ตอนที่134 แขกVIP

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ตอนที่134 แขกVIP

“นายต้องมานะ รีบมาเลย!”

หลังจากที่หลินชูวโม่ร้องบอกไปแบบนั้น เธอก็กดวางสายทิ้งทันที ไม่ปล่อยให้ฉีเล่ยได้มีโอกาสแม้แต่จะปริปากปฏิเสธ

แน่นอนว่าหากเปิดโอกาสให้เขาพูด ฉีเล่ยต้องปฏิเสธอย่างแน่นอน

แต่การที่เธอรีบกดตัดสายทิ้งแบบนี้แสดงว่าเธอจงใจอย่างชัดเจน

มิหนำซ้ำก่อนหน้านี้ยังบอกอีกว่ามีลูกค้ารายใหญ่รออยู่ ฉีเล่ยรู้สึกเอะใจไม่น้อย ต้องเป็นลูกค้าแบบไหนกันถึงทำให้หลินชูวโม่ดีใจจนเนื้อเต้นได้ขนาดนี้?

ช่างเถอะ ไปก็ไป!

พูดกันตามตรงฉีเล่ยเองก็ค่อนข้างไม่ชอบคลินิกชูวโม่เท่าไหร่นัก เพราะที่นั่นเป็นแหล่งรวมก๊วนสาวๆที่ชอบแทะโลมเขา

ฉีเล่ยถอนหายใจไปเฮือกหนึ่งพร้อมกับเงยหน้าขึ้นบอกกับหลี่ฮั่วเฉินว่า

“อาวุโสหลี่ เพื่อนผมโทรมาบอกว่าขอให้ผมไปพบหน่อย”

หลี่ฮั่วเฉินวางหมากตัวหนึ่งบนกระดานพร้อมกล่าวตอบไปว่า

“ไปเถอะ หนุ่มสาวอย่างเธอควรมีชีวิตเป็นของตัวเอง มีเพื่อนฝูงเยอะเข้าไว้ก็เป็นเรื่องที่ดี”

“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”

“อืม ไปเถอะ”

หลี่ฮั่วเฉินโบกมือให้ แต่จู่ๆก็เอ่ยถามฉีเล่ยขึ้นราวกับเพิ่งจะนึกอะไรขึ้นมาได้

“เดี๋ยวก่อน แล้วนี่เธอจะกลับมาทานข้าวเที่ยงด้วยกันไหม? ถงซีน่าจะกลับมาทานอาหารเที่ยงพร้อมกับพวกเรานะ”

“แล้วผมจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุดครับ”

สีหน้าท่าทางของชายชราดูโล่งใจขึ้นเล็กน้อย

“อืม ไปเถอะ ไปเถอะ แล้วถ้าพอมีเวลาว่างก็ไปทำใบขับขี่ด้วยล่ะ เดี๋ยวฉันซื้อรถให้นายจะได้สะดวกเดินทางไปโน้นนี่”

“ครับ ถ้ามีเวลาว่างนะครับ”

ฉีเล่ยพูดจบก็ลุกขึ้นและเดินจากออกไปทันที

เขาทราบดีว่า ชายชราคนนี้พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อเอาชนะใจเขา โดยไม่มีจุดประสงค์อื่นใดแอบแฝงเลย นอกจากอยากจะให้หลานสาวของตัวเองลงเอยกับผู้ชายดีๆสักคน

เฮ้ออ…

เมื่อแท็กซี่แล่นเข้าไปจอดเทียบประตูคลินิกชูวโม่ พนักงานสาวคนหนึ่งก็รีบวิ่งออกมาต้อนรับฉีเล่ยทันที เธอคนนี้เป็นพนักงานคนสนิทของหลินชูวโม่ชื่อว่าเสี่ยวเยวี่ย ทั้งยังควบหน้าที่เป็นPRของคลินิกด้วย

“คุณฉีมาถึงสักที บอสหลินโทรจี้ถามดิฉันหลายรอบแล้วค่ะ”

ฉีเล่ยยิ้มพลางกล่าวขอโทษ

“โทษทีครับพอดีรถติดน่ะ”

เสี่ยวเยวี่ยผายมือเชื้อเชิญชายหนุ่มให้เข้าไปด้านใน พร้อมพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสุภาพอ่อนโยนว่า

“เชิญค่ะ คุณหลินกับแขกคนสำคัญกำลังรออยู่ที่ชั้นบนค่ะ”

ฉีเล่ยเดินตามขึ้นไปพร้อมกับเอ่ยถามขึ้นว่า

“แขกที่ไหนกันครับพอจะรู้ไหม?”

