ตอนที่ 255 เงินสำคัญกว่าชีวิต / ตอนที่ 256 ใครเป็นขโมย

คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา

ตอนที่ 255 เงินสำคัญกว่าชีวิต

จางซื่อสายตาแหลมคม มองเห็นเจ้ารองแบกเจ้าใหญ่ขึ้นหลังมาแต่ไกล แต่นางก็มุ่นคิ้วในทันที “ข้าว่าคงไม่ใช่เช่นนั้นแล้ว หากไม่เป็นอะไร จะยังต้องให้เจ้ารองของข้าแบกเขากลับมาหรือ”

บัดนี้เจ้ารองเดินเข้ามาใกล้แล้ว หญิงชราและหลิวซื่อก็มองเห็นทุกอย่างชัดเจน จึงรีบเดินไปหาพวกเขา

“ไอ้หยา เกิดอะไรขึ้น เกิดอะไรขึ้นกันแน่”

เจ้ารองเหนื่อยจนพูดไม่ออกแล้ว เขาอดกลั้นความโมโหของตน พาเจ้าใหญ่เข้าไปส่งในเรือน

เจ้าใหญ่อธิบายกับผู้เป็นมารดาและหลิวซื่อว่า “ข้าล้มขาหัก ตอนนี้เจ็บเป็นอย่างยิ่ง”

หญิงชราและหลิวซื่อ รวมถึงจางซื่อเอง ล้วนก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป ทั้งสามมีความคิดที่แตกต่างกัน ทว่าก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงแค่รีบร้อนเข้าไปในเรือน

เจ้ารองวางพี่ใหญ่ไว้บนเตียง การเคลื่อนไหวครั้งนี้ทำให้เจ้าใหญ่เจ็บจนร้องเสียงหลง น่าเวทนายิ่งกว่าเสียงหมูที่ถูกเชือดอีก

หลิวซื่อพุ่งเข้าไปในเรือนเป็นคนแรก ถลันไปที่หน้าเตียงของเจ้าใหญ่ “เจ้าใหญ่ เจ้าล้มขาหักได้อย่างไร เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไรกัน หากเจ้าพิการขึ้นมา ครอบครัวของพวกเราจะทำอย่างไร!”

จางซื่อและเจ้ารองที่มีเหงื่อไคล โคลนเลนเต็มหน้าสบตากันครั้งหนึ่ง สีหน้าของพวกเขาทั้งสองต่างก็ไม่สู้ดี ทว่าไม่ได้พูดอะไรออกมาเช่นกัน

หญิงชราขมวดคิ้วเป็นปม แล้วถลึงตาใส่สะใภ้ใหญ่ กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เหตุใดต้องร้องไห้โหยหวนด้วย บิดามารดาเจ้าตายหรืออย่างไร สามีของเจ้ายังนอนอยู่ตรงนี้ ยังไม่ตายเสียหน่อย เจ้าร้องไห้คร่ำครวญเช่นนี้ คนข้างนอกได้ยินเข้าคงจะได้คิดว่าเจ้ากลายเป็นหญิงหม้ายแล้วจริงๆ”

นางไม่อาจระบายโทสะที่อยู่ในใจออกมาได้ จึงหาที่ระบายอารมณ์

ไหนเลยหลิวซื่อจะกล้าโต้เถียง ตอนนี้แม่สามีต่อว่าอะไรนางก็รับได้ทั้งนั้น ไม่เช่นนั้นขาของเจ้าใหญ่คงจะได้พิการเป็นแน่แท้

“ท่านแม่ เจ้าใหญ่เป็นบุตรชายคนโตของสกุลไป๋ เสาหลักของสกุลไป๋พวกเรา ไม่อาจปล่อยให้เขากลายเป็นคนพิการได้ ท่านแม่ ท่านต้องช่วยเขาด้วยนะเจ้าคะ” หลิวซื่อคุกเข่าอยู่ต่อหน้าแม่สามี ร้องไห้โอดครวญพลางกล่าว

หากเป็นคนอื่น ไม่ว่าใครจะได้รับบาดเจ็บ ไม่ว่าจะได้รับบาดเจ็บที่ขาหรือมือ ขอเพียงมีเงิน นำเงินออกมาก็รักษาบาดแผลและอาการป่วยไข้ได้แล้ว นี่ล้วนเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล ยังต้องขอร้องกันอีกหรือ

ทว่าสกุลไป๋กลับไม่เหมือนครอบครัวไหน ความใจดำของหญิงชราเลื่องชื่อไปไกล หลิวซื่อเป็นสะใภ้ของนางมาสิบกว่าปี จะไม่รู้นิสัยของแม่สามีตนเองได้อย่างไร อย่างไรสำหรับนางเงินก็สำคัญกว่าชีวิตอยู่แล้ว

“เจ้าใหญ่เป็นบุตรชายของข้า เขาได้รับบาดเจ็บ ข้ายิ่งรู้สึกปวดใจมากกว่าเจ้า ที่เจ้าพูดหมายความว่าอย่างไร? อย่างกับข้าจะไม่ยอมช่วยเขาอย่างนั้นแหละ” หญิงชรากล่าว

