ตอนที่ 570 ป้ายประกาศิตบัญชาทัพโบราณ

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ผู้เฒ่าผมขาวสวมใส่ชุดเขียวอันผ่านการใช้และซักจนซีดจาง เขาวางแหจับปลาในมือลง และฉินมู่รู้สึกว่ามีบางสิ่งเคลื่อนไหวตรงหน้าอกของเขา ถัดไปนั้น เขาก็เห็นห่วงหยกจักรพรรดิแปรเปลี่ยนเป็นมังกรน้อยที่โผล่หัวของมันขึ้นมาจากคอเสื้อ

เมื่อเจียงเหมี่ยวเห็นมังกรน้อย เขาก็ระงับไว้ไม่อยู่และแปลงกลับร่างที่แท้จริง เขากลายเป็นมังกรตัวเล็กเช่นกันและไปหลบอยู่ข้างหลังฉินมู่ด้วยเสียงคำรามเบาๆ อันทั้งเคารพและเกรงกลัว “มาฮา–”

มังกรน้อยที่โผล่หัวออกมาคือจ้าวแห่งมังกรแท้ มันอ้าปากหาวก่อนที่จะค่อยๆ คลานไต่ออกมาจากคอเสื้อของฉินมู่และเลื้อยเหาะไปยังมือของผู้เฒ่าผมขาว มันม้วนขดอยู่ในมือของเขาและหลับตาลงไปอย่างง่วงงุน

ทันใดนั้น ก็มีชายหนุ่มหญิงสาวจำนวนมากเดินออกมาจากหมู่บ้านเล็กๆ ห้อมล้อมฉินมู่และเจียงเหมี่ยว หนึ่งในชายหนุ่มร่างกำยำถาม “บรรพบุรุษเฒ่า พวกเขามาหาเรื่องหรือ”

ผู้เฒ่าผมขาวแย้มยิ้ม “ไม่หรอก พวกเขาไม่ได้มาหาเรื่อง อย่าไปทำให้พวกเขาตกใจกลัว ทั้งสองคนนี้มีวาสนากับหมู่บ้านของพวกเรา”

หนุ่มสาวมากมายจึงคลายการคุกคามออก และจากนั้นก็มองดูฉินมู่และมังกรน้อยเจียงเหมี่ยวข้างหลังเขาขึ้นๆ ลงๆ

ฉินมู่ตกตะลึง หนุ่มสาวทั้งหลายล้วนแต่มีปราณชีวิตที่คึกคักเข้