เสี่ยวเยวี่ยตอบกลับทันที

“ดิฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ”

ฉีเล่ยเลิกคิ้วเล็กน้อย เอ่ยถามต่อว่า

“ถ้าไม่รู้จัก แล้วทำไมถึงเรียกอีกฝ่ายว่าแขกคนสำคัญ?”

เสี่ยวเยวี่ยโน้มตัวเข้ามากระซิบข้างหูฉีเล่ย และชี้ไปที่รถตู้สีดำสองคันที่จอดอยู่บนถนนฝั่งตรงข้าม เธอกล่าวเสียงเบาว่า

“เห็นรถสองคันนั้นไหมค่ะ? ตอนที่เดินทางมามีรถสองคันนั้นคอยขับประกบติดไม่ห่าง แถมตอนที่เธอเดินเข้ามายังมีบอดี้การ์ดอีกสามคนคอยเฝ้าระวังอยู่ด้านหลัง อย่างกับพวกองค์หญิงออกมาผจญโลกภายนอกแบบในหนังจีนเลยล่ะค่ะ”

ฉีเล่ยย่อมไม่รู้จักว่า รถตู้สีดำสองคันนั้นยี่ห้ออะไร แต่ดูจากทรงแล้วน่าจะเป็นรถราคาแพงใช่ย่อย เขาพยักหน้าและถามต่อว่า

“แล้วพอรู้ไหมว่า แขกที่ว่าเดินทางมาคลินิกทำไม?”

เสี่ยวเยวี่ยส่ายหัว

“ดิฉันไม่รู้เรื่องนี้เลยค่ะ”

ระหว่างสอบถามทั้งคู่ก็เดินขึ้นมาถึงชั้นสองพอดี สิ่งแรกที่ฉีเล่ยเห็นก็คือบอดี้การ์ดสองคนในชุดสูทสีดำกำลังยืนเฝ้าอยู่ทางขึ้นชั้นสาม ภายในห้องชั้นนี้ตกแต่งในโทนสีชมพู แต่กลับมีบอดี้การ์ดร่างกำยำปั้นหน้าบึ้งตึงยืนอยู่แบบนี้ ช่างขัดกับบรรยากาศของห้องจริงๆ

“นี่คือบอดี้การ์ดของแขกเหรอครับ?”

“ใช่ค่ะ”

เสี่ยวเยวี่ยอธิบายต่อว่า

“ความจริงคลินิกซูวโม่แห่งนี้ห้ามไม่ให้ผู้ชายเข้ามา แต่บอดี้การ์ดพวกนี้กลับยืนกรานจะเข้ามาให้ได้โดยอ้างว่าเพื่อความปลอดภัยของคนที่พวกเขาดูแล บอสหลินเองก็ทำอะไรไม่ได้จำใจต้องอนุญาตให้พวกเขาเข้ามาค่ะ”

บนโซฟาตัวเดิม ก็มีผู้หญิงกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่ ทั้งหงเจาและเสี่ยวอันเองต่างก็อยู่ที่นี่เช่นกัน บางคนฉีเล่ยไม่ค่อยคุ้นหน้า ดูเหมือนจะเป็นสาวๆที่เขายังไม่เคยได้พบเจอมาก่อน

เมื่อเห็นฉีเล่ยเดินเข้ามา หงเจาก็ยิ้มพร้อมกับกล่าวทักทายทันที

“สุดหล่อ มาถึงสักทีนะจ๊ะ พี่หลินกระวนกระวายใจจนแทบจะตายอยู่แล้ว”

“จริง นายรีบขึ้นไปหาเธอเถอะ แต่จะว่าไปนี่นายรู้จักกับแขกผู้หญิงนั่นเป็นการส่วนตัวรึเปล่า? เพราะพอเธอมาถึงก็เรียกหานายเป็นคนแรกเลย?”

“ตอนนี้พี่หลินกำลังเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายอยู่ ดูท่าจะกดดันไม่น้อยเลยล่ะ แล้วก่อนหน้าที่นายจะมาถึง พี่หลินก็โทรบอกฉันว่าให้รีบมาหาด่วน กลัวว่าอีกฝ่ายจะชิงจีบนายไปก่อน พอฉันได้ยินแบบนั้นก็รีบลุกจากเตียงมาที่นี่เลย”

“ถึงแขกสาวคนนั้นจะสวยขนาดไหน แต่ก็ดูเย็นชาเกินไป ตอนที่เธอเดินผ่านพวกเราขึ้นไปชั้นสอง เธอยังทำราวกับพวกเราไม่มีตัวตนด้วยซ้ำไป ฉีเล่ย ถ้านายต้องเลือกใครสักคน ยังไงฉันก็เข้าข้างพี่หลินนะ คำว่าครอบครัวคือความอบอุ่น ไม่ใช่ต้องใช้ชีวิตอยู่กับก้อนน้ำแข็งเดินได้แบบนั้น!”