‘เจ้าสามก็เป็นบุตรชายของท่านเช่นกัน แล้วท่านช่วยเขาหรือไม่? สามีของตัวท่านเอง ท่านได้ช่วยไว้หรือไม่?’ จางซื่อพูดอยู่ในใจ

ไป๋เสี่ยวเฟิงที่เดิมทีนอนหลับอยู่ในห้องของตนเอง เมื่อได้ยินเสียงเอะอะดังลั่นบ้าน เขาจึงลุกขึ้นจากเตียง ก่อนจะพบว่าในห้องของท่านพ่อและท่านแม่จุดตะเกียงไว้ นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หรือท่านพ่อจะนำแตงกดินกลับมาแล้ว พวกเขากำลังกินมันโดยที่ไม่มีเขาหรือนี่

เด็กหนุ่มรีบถลันไปที่ห้องของพวกเขา แต่ก็เห็นเพียงท่านพ่อนอนโอดโอยอยู่บนเตียง ส่วนท่านแม่น้ำตานองหน้าอยู่ข้างๆ พี่ชายของเขาที่ตัวเลอะโคลนจนดูไม่ได้ ส่วนน้าสะใภ้รองมีสีหน้าเคร่งขรึม

“ทุกคนเป็นอะไรไป เกิดอะไรขึ้น” ไป๋เสี่ยวเฟิงเบียดตัวเองเข้าไปถึงหน้าเตียงของเจ้าใหญ่

เมื่อเห็นบุตรชายคนสุดท้องเข้ามา หลิวซื่อก็รีบลุกขึ้นจากพื้น ก่อนจะจับมือของเด็กหนุ่มเอาไว้ “เสี่ยวเฟิง พ่อของเจ้าขาหักเพราะหาของกินกับมาให้พวกเรา บัดนี้เขาเจ็บมาก หากยังไม่ตามหมอมารักษาอีก เกรงว่าขาของเขาคงจะต้องพิการแล้ว หากเป็นเช่นนั้นจะทำอย่างไรดี”

ไป๋เสี่ยวเฟิงเลิกคิ้ว “ทำอย่างไร? ขาหักไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร หาหมอมารักษาสิ บาดแผลเช่นแขนและขาหักเช่นนี้ พวกหมอเชี่ยวชาญเป็นอย่างยิ่ง ขอเพียงไม่ใช่บาดแผลที่สาหัสอะไร ส่วนใหญ่แล้วล้วนรักษาได้”

……….

ตอนที่ 256 ใครเป็นขโมย

ไป๋เสี่ยวเฟิงเห็นผู้เป็นมารดาไม่พูดจา เขาก็พูดต่ออีก “นักเรียนในโรงเรียนของข้ามีคนเคยขาหักอยู่สามคน ตอนนี้ต่างก็กระโดดโลดเต้นกันได้ทั้งนั้น ไม่เห็นเป็นอะไรเลย”

ท่าทางพูดจาของเขาดูผ่อนคลายทีเดียว ราวกับว่าผู้อื่นไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร มีเพียงเขาที่เข้าโรงเรียนเท่านั้นที่รู้

หญิงชรากำลังคิดใคร่ครวญในใจ ครั้งก่อนเจ้าใหญ่ถูกหูเฟิงหักแขน ลู่จ่างชุนทำการรักษาให้เขา เสียสองตำลึงเงินต่อแขนหนึ่งข้าง

คราวนี้ขาหักแล้ว เช่นนั้นต้องจ่ายกี่ตำลึง สองตำลึงเหมือนกันหรือ

เช่นนั้นเงินในหีบของนางมีเท่าไร พอจ่ายค่าเรียนและซื้อพู่กัน หมึกให้เสี่ยวเฟิงในปีหน้าหรือไม่

สำหรับนางแล้ว เรื่องเข้าเรียนของเสี่ยวเฟิงต่างหากที่เป็นเรื่องใหญ่เทียมฟ้า ส่วนเรื่องใหญ่เทียมฟ้าอื่นใดล้วนเทียบไม่ได้กับเรื่องการเรียนของเสี่ยวเฟิง

นางยากจนมาทั้งชีวิต บัดนี้หวังว่าเสี่ยวเฟิงจะมีอนาคตที่ดี และทำให้นางมีชีวิตที่ดีเช่นที่นางเคยจินตนาการไว้ได้

หลิวซื่อขยิบตาให้ไป๋เสี่ยวเฟิง เป็นการบอกเขาพูดกับหญิงชรา ถึงอย่างไรหญิงชราก็โปรดปรานเสี่ยวเฟิงมาตลอด จึงยิ่งเชื่อฟังคำพูดของเสี่ยวเฟิงยิ่งกว่าใคร เมื่อมีคำพูดของเสี่ยวเฟิงแล้ว หญิงชราจะต้องยอมนำเงินออกมารักษาขาของเจ้าใหญ่อย่างแน่นอน

หลิวกว้าหัวไม่อยากให้สามีของตนกลายเป็นคนพิการ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรักษาขาของเขาให้ได้

เสี่ยวเฟิงรู้กัน เขาเขยิบเข้าไปใกล้หญิงชรา “ท่านย่า รีบเชิญหมอมาดูพ่อของข้าเถอะ ดูสิว่าเขาเจ็บเพียงใดแล้ว”

หญิงชรารีบตอบรับ “ย่อมต้องเชิญอยู่แล้ว เพียงแต่ฟ้ายังไม่สว่าง รอฟ้าสว่างแล้วพวกเราค่อยไปเชิญท่านหมอลู่มารักษาพ่อของเจ้ากัน”

เด็กหนุ่มพยักหน้า “ก็ได้ ตอนนี้ฟ้าใกล้จะสางแล้ว รออีกสักหน่อยก็แล้วกัน”

ฝ่ายหญิงชรารีบไปหยิบเงินในห้องของตนเอง ส่วนจางซื่อจูงมือสามีออกไปอย่างจนใจ หากใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวนี้ แล้วเมื่อใดพวกเขาถึงจะเชิดหน้าชูตาได้บ้าง

ไป๋เจินจูถลึงตามองลุงใหญ่ที่อยู่ในห้องด้วยสีหน้าเคียดแค้น ในใจก่นด่าเขาไม่ยอมหยุด ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ คงไม่มีหวังที่จะแยกบ้านได้แล้ว แล้วเมื่อไรนางจะหลุดพ้นจากพวกเขาได้เสียที

สกุลหู

ไป๋จื่อตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ ครั้นล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้วก็ไปยังสกุลหูที่ด้านหน้า ก่อนจะเห็นท่านลุงหูกำลังพูดคุยอยู่กับอู๋เจียงและหลี่เฉิง

แปลกนัก อู๋เจียงและหลี่เฉิงไม่ได้ทำงานอยู่ในที่ดิน พวกเขามาทำอะไรที่นี่

“จื่อยาโถวมาแล้วหรือ รีบมานี่เร็ว!” ท่านลุงหูกวักมือเรียกนาง

เด็กสาวรีบเดินไปข้างหน้า พลางมองถุงผ้าสองถุงที่วางอยู่ข้างกายของท่านลุงหู ภายในนั้นมีมันฝรั่งอยู่เต็มถุงทีเดียว

นางชี้มันฝรั่ง พร้อมทั้งถามไปด้วย “นี่มันแตงดินจากที่ดินของข้านี่”

ลุงหูพยักหน้า “ถูกต้อง ละแวกนี้ไม่มีผู้ใดปลูกแตงดินเช่นนี้แล้ว นอกจากเป็นของเจ้าแล้ว จะเป็นของผู้ใดไปได้”

เขาชี้อู่เจียงและหลี่เฉิง “พวกเขาเป็นคนนำแตงดินสองถุงนี้มา”

อู๋เจียงพลันกล่าวต่อ “เมื่อเช้าข้ากับหลี่เฉิงไปดูที่นา ด้วยกลัวว่าจะทำให้งานก่อสร้างล่าช้า พวกข้าจึงไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง ใครจะรู้ว่าบนคันนาของที่นาข้าจะมีแตงดินเกลื่อนกลาดอยู่ ทั้งยังมีถุงอีกสองถุงด้วย พวกข้าจึงสงสัยว่ามีคนไปขโมยแตงดินในที่ดินของเจ้า แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้ทิ้งสองถุงนี้ไว้”

ไป๋จื่อเข้าใจแล้ว นางตรวจดูถุงมันฝรั่งอย่างละเอียด ถุงนี้ดูคุ้นตาเป็นอย่างยิ่ง ไม่ผิดแน่ ถุงนี้คล้ายคลึงกับถุงที่นางใช้ขณะไปเก็บมันฝรั่งเมื่อวาน เพียงแต่สีสันของถุงต่างออกไป และดูเก่ากว่ามากทีเดียว

นางพลิกมุมหนึ่งของถุงออกมา ก่อนจะพบตัวอักษร ‘หลาน’ ตรงมุมนั้น นี่เป็นฝีมือของจ้าวหลาน ถุงที่มารดาของนางทำล้วนปักชื่อของตนเองเอาไว้ด้วย เพื่อไม่ให้เพื่อนบ้านหยิบผิดขณะจะนำไปใช้

เด็กสาวพอจะรู้แล้วว่าผู้ใดเป็นโจรขโมยมันฝรั่ง

การกระทำทุกอย่างของไป๋จื่อล้วนชัดเจน ไม่หลบซ่อน อู๋เจียงและหลี่เฉิงที่อยู่ตรงนี้ก็เห็นท่าทางของนางเช่นกัน และเห็นตัวอักษรหลานที่ปักไว้ไม่ค่อยประณีตเท่าไรนักด้วย