ตอนที่ 127 อันที่จริงเขาเป็นคนดีมาก
“เป็น… เป็นแม่สื่อรึ ?” เจียงหยุนชานดึงสติกลับมาได้ก่อน ทว่าเขาก็พูดติดอ่าง
หญิงชรามองเขาอย่างไม่เกรงใจ “ก็ใช่ เจ้าเป็นพี่ชายประสาอะไรถึงได้ไม่เป็นห่วงเรื่องการออกเรือนของน้องสาวเลย”
เจียงหยุนชานยังคงงงเป็นไก่ตาแตก เขามองเจียงป่าวชิงโดยไม่รู้ตัว “แต่… แต่น้องสาวข้ายังเล็กอยู่…”
หญิงชราจุ๊ปากสองที จากนั้นนางก็รีบพูดขัดจังหวะเจียงหยุนชาน “ไม่เล็กแล้ว! ไม่พูดถึงบ้านอื่น หวังอาซิ่งที่เป็นลูกสาวคนเล็กข้าง ๆ บ้านเดิมของพวกเจ้า นางเพิ่งจะสิบเอ็ดปีเอง ? ก็ได้ทำการหมั้นแล้วด้วย! ข้าไปถามมาแล้ว อีกไม่นานน้องสาวเจ้าก็อายุครบสิบสี่ปีแล้ว นี่เรียกว่ายังเล็กที่ไหนกัน ?”
เจียงหยุนชานไม่ใช่คนที่พูดเป็นอะไร เขากำลังตกใจกับข่าวที่หญิงชราบอกว่าหวังอาซิ่งหมั้นแล้ว จากนั้นเขาก็รู้สึกไม่แน่ใจ สุดท้าย เขาก็อดคิดไม่ได้ว่าหรือว่าเจียงป่าวชิงไม่ถือว่ายังเล็กแล้ว ?
เมื่อหญิงชราเห็นว่าเจียงหยุนชานถูกนางพูดจนมีความงุนงงผสมอยู่เล็กน้อย นางก็พยายามล้างสมองเจียงหยุนชานต่อ “พี่ชายเจียง ข้าว่าเจ้าอย่าคิดว่าป่าวชิงของเราอายุยังน้อยอีกเลย คนเป็นพี่ชายอย่างเจ้าไม่รีบจัดการหาคนดี ๆ ให้ป่าวชิง หรือว่าพอป่าวชิงโตแล้ว เจ้าอยากรอจนผู้ชายดี ๆ ถูกแย่งไปหมดก่อน และปล่อยให้นางเป็นสาวแก่อยู่ที่บ้านอย่างนั้นรึ ?”
เจียงหยุนชานดึงสติกลับมาและพูดพึมพำ “ไม่ได้… ไม่ได้… ไม่ว่าจะอย่างไร ป่าวชิงยังคงเล็กเกินไป นางยังเล็กเกินไป เด็กผู้หญิงที่อายุน้อยขนาดนี้จะสามารถ… นางยังเล็กเกินไป” แม้แต่คนมีความรู้อย่างเจียงหยุนชานก็ยังพูดคำว่า ‘ยังเล็กเกินไป’ กลับไปกลับมาขนาดนี้เลย
หญิงชราไม่คิดว่าที่นางเปลืองน้ำลายอยู่ตั้งนาน เจียงหยุนชานคนนี้จะพูดเพียงแค่คำว่า ‘เล็กเกินไป’ นางจึงหมดสนุกทันที จากนั้นนางก็หันไปมองเจียงป่าวชิง
คนเป็นแม่สื่ออย่างนาง เดินไปตามถนนและตรอกซอกซอยก็ได้เห็นผู้คนมากมาย นางนั้นคุ้นเคยกับการสังเกตผู้คนเป็นอย่างดี ตอนที่นางเห็นเจียงป่าวชิงที่หน้าบ้านครั้งแรก นางก็พบว่าเจียงป่าวชิงแตกต่างกับเด็กผู้หญิงปัญญาอ่อนเมื่อหลายปีก่อนคนนั้นอย่างสิ้นเชิง
หญิงชราเผยรอยยิ้มออกมา นางกำลังจะพูดอะไรกับเจียงป่าวชิงก็ได้ยินเหมือนมีคนมาเคาะประตูบ้านเสียก่อน
เจียงป่าวชิงหันไปมองที่ลานบ้าน และเกือบคิดว่าตัวเองตาลายไปแล้วเสียอีก
ไป๋จีกำลังเข็นรถเข็น โดยมีชายหนุ่มผู้สูงส่งนั่งอยู่บนรถเข็น นิ้วเรียวของเขากำลังเคาะลงบนบานประตูด้วยสีหน้าหงุดหงิด
แม่สื่อเบิกตากว้างทันที นางอ่านผู้คนมาแล้วนับไม่ถ้วน และนางสามารถบอกได้ทันทีว่าผู้ชายที่นั่งรถเข็นคนนั้นไม่ใช่บุคคลธรรมดา บนใบหน้าของนางเผยรอยยิ้มประจบประแจงทันที “ท่านผู้นี้คือใครหรือ ?”