“….”

ฉีเล่ยเมินทำหูทวนลม แล้วรีบเดินตามเสี่ยวเยวี่ยขึ้นไปชั้นสามทันที ก่อนจะเดินตรงเข้าไปในห้องทำงานส่วนตัวของหลินชูวโม่

เมื่อก้าวเข้าไปในห้อง เฉินเจียซินเห็นเข้าก็จดจำฉีเล่ยในชุดสูทสีน้ำเงินตัวเก่งได้ทันที

ชุดสูทเรียบหรูประดับคู่กับใบหน้าอันหล่อเหลา ใครจำไม่ได้ก็แปลกแล้ว ไม่ว่าใครมาเห็นต่างก็ต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ชายหนุ่มคนนี้คือทายาทมหาเศรษฐีพันล้านผู้หล่อเหลา

อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่เคยพบเจอกันมาก่อน แต่เฉินเจียซินคนนี้ก็รู้จักฉีเล่ยเป็นอย่างดี จากการตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดที่รวบรวมมาอย่างละเอียด

เธอยังรู้อีกว่า ชายหนุ่มคนนี้เคยถูกแม่ยายกับภรรยากดขี่รังแกสารพัด ต้องเก็บขยะขายเพื่อหาเลี้ยงชีวิตมานานหลายปี แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง จู่ๆเขาก็เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน จนเป็นอย่างที่เห็นอยู่ในทุกวันนี้ หน่วยข่าวกรองของเฉินเจียซินแบ่งแยกย่อยออกเป็นสามกลุ่ม ซึ่งทั้งสามกลุ่มนี้ประกอบไปด้วยพวกอัจฉริยะIQสูง ทั้งยังมีอุปกรณ์เทคโนโลยีล้ำสมัย แต่ถึงแบบนั้นก็ไม่สามารถเข้าใจได้อยู่ดีว่า ทำไมจู่ๆผู้ชายคนหนึ่งจึงสามารถเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ในเวลาเพียงแค่ชั่วข้ามคืน

เฉินเจียซินก้าวเท้าตรงเข้าไปหาฉีเล่ยทันที เธอคลี่ยิ้มบางพร้อมเอ่ยถามเสียงเรียบราวกับเป็นนักธุรกิจมืออาชีพ

“คุณฉีใช่ไหมคะ?”

นี่เป็นครั้งแรกที่เธอกับฉีเล่ยได้พบกัน เพราะผู้ชายคนนี้ทำให้เธอถูกประธานสาวของตนเองหักคะแนนเหลือ98คะแนน ดังนั้นเธอจึงอดที่จะรู้สึกสงสัยในความลึกลับของผู้ชายคนนี้ไม่ได้

ฉีเล่ยพยักหน้าตอบเสียงเรียบนิ่ง

“ครับ ผมเอง”

เฉินเจียซินผายมือให้เล็กน้อย

“ขอเชิญตามดิฉันมาหน่อยค่ะ”

นอกจากชั้นสามที่เป็นห้องทำงานส่วนตัวของหลินชูวโม่แล้ว บนชั้นสี่ก็ยังเป็นห้องสปาเอนกประสงค์ที่หลินชูวโม่ใช้ต้อนรับแขกระดับVIPเท่านั้นด้วย ภายในนั้นมีทั้งห้องซาวน่า อ่างน้ำพุร้อนเพื่อสุภาพ นอกจากนี้ยังมีพื้นที่พักผ่อนและบาร์เล็กๆอีกด้วย

ฉีเล่ยเดินตามเฉินเจียซินขึ้นไป ระหว่างนั้นสิ่งแรกที่เขารู้สึกผิดสังเกตก็คือ

ชุดเสื้อผ้าที่หลินชูวโม่สวมใส่มาในวันนี้ดูแตกต่างจากทุกวันมาก วันนี้เธออยู่ในชุดสูทผู้หญิงแต่งหน้าทำผมค่อนข้างเรียบร้อย โดยรวมแล้วดูออกจะเป็นทางการไม่น้อย แม้จะดูมีเสน่ห์ลดน้อยลงแต่ก็ได้ความเป็นมืออาชีพเข้ามาแทนที่

สิ่งที่สองที่ฉีเล่ยสังเกตเห็นก็คือ เห็นหญิงสาวอีกหนึ่งคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเดี่ยว

และเขาเองก็รู้จักหญิงสาวผู้มีนัยน์ตาสวยเป็นประกายระยับดุจทะเลดวงดาวคนนี้ด้วย

แต่แปลกมาก ทั้งๆที่เขารู้จักเธอมาก่อน แต่ความรู้สึกแรกที่ได้พบเธอในวันนี้กลับแตกต่างจากครั้งแรกโดยสิ้นเชิง

ฉีเล่ยครุ่นคิดกับตัวเอง

‘อยู่กับคนอื่นแบบนี้ต้องวางตัวสินะ’

ต่อให้เป็นเพื่อนผู้หญิงที่สวยที่สุดของหลินชูวโม่ ก็อย่าได้คิดเอามาเปรียบเทียบกับหญิงสาวตรงหน้าเขาโดยเด็ดขาด และใครก็ตามที่ถูกนำมาเปรียบเทียบกับเธอต่างต้องถูกด้อยค่าลงทันที

หลินชูวโม่แอบขยิบตาให้ฉีเล่ยจากนั้นก็ลุกขึ้นยืน เธอรีบแนะนำฉีเล่ยให้กับหญิงสาวที่นั่งอยู่บนโซฟารู้จักทันที

“ผู้ชายคนนี้ก็คือฉีเล่ยค่ะ เขาเป็นนักกายภาพบำบัดที่เก่งที่สุดของทางคลินิกชูวโม่เรา ฉีเล่ยจะรับบริการเฉพาะสมาชิกที่ถือบัตร Supreme Cardเท่านั้น ฝีมือการนวดกดจุดของเขาอยู่ในระดับยอดเยี่ยม ถ้ามีปัญหาอะไรกรุณาสอบถามกับเขาได้โดยตรงเลยนะคะ ดิฉันไม่รบกวนแล้ว ขอตัวก่อนค่ะ”

หญิงสาวที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟานั้นดูสง่างามและน่ากลัวในเวลาเดียวกัน เธอเพียงแค่พยักหน้าแทนคำตอบโดยไม่ปริปากพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว

หลินชูวโม่เหลือบมองฉีเล่ย สายตาของเธอนั้นคล้ายกำลังบอกชายหนุ่มว่า ‘พยายามเข้าล่ะ!’ จากนั้นเธอกับเฉินเจียซินก็เดินออกไปและช่วยกันปิดประตูอย่างระมัดระวัง

สายตาของหญิงสาวคนนั้นเลื่อนลงมาจับจ้องที่ร่างฉีเล่ยพร้อมกับสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้า ในที่สุดสายตาอันเย็นชาของเธอก็ดูคลายอ่อนลงเล็กน้อย แต่ก็ยังนั่งนิ่งไม่พูดไม่จาอะไร

ฉีเล่ยยักไหล่เอ่ยขึ้นอย่างไม่แยแสพร้อมกับพูดขึ้นว่า

“กระบังลมของคุณกำลังยกตัวขึ้นอยู่ บ่งบอกว่าอยากจะหัวเราะ ไม่จำเป็นต้องกลั้นขำแล้ว อย่าฝืนไปเลย”

“ฮ่าๆๆ!”

หญิงสาวเย็นชาคนนั้นถึงกับหลุดขำพรวดออกมา และแทบยกมือขึ้นปิดปากไว้ไม่ทัน หลังจากพยายามกลั้นหัวเราะอยู่สักพัก เธอก็กลับมาสวมบทนักธุรกิจสาวผู้เคร่งขรึมอีกครั้งและเอ่ยถามเสียงเย็นขึ้นว่า

***************************

Q&A ตอบคำถามนักอ่าน

จากคุณถ้ามันดี: แล้วทำไม ไม่ไปสอบเอาใบปริญญาหรือใบประกอบต่างๆที่เกี่ยวข้องล่ะ มั่วแต่ทำอะไรอยู่ก็ไม่รู้ ปล่อยให้คนอื่นดูถูก กดขี่อยู่นั้นแหละ แล้วมาทำตัวสูงส่ง ดี เก่ง อย่างโน้นอย่างนี้ โถ่

นักแปล : ผมมองว่าถึงพระเอกจะสอบเอาใบปริญญาหรือใบประกอบตอนนี้ก็ไม่พ้นโดนจับผิดอีก อย่างเช่น เป็นหมอเพิ่งจบมาจะมาสอนใครได้? เวลาคนเราจะหาเรื่องสร้างปัญญา มันก็จะพยายามหาช่องโหว่มาโจมตีคนอื่นอยู่ดีครับ ซึ่งตัวฉีเล่ยเองก็น่าจะคิดแบบนี้เช่นเดียวกัน

จากคุณJamjai : ประทับใจอาจารย์ฉี อย่าดีแตกล่ะ ตบคว่ำเลย

นักแปล : จากที่แปลล่วงหน้าไประยะ ช่วงแรกๆเหมือนว่าพระเอกยังตั้งหลักตั้งตัวไม่ทันที่ผู้หญิงเข้ามา แต่พอตั้งสติได้เท่านั้นแหละ ไล่เสียหมาหมดครับ555+