บทที่ 111 มุ่งร้าย (1)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 111 มุ่งร้าย (1)
“อะไรนะ ระดับสูงของชุมนุมล่องไพรหายตัวไปทุกคน?!”

ในพรรควาฬแดง หงหมิงจือลุกพรวด ตกตะลึงพรึงเพริด

ไม่เพียงเขาเท่านั้น เฉินอิงที่อยู่ด้านข้าง ยังมีผู้จัดการภารกิจภายในและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ที่มาประชุม บรรยากาศกดดัน เงียบงันไม่พูดจา

“ชุมนุมล่องไพร…หัวหน้าชุมนุมเป็นยอดฝีมือระดับสูงสุดของระดับผนึกจิต เหตุใดถึงได้…” เฉินอิงเบิกตาโตกล่าวเสียงทุ้มต่ำ

ครั้งกระโน้นสมัยที่เขารุ่งโรจน์ที่สุดก็ใกล้เคียงกับหัวหน้าชุมนุมล่องไพร ตอนนี้คนผู้นี้หายไปอย่างไร้สุ้มเสียง นี่ไหนเลยไม่บ่งบอกว่า เกิดเขาเจอเรื่องแบบนี้ จะหายตัวไปอย่างกะทันหันโดยเทพไม่รู้ผีไม่เห็นเช่นกัน

ผู้จัดการภารกิจภายในคนหนึ่งหน้าซีดขาว กล่าวเบาๆ “หรือว่าหนีไปก่อนแล้ว…”

“เป็นไปไม่ได้!” หงหมิงจือส่ายหน้า “เด็กน้อยจางหยวนตงไม่ใช่คนขี้ขลาดกลัวเกิดเรื่องเช่นนี้”

“ถ้าอย่างนั้น…”

ทุกคนพากันเงียบ กลับนึกถึงเรื่องหนึ่งโดยไม่ได้นัดหมาย

สามารถจัดการชุมนุมล่องไพรที่มีขนาดใหญ่ได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ ทั้งยังทำให้ยอดฝีมือระดับผนึกจิตหายตัวไปอย่างไม่ยากเย็น ระดับและพลังที่เกี่ยวข้องในนี้…นอกจากตัวตนที่อยู่ขั้วตรงข้ามกับตระกูลขุนนางแล้ว ยังมีอะไรอีก

หงหมิงจือจิตใจอ่อนล้า ถอนใจเฮือกหนึ่ง เรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นติดต่อกันในหลายวันมานี้ทำให้เขารับไม่ไหว ไม่อาจดูแลพร้อมกัน

เขากวาดตามองคนทั้งสองฝั่ง ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดของพรรควาฬแดงทั้งหมดอยู่ที่นี่ นอกจากผู้จัดการภารกิจภายนอกที่ออกไปปฏิบัติภารกิจสองสามคน ที่นี่ก็คือขุมกำลังที่สุดยอดที่สุดของพรรค

แบบนี้แล้วจะอย่างไรเล่า? เผชิญหน้ากับจัตุรัสแดงและภูตผีปีศาจ ทั้งหมดเป็นไก่ดินสุนัขกระเบื้อง ทนการโจมตีครั้งเดียวไม่ได้

ซ้ำร้ายถึงตอนนี้ มีแค่คนไม่กี่คนทราบถึงความผิดปกติของตระกูลเจิน คนส่วนใหญ่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก

“เรื่องนี้ ต้องรายงานเบื้องบนกระมัง…” ผู้จัดการภารกิจภายในคนหนึ่งกล่าวเบาๆ

“เป็นตัวตนพวกนั้นกำลังกดดันหรือไม่ พวกเราต้องตรวจสอบ” ผู้อาวุโสโอวหยางเอ่ยเสียงทุ้ม “นอกจากนี้ เหตุใดไม่เห็นหัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอกลู่ ได้ยินว่าเขาปิดด่านอีกแล้วหรือ”

โอวหยางหนิงจื่อกับเฒ่าหวังนับว่าเป็นคนที่รู้จักลู่เซิ่งเป็นพวกแรก ตอนนี้เจอปัญหา นางกล่าวถึงลู่เซิ่งขึ้นมา ทุกคนต่างจิตใจเคร่งเครียด