ทว่าไม่มีใครสนใจนาง
เจียงป่าวชิงเดินไปตรงหน้ากงจี้และพูดกับเขาเสียงเบาว่า “เจ้ามาได้อย่างไร ?”
กงจี้ชำเลืองมองนางอย่างเย็นชา “ทำไมรึ ? ทีเจ้ายังเข้าบ้านข้าได้ทุกวัน บ้านเจ้าข้ามาบ้างไม่ได้หรือ ?”
อารมณ์ร้ายที่อธิบายไม่ถูกนี้…
เจียงป่าวชิงกัดฟันแน่ะ “มาได้ เจ้ามาได้ทุกวันไม่เป็นไรเลย เป็นเกียรติมากจริง ๆ ที่เจ้ามา!”
กงจี้พยักหน้าอย่างภาคภูมิใจเล็กน้อย “เจ้าไม่จำเป็นต้องขอบใจข้าหรอก”
“…” เจียงป่าวชิงล้มเลิกความคิกที่จะสื่อสารกับกงจี้ทันที คนเช่นเขา พูดอะไรไปก็มีแต่จะเถียง
เจียงหยุนชานมองกงจี้อย่างเก้อเขิน ซึ่งก็ยังดีที่กงจี้ยังถือว่ามีความเกรงใจต่อเจียงหยุนชาน เขาพยักหน้าให้เจียงหยุนชานและพูดขึ้น “ข้าได้ยินจากบ้านข้าว่าเหมือนมีคนจะเป็นแม่สื่อให้เจียงป่าวชิง จึงนึกสนุกเลยมาดูสักหน่อย พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องสนใจข้าหรอก”
เจียงป่าวชิงมองไป๋จีด้วยสีหน้าประมาณว่า ‘นายท่านของเจ้าว่างจนบ้าไปแล้วรึ ?’
ไป๋จีเอาแต่ก้มหน้าไม่พูดอะไร
เมื่อหญิงชราเห็นคนที่แต่งตัวเหมือนคุณชายผู้ร่ำรวยมาฟังนางผู้ซึ่งเป็นแม่สื่อ ความมั่นใจของนางก็เต็มเปี่ยมทันที นางถึงกับอยากเข้าไปจับแขนของเจียงป่าวชิงอยู่รอมร่อ “ป่าวชิง เจ้าเห็นหรือยัง ? คุณชายท่านนี้รู้เหตุรู้ผลดี ขนาดเขายังรู้เลยว่าเรื่องเป็นแม่สื่อไม่ใช่เรื่องเล็ก เจ้าก็ใส่ใจหน่อยสิ คนที่ฝากให้ข้ามาเป็นแม่สื่อให้นั้นดีมากเลยนะ”
เจียงป่าวชิงไม่ชอบให้ใครมาแตะเนื้อต้องตัว จึงหลบหลีกมือของหญิงชรา
ยังพูดไม่ทันจบคำ กงจี้ก็อุทานขึ้นมาจากด้านข้าง ราวกับมีความสนใจอย่างไรอย่างนั้น คิ้วของเขาก็เลิกขึ้นเล็กน้อยเช่นกัน “แล้วเป็นคนแบบไหนรึ ?”
