจากนี้ ข้าเองก็ได้ติดต่อกับพ่อค้าจากแคว้นโมให้จัดเตรียมม้าเรียบร้อยแล้วขอรับ”

ถังหยินดีใจมากที่ได้ยินแบบนี้ เขาไม่คิดว่าอิงปูที่พบหน้ากันเพียงไม่กี่วันจะช่วยเขาถึงขนาดนี้ “ข้าต้องขอบคุณแม่ทัพอิงปูอีกครั้งแล้วสินะ”

ว่าแล้วหยวนจี้ก็หยิบเอาจดหมายออกมาฉบับหนึ่ง ยื่นมอบให้กับเจ้านายเขา “นี่คือคำตอบจากแม่ทัพอิงปูขอรับ”

ถังหยินหยิบมันมาแล้วเปิดอ่าน

เนื้อหาก็ไม่มีอะไรมาก มันอัดแน่นไปด้วยลายมือไก่เขี่ยที่อ่านแทบไม่ออก บอกได้เลยว่าอิงปูนั้นไม่ได้เรียนหนังสือมาก่อน มีคำผิดมากมายปะปนไปกับประโยคที่ผิดเพี้ยน หากแต่ถังหยินก็พอจะเข้าใจเนื้อความภายในนั้นได้บ้าง

หลังอ่านจบ ถังหยินก็วางมันลงและถามข้ารับใช้ของเขา “หยวนจี้และข่าวที่ 2 ..”

“กงจู่ได้ทำการสานไมตรีระหว่าง 2 แคว้นเป็นที่เรียบร้อยแล้วขอรับ พวกเขาตกลงที่จะสงบศึกกัน และพวกหนิงที่อยู่ประตูหน้าด่านตงก็ยอมถอยทัพแต่โดยดี ส่วนท่านอ๋องก็ได้ทำการเปลี่ยนตำแหน่งแม่ทัพที่ดูแลประตูตงเป็นเหยาจี้หลีแล้ว”

นี่เป็นเรื่องที่ถังหยินอยากจะได้ยินมากที่สุด ถึงแม้แต่เดิมนั้นหยินโรวเองก็มีโอกาสที่จะทำหน้าที่สำเร็จอยู่แล้ว ทว่ามันก็มีแต่ต้องได้ยินออกมาจริง ๆ เช่นนี้เท่านั้น ที่จะทำให้ความกังวลในใจของเขาผ่อนคลายลงได้

และถ้าเขาจำไม่ผิด แม่ทัพที่ประตูตงคนใหม่นั้นน่าจะเป็นลูกชายคนโตของตระกูลเหลียง คนที่ชิวเจิ้นเคยบอกว่าเป็นสุดยอดแม่ทัพใช่หรือไม่ ?

“ใครคือเหยาจี้หลี ?”

“ท่านอาจจะไม่รู้จัก แต่พ่อตาของเขาน่ะคือคนที่ท่านรู้จักแน่”

“แม่ทัพใหญ่ซ่งเทียนยังไงล่ะ !”

นี่เป็นเรื่องที่ถังหยินไม่รู้มาก่อน เพราะเขาไม่รู้จักซ่งเทียนเลยด้วยซ้ำ

จี้หยาง เหลียง อู่ และซ่ง คือกลุ่มตระกูลที่ทรงอำนาจของแคว้นเฟิง และซ่งเทียนก็คือผู้นำตระกูลซ่ง ซึ่งถ้าเขาจำไม่ผิด ตระกูลนี้นั้นไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การชิงอำนาจ แต่ทำเพียงแค่ดูการนองเลือดนี้อยู่ห่าง ๆ เท่านั้น

ทว่าถึงจะเป็นเช่นนั้น หากแต่ในความคิดของถังหยินนั้น เขากลับคิดว่าตระกูลซ่งนั้นน่ากลัวที่สุดแล้ว เพราะหมาที่ฆ่าคนได้มักจะไม่เห่าพร่ำเพรื่อหรอก

ทว่าประตูตงนั้นห่างจากเขตปิงหยวนมากทีเดียว ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่ใช่อะไรที่เขาต้องสนใจมากนัก

อย่างไรก็ตาม ชิวเจิ้นก็ได้บอกกับเขา “แบบนี้ไม่ดีแน่ ถ้าเหลียงฉียังอยู่ละก็แย่แน่ ๆ แม้ว่าจะเป็นกองทัพที่เกรียงไกรขนาดไหนก็ตาม หากแต่ไม่ใช่กับเหยาจี้หลี เขามีดีแค่หน้าตาเท่านั้นส่วนฝีมือนั้นหาได้มีแววไม่ ถ้าเขาดูแลที่นั่นละก็ มีหวังพวกหนิงได้ฉีกสัญญาแล้วบุกเข้ามาแน่ !”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น จูนัวจึงกล่าวถามด้วยความสงสัย “แล้วเรื่องของที่นั่นเกี่ยวอะไรกับพวกเรากัน ?”

ชิวเจิ้นถามกลับ “พวกเราจะปกป้องตัวเองได้อย่างไร ถ้าเกิดว่าประตูตงแตก ? พวกหนิงสามารถพุ่งทะยานเข้าสู่เมืองหลวงได้ทันทีเลยนะ ถ้าเมืองหลวงพังทลายไป แล้วแบบนี้แคว้นเฟิงจะยังอยู่ได้อีกหรือ ?”

จูนัวเริ่มอับอายที่ได้ยินแบบนี้ แม้ว่าเขาจะเป็นแม่ทัพนายกอง แต่ก็เป็นคนซื่อ ๆ ที่ตรงไปตรงมาด้วยเช่นกัน ดังนั้นเวลาจะพูดอะไรจึงมักที่จะพูดออกไปโดยไม่คิด

ด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย จูนัวจึงได้ถามอีกครั้งว่า “ถ้างั้น นายท่านมีความเห็นเช่นไรกัน ?”

ชิวเจิ้นหัวเราะ และแย่งตอบ “นายท่าน ถึงตำแหน่งของท่านจะสูงก็จริง แต่ท่านก็เป็นแค่ขุนนางตัวเล็ก ๆ เท่านั้น ท่านจะไปเปลี่ยนเรื่องที่ทางราชสำนักตัดสินใจแล้วได้ยังไงกัน แถมถ้าเกิดว่าท่านเดินหมากผิดละก็ มีหวังหัวขาดแน่นอน และยิ่งไปกว่านั้น ท่านก็ไม่ควรจะยื่นมือเข้าไปยุ่งเรื่องการเมืองของทั้ง 4 ตระกูลนี้ด้วย”

“เพราะฉะนั้น นายท่านต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อเป็นการรับประกันอนาคตว่าจะไม่เกิดเรื่องฉุกละหุกอะไรขึ้น !” ชิวเจิ้นกล่าว ก่อนจะชี้ไปยังอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่สิ่งจะพูดได้ต่อหน้าทุกคน