ชื่อเสียงของลู่เซิ่งหัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอกลู่ ขจรขจายไปทั่วพรรควาฬแดง และพรรคอื่นๆ ในเมืองเลียบคีรี

สังหารรองประมุขพรรค เผาหมู่บ้านตระกูลซ่ง อำนาจของโถงอินทรีเหินในสังกัดต่อเมืองเลียบคีรีภายใต้การควบคุมของเขามากขึ้นเรื่อยๆ สะกดขุมกำลังอื่นๆ ให้ถอยหนี ไม่อาจไม่มอบผลประโยชน์ดั้งเดิมให้ส่วนหนึ่ง

แม้ลู่เซิ่งจะลงมือไม่มาก แต่หลายครั้งเป็นที่ยำเกรงของผู้คน ความแข็งแกร่งของความสามารถ ความเหี้ยมหาญของนิสัยใจคอ ทุกคนล้วนประจักษ์แจ้ง

“หัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอกยังปิดด่าน ไม่ได้มาร่วมประชุม แต่ให้ข้าถ่ายทอดคำพูดแทน” อวี้เหลียนจื่อซึ่งนั่งตรงมุมที่ไม่สะดุดตากล่าวต่อ

ในฐานะผู้เข้มแข็งอันดับสามของพรรค ณ ตอนนี้ ชื่อของลู่เซิ่งมีน้ำหนักในใจคนทุกคน

“ปัญหาครั้งนี้เกิดขึ้นใกล้เมืองเลียบคีรี เมืองเลียบคีรีเป็นอาณาเขตในการดูแลของหัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอกลู่ ไม่สู้ทุกท่านถามหัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอกลู่ก่อนว่ามีความเห็นใด จากนั้นค่อยวางแผน” ผู้จัดการภารกิจภายนอกคนหนึ่งเสนอ ความหมายในวาจาชัดเจน คือต้องการผลักเรื่องในครั้งนี้ให้ลู่เซิ่งตรวจสอบจัดการ

อวี้เหลียนจื่อมองคนผู้นี้ “ใต้เท้าของข้ากำลังอยู่ในช่วงปิดด่าน เกรงว่าไม่มีเวลาจัดการ เรื่องนี้เร่งด่วน ไม่สู้ทุกท่านเลือกใครสักคนไปตรวจสอบอย่างละเอียด”

“เรื่องนี้ รอรายละเอียดก่อนค่อยคุยกันเถอะ” หงหมิงจือมองทุกคนที่อยู่ด้านใน ทราบแก่ใจว่าไม่มีคนยอมรับเรื่องตึงมือนี้

ทุกคนต่างคิดว่า ขอแค่ไม่เอ่ยปากรับ เรื่องนี้ก็ได้แต่ให้ลู่เซิ่งซึ่งดูแลเมืองเลียบคีรี ไสม้าเข้าไปจัดการ

“เอาละ เรื่องต่อไป ช่วงนี้หลายๆ แห่งในแดนเหนือปรากฏปัญหาวุ่นวาย เมืองปฐมวิธานและอีกสามเมืองทางเหนือได้ส่งคำขอให้ช่วยเหลือมา เชิญคนไปจัดการปัญหาให้ พวกเจ้ามีใครยินยอมไปหรือไม่” หงหมิงจือน้ำเสียงหมดแรง

บรรยากาศที่น่าอึดอัดเล็กน้อยเมื่อครู่ตอนนี้คึกคักขึ้น คนไม่น้อยแย่งกันแจ้งชื่ออย่างกระตือรือร้น ต่างไม่คิดอยู่ในเมืองเลียบคีรีที่เหมือนปลอดภัย ความจริงยุ่งยากถึงขีดสุด

เฉินอิงเห็นดังนั้น ก็ส่ายหน้าช้าๆ

ในห้องสงบใจ

‘นี่เป็นวิชากำลังภายนอกประเภทวิชาหดกระดูกหรือหลังจากสำเร็จวิชาแข็งกร้าวถึงระดับสูงสุด ก็ควบคุมกล้ามเนื้อกระดูกทุกส่วนในร่างได้ตามใจ’

ลู่เซิ่งสัมผัสการเปลี่ยนแปลงพิเศษของร่างกาย การเปลี่ยนแปลงนี้เหมือนน่าทึ่ง แต่ความจริงเพียงเป็นวิชาหดกระดูก หรือวิชาเปลี่ยนเอ็นแปลงรูปร่างฉบับร้ายกาจกว่าเดิม

เทียบได้กับการบีบร่างกายขนาดมหึมาที่เหี้ยมหาญในตอนแรกเป็นลักษณะอย่างในปัจจุบัน ถ้าระเบิดพลังสุดกำลัง พริบตาเดียวก็จะกลายเป็นสภาพก่อนหน้า

‘การสะสมวิชาแข็งกร้าวทำให้พละกำลังของเราไปถึงขั้นอมนุษย์ ขณะเดียวกันก็เพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่กายเนื้อ ทำให้ดาบกระบี่ยากทำร้าย การป้องกันเพิ่มขึ้น แต่สิ่งที่ฆ่าภูตผีปีศาจได้ยังต้องพึ่งวิชากำลังภายใน’ ลู่เซิ่งยืนอยู่กับที่ ตาเป็นประกาย

‘เพียงแต่ไม่ทราบว่า กายเนื้อในตอนนี้ของเราเพิ่มระดับได้อีกขั้นหรือไม่’ เขาในตอนนี้แม้ไม่รู้ว่าตนเองแข็งแกร่งขนาดไหน แต่ต้องบรรลุระดับพันธนาการแล้วแน่นอน

ทว่าตระกูลขุนนาง ความประหลาดลี้ลับ และจัตุรัสแดงไม่ใช่ระดับพันธนาการเท่านั้น ตระกูลเจินไปแล้ว คิดจะเตรียมตัวให้พรักพร้อม ต้องพิจารณาถึงอันตรายที่เป็นไปได้ทั้งหมดก่อน

‘จัตุรัสแดง…เป็นขุมกำลังแบบไหนกันแน่ รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ดูเหมือนต้องรวบรวมข้อมูลไปด้วยแล้ว ก่อนหน้านี้ใช้ปราณหยินจนหมด ยังมีวิชาอีกสองวิชาอย่างวิชาเสาปักหลักที่ยังไม่ได้ฝึก ไปหาปราณหยินก่อน’ เขานึกถึงหยกแขวนที่อยู่ในมือเฉินเจียวหรง

ลู่เซิ่งเดินออกจากห้องสงบใจ ผลักประตูออกนอกลาน เห็นบริวารรออยู่ด้านนอก

“เรียนหัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอก หัวหน้าชุมนุมและรองหัวหน้าชุมนุมล่องไพรหายตัวไปในเมืองพร้อมกัน คนของที่ว่าการข้าหลวงขอให้ท่านไปประชุม นอกจากนี้พรรคยังส่งคงมาแจ้งว่ามีประชุม ใต้เท้าอวี้เหลียนจื่อไปตำหนักใหญ่แทนท่านแล้ว” บริวารที่เฝ้าอยู่เป็นกลุ่มอารักขาข้างกาย ที่ลู่เซิ่งให้นิ่งซานก่อตั้งขึ้นมา

กลุ่มอารักขานี้เขาให้สวัสดิการและทรัพยากรที่ดีที่สุด จากนั้นแจกจ่ายวิชาแข็งกร้าวหัตถ์หมีขย้ำฉบับรวบรัด ลู่เซิ่งแบ่งมันเป็นสองระดับ ก่อนจะถ่ายทอดระดับแรกให้

แม้วิชาจะเรียบง่าย แต่ประสิทธิผลไม่เลว ป้องกันการฟันแทงของอาวุธมีคม ด้านนอกสวมเกราะหนังชั้นหนึ่ง คนธรรมดาหลายคนยังทำอะไรไม่ได้

นี่เป็นกลุ่มของเขา

โดยหลักการแล้วความจริงไม่อนุญาตให้ถ่ายทอดวรยุทธ์ของพรรค แต่ขอแค่เขาไม่ทำเกินเลย และหัตถ์หมีขย้ำก็เป็นแค่ระดับหนึ่งฉบับรวบรัด แบบนี้ไม่นับเป็นปัญหา

“ที่ว่าการข้าหลวงหรือ” หลังลู่เซิ่งรับตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอก ยังไม่เคยพบปะกับคนของทางการอย่างแท้จริง ครั้งนี้เป็นครั้งแรก

“ที่ว่าการข้าหลวงของเมืองเลียบคีรีนับเป็นระดับอะไร” เขาถาม

“เอ่อ…” คนที่รายงานมีสีหน้างงงัน

กลับเป็นองครักษ์อีกคนที่อยู่ข้างๆ รีบตอบ

“เรียนใต้เท้า ตามระบบแล้วเมืองเลียบคีรีนับเป็นนครอันดับหนึ่ง แต่ไม่ใช่นครใหญ่ ดังนั้นที่ว่าการของที่นี่จึงอยู่ระหว่างขั้นสี่ถึงขั้นห้า”

“อ้อ…” ลู่เซิ่งพยักหน้า ที่ว่าการของเมืองเก้าประสานก็แค่ขั้นเจ็ด ไม่อาจเทียบกับที่ว่าการของที่นี่

ทว่าปัจจุบัน สำหรับพรรควาฬแดงที่ตระกูลเจินยืนอยู่เบื้องหลัง ที่ว่าการขั้นสี่ขั้นห้าไม่นับเป็นอะไร คิดเรียกเขาไปประชุม ยังไม่มีคุณสมบัติ

เพียงแต่เขาคิดอีกที ถ้าจัตุรัสแดงโจมตีสุดกำลังจริงๆ เช่นนั้นเขาคนเดียวยากดูแลทั่วถึง ไปเข้าร่วมงานประชุมน่ารำคาญอะไรนี่ เพื่อดูท่าทีราชสำนักก็ไม่เลวนัก

“เรียกสวีชุยและนิ่งซานไปกับข้า” เขาสั่ง

“ขอรับ”

บริวารเรียกสวีชุยกับนิ่งซานมาอย่างรวดเร็ว ลู่เซิ่งพาคนทั้งสองขึ้นรถม้า มุ่งหน้าไปยังที่ว่าการข้าหลวง โครงสร้างอำนาจบริหารที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเลียบคีรี

ระบบบริหารในส่วนภูมิภาคของต้าซ่งแบ่งออกเป็น ราชสำนัก แคว้น นคร เมือง อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน รวมเจ็ดระดับ

เมืองเลียบคีรีกับเมืองเก้าประสานเป็นเมืองใหญ่ ดูแลหลายเมืองเล็ก แต่เมืองก็แบ่งเป็นเล็ก กลาง ใหญ่เช่นกัน เมืองใหญ่ระดับนครมีเพียงเมืองเดียวในแคว้นเหนือ ส่วนเมืองระดับกลางจะเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองอย่างเมืองเลียบคีรี เมืองระดับเล็กเหมือนกับเมืองเก้าประสาน แบ่งระดับกันอย่างชัดเจน

บนรถม้า นิ่งซานแจ้งข้อมูลด้านนี้ที่ตนทราบให้ลู่เซิ่งฟัง

“เมืองเลียบคีรีเป็นเมืองใหญ่อันดับที่สามของแดนเหนือ ดังนั้นระดับสูงยิ่ง หนำซ้ำกองทัพเฟยเหลียนที่แข็งแกร่งก็อยู่ที่นี่”

“ชื่อเสียงของทัพเฟยเหลียน ข้าเองก็เคยได้ยินมาก่อน” ลู่เซิ่งพยักหน้า

“หยวนซวี่ผู้บัญชาการใหญ่ทัพเฟยเหลียน เป็นผู้อาวุโสที่มีตำแหน่งในพรรควาฬแดง เพียงแต่มีตำแหน่งเท่านั้น” นิ่งซานอธิบาย

อธิบายสักพัก ลู่เซิ่งก็เข้าในความเกี่ยวโยงภายในอย่างรวดเร็ว ทัพเฟยเหลียนนี้เชิญระดับสูงของพรรควาฬแดงไปรับหน้าที่ผู้สอนวรยุทธ์อยู่บ่อยครั้ง ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายนับว่าสนิทสนมกลมกลืน

รถม้าไม่ทันไรก็ค่อยๆ แล่นถึงประตูที่ว่าการ พวกลู่เซิ่งลงจากรถ ที่ปรึกษาที่มารอต้อนรับอยู่นานเชิญเข้าไปด้านในทันที

เข้าไปในโถงภายใน ทะลุสวนป่าและตัวลาน ทั้งสามคนเจอหลี่หลงเซี่ยน ข้าหลวงเมืองเลียบคีรีซึ่งกำลังในวัยฉกรรจ์ที่โถงรับสน

หลี่หลงเซี่ยน ชื่อรองเจินอี้ ฉายาฆราวาสภูเขามังกร ขณะเดียวกันก็เป็นปรมาจารย์ด้านการเขียนอักษร เป็นผู้ตรวจการต่างพระเนตรพระกรรณขั้นสี่ของราชสำนัก ตระกูลหลี่ที่อยู่เบื้องหลังเขามีเส้นสายที่หยั่งรากลึกในนครหลวงเช่นกัน

คนผู้นี้ไว้หนวด ใบหน้าเคร่งขรึม ผิวคล้ำ นั่งเล่นตราประทับสำริดชิ้นหนึ่งในมือ

ที่นั่งข้างเขามีคนอีกสองคน คนหนึ่งคือหยวนซวี่ผู้บัญชาการใหญ่ เป็นชายฉกรรจ์ร่างใหญ่หน้าเหลี่ยมหูกาง ดวงตาเหมือนกระดิ่งทองแดง สวมเครื่องแบบขุนนางบู๊ ห้อยดาบยาวไว้ที่เอว นั่งอย่างน่าเกรงขามบนที่นั่ง

อีกคนเป็นนักพรตอาภรณ์เขียวใบหน้าดุจหยกกวน มีสง่าราศี สวมกวนหยกสีขาวบนศีรษะ แขนเสื้อปักรูปปลาสีทอง เป็นไป๋เฟิงเหล่าเต้า[1]หัวหน้าขุนนางตรวจการซึ่งที่แล้วมาเป็นมังกรเห็นหัวไม่เห็นหางแห่งเมืองเลียบคีรี

‘ไป๋เฟิงขุนนางตรวจการ…’ ลู่เซิ่งหยีตา

ขุนนางตรวจการ เป็นหน่วยงานที่กุมอำนาจหลักในแคว้นใหญ่เมืองใหญ่ที่แท้จริงของราชสำนัก และเป็นหน่วยงานตรวจสอบที่คอยรับมือเรื่องผีๆ สางๆ โดยเฉพาะ

เช่นเรื่องภูตผีปีศาจ ข้อพิพาทของตระกูลขุนนาง ในเวลาที่จำเป็นต้องจัดการ ขุนนางระดับสูงในที่ว่าการของเมืองเลียบคีรี ต้องถามไถ่ผู้มีตำแหน่งสูงอย่างขุนนางตรวจการ จึงตัดสินใจได้

ขุนนางตรวจการในเมืองเลียบคีรีที่แล้วมาไม่มีตัวตน ครั้งนี้ขึ้นเวทีด้วยตัวเอง ทำให้เขาประหลาดใจอยู่บ้าง

‘ได้รับข่าวอะไรเป็นการลับหรือ’ ลู่เซิ่งตึงเครียด ถ้าเรื่องตระกูลเจินหลุดออกไป ท่าทีของราชสำนักก็ยากจะยืนยันแล้ว

คนอื่นๆ เขาไม่เห็นอยู่ในสายตา เมินข้ามไป

“อ้อ หัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอกลู่แห่งพรรควาฬแดงมาถึงแล้ว” ข้าหลวงหลี่ยิ้มอย่างจริงใจ กล่าวว่า “พวกเจ้าเอาที่นั่งมา”

ลู่เซิ่งสาวเท้าเข้าโถงใหญ่ นั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งตรงกลางที่ว่างทางซ้ายมือ

เขาเป็นตัวแทนพรรควาฬแดง และพรรควาฬแดงก็เป็นหัวมังกรของเส้นทางเทาๆ ในแดนเหนือ ดังนั้นตำแหน่งของเขาย่อมไม่ต่ำต้อย แต่ก็ไม่สูงเท่าไหร่ เพราะอย่างไรก็ไม่ใช่ขุนนาง

……………………………………….

[1] เหล่าเต้า เป็นคำเรียกนักพรต