หญิงชราตบขาดังฉาดแล้วพูดด้วยใบหน้าที่บานเป็นกระด้ง “เจ้าคนนี้ไม่เลวเลยจริง ๆ ไอ้หนุ่มนั่นอายุยี่สิบกว่าปี ร่างกายบึกบึนเหมือนหมีอีกทั้งยังมีพละกำลังเยอะ ในบ้านเขามีที่ดินเจ็ดแปดไร่ ทรัพย์สินในบ้านเขาก็อุดมสมบูรณ์มากเมื่ออยู่ในหมู่บ้านละแวกนี้ และถึงแม้ว่าเมียคนก่อนหน้าจะป่วยตายแล้ว แต่โชคดีที่ยังไม่มีลูก หากว่าเจ้าแต่งเข้าไปก็สามารถดูแลเรื่องในบ้านได้เลย ดีมากจริง ๆ นะป่าวชิง ข้าจะบอกให้เจ้าฟังว่าผ่านหมู่บ้านนี้ไปก็จะไม่มีร้านนี้แล้ว ก่อนหน้านี้ที่เจ้าไปซื้อผักในหมู่บ้าน เขามาทำงานที่ในหมู่บ้านและรู้สึกชอบพอในตัวเจ้าเข้าพอดี จึงให้ข้ามาเป็นแม่สื่อให้อย่างไรล่ะ นี่มันเป็นพรหมลิขิตชัด ๆ เลยเชียว”
หญิงชรายิ่งพูดก็ยิ่งใส่อารมณ์ เขาคนนั้นรับปากไว้แล้วว่าถ้านางพูดโน้มน้าวเจียงป่าวชิงได้สำเร็จ เขาจะห่อซองแดงสำหรับแม่สื่อให้นางห่อใหญ่ คิดมาถึงตรงนี้ หญิงชราก็มีเรี่ยวแรงที่จะโน้มน้าวต่อ
แต่ทว่าน้ำเสียงหัวเราะอย่างเย็นชาข้าง ๆ กลับขัดอารมณ์ของหญิงชราทั้งอย่างนั้น
“เพียงแค่นี้เองหรือที่ยายบอกว่าเป็นคนดี ?” กงจี้ถามกลับช้า ๆ มุมปากของเขายกขึ้นอย่างเยาะหยัน “นี่เจ้ากำลังดูถูกใครอยู่ล่ะ ?”
หญิงชราตัวสั่นเพราะความเยือกเย็นที่ซึมออกมาจากในคำพูดของกงจี้ นางแสร้งทำเป็นสงบและพูดยิ้ม ๆ “คุณชายท่านนี้ ไม่ใช่… คือว่าปัจจัยของคนที่ชนบทเทียบไม่ได้กับคนร่ำรวย ในหมู่บ้านแถวนี้ เขาคนนี้นี่ถือว่าเป็นคนที่ดีมากแล้วนะ น้อยมากที่จะมีคนไม่รังเกียจอะไร ๆ อย่างที่ป่าวชิงของเราเป็น และเขายังดีขนาดนี้…”
“รังเกียจรึ ? เขาหน้าใหญ่ขนาดไหนถึงกล้ารังเกียจคนอื่น ?” กงจี้พูดขัดจังหวะหญิงชราอย่างเย็นชา ทว่า…
“โยนออกไป” คำพูดประโยคหลังนี้ เขากลับพูดกับไป๋จี
หญิงชรายังไม่ทันตอบสนองกลับมาว่ามันเกิดอะไรขึ้น ก็พบว่าตนเองถูกโยนออกจากบ้านเสียแล้ว นางกลิ้งอยู่บนพื้นอย่างจนตรอก เมื่อลุกขึ้นนั่งได้ก็เห็นคนที่แต่งกายเหมือนองครักษ์คนนั้นกำลังจับบนฝักดาบที่บริเวณเอว เขาพูดเตือนนางด้วยเสียงที่แฝงเต็มไปด้วยกระแสสังหารอยู่ตรงหน้าบ้าน “ยายไปเถอะ ถ้ายังกล้ามาอีก ก็จะไม่ใช่แค่โยนยายออกไปเฉย ๆ”
หญิงชราตกใจจนขี้หดตดหาย ดอกไม้ที่เสียบอยู่ข้างหน้าผากพลันร่วงตกอยู่บนพื้น แต่นางกลับไม่สนใจมัน นางรีบวิ่งหนีไปโดยที่ไม่หันกลับมามองอีกเลย
เจียงป่าวชิงยืนอยู่กลางลานบ้าน จู่ ๆ นางก็หัวเราะออกมา “คุณชายกง เจ้าทำเช่นนี้ คาดว่าต่อไปก็คงจะไม่มีใครกล้ามาพูดเรื่องแต่งงานให้ข้าแล้ว”
กงจี้ชำเลืองมองเจียงป่าวชิง “ไร้อนาคต คนหน้าตาอัปลักษณ์ที่สถานที่ทรุดโทรมแห่งนี้ เจ้าก็ยังจะชอบรึ ? สายตาของเจ้าเป็นอะไรไปแล้ว ?”
เจียงป่าวชิงพยายามกู้หน้าให้ผู้ชายในหมู่บ้านละแวกนี้ “แหม อันที่จริงก็ยังมีคนที่ไม่เลวอยู่บ้าง…”
กงจี้กดมือลงบนที่จับรถเข็นแน่นเสียจนบนฝ่ามือของเขามีเส้นเอ็นนูนขึ้น และน้ำเสียงของเขาก็เย็นยะเยือกราวกับน้ำแข็ง “เจียงป่าวชิง เจ้าทำตัวให้มีอนาคตหน่อยได้หรือไม่ ? เจ้าจะรีบร้อนอะไร ถึงตอนนั้นข้าค่อยแนะนำคนดี ๆ ให้เจ้าเอง”
เจียงป่าวชิงตกตะลึงไปทันที จากนั้นนางก็หัวเราะ “อย่างนั้นก็ได้ ข้าจะรอคนดี ๆ ที่คุณชายกงแนะนำให้ข้าก็แล้วกัน” นางชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็เป็นฝ่ายเข็นรถเข็นออกไปข้างนอก “จะว่าไปแล้ว นี่ก็ถึงเวลาต้องไปฝังเข็มให้เจ้าแล้วล่ะนะ”
กงจี้ส่งเสียงออกมาทางจมูกเล็กน้อย
ไป๋จีในตอนนี้ก็มาตามอยู่ด้านหลังเจียงป่าวชิงกับกงจี้ ในดวงตาของเขาแลดูยังคงมีคลื่นพายุ นายท่านของเขามักจะคิดว่าขาของตัวเองเป็นปมปัญหาใหญ่ของตัวเองมาโดยตลอด
หลายปีมานี้ นี่เป็นความอัปยศอดสูที่ไม่สามารถแตะต้องได้มากที่สุดในใจของเขา
ชายหนุ่มที่เคยเย่อหยิ่งและล่องลอยไปตามอำเภอใจกลับถูกจำกัดอยู่ในรถเข็นและถูกคนอื่นเข็นไปไหนมาไหน
สำหรับกงจี้แล้ว นี่เป็นความอับอายขายหน้าอย่างหนึ่ง
อีกทั้งเป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายและลูกน้อง การที่ไป๋จีเข็นรถเข็นให้กงจี้ถึงจะสามารถทำให้กงจี้ไม่มีความรู้สึกไม่พอใจได้
แรกเริ่มเดิมที ตอนที่ไป๋จีเข็นรถเข็นให้ชายหนุ่ม ชายหนุ่มที่ลอยไปตามอำเภอใจคนนั้นกลับหายใจหอบ และจ้องเขาที่เข้าใกล้ด้วยดวงตาแดงก่ำเสมือนชุ่มไปด้วยเลือด คล้ายกับจะฆ่าคนอย่างไรอย่างนั้น
แต่วันนี้ เขากลับยอมให้เจียงป่าวชิงเข็นรถเข็นเขาได้อย่างง่ายดายงั้นรึ ?
ไป๋จีมองแผ่นหลังของเจียงเป่าชิงที่กำลังเข็นรถเข็น จากนั้นเขาก็ครุ่นคิดอย่างเงียบ ๆ ว่าบางทีเจ้านายของเขาอาจจะไม่รู้ตัวว่าเขาปฏิบัติกับเจียงป่าวชิงไม่เหมือนเดิมแล้วก็ได้
หลังจากฝังเข็มให้กงจี้เสร็จแล้ว เจียงป่าวชิงก็กลับไปที่บ้าน และพบว่าจู่ ๆ เจียงหยุนชานก็พูดกับนางอย่างกะทันหันว่า “อันที่จริง ข้าคิดว่าคุณชายผู้นั้นก็ไม่เลวเลยนะป่าวชิง”
เจียงป่าวชิงไม่คิดว่าเจียงหยุนชานจะพูดคำนี้ออกมาได้อย่างกะทันหันเช่นนี้ นางรู้สึกงุนงงเป็นอันดับแรก จากนั้นก็รู้สึกดีใจในใจและพยักหน้าให้พี่ชาย
“ใช่เจ้าค่ะพี่หยุนชาน อันที่จริง ข้าเองก็คิดมาตลอดว่าเขาเป็นคนดีมากคนหนึ่งเลย”
=========
โรงละครเล็ก
กงจี้: ป่าวชิง เจ้ามานี่ ข้าจะดูคนดี ๆ ให้เจ้า
เจียงป่าวชิง: คนดี ๆ ที่ว่าอยู่ไหนเล่า ?
กงจี้: ก็ตรงหน้าเจ้านี่ไง
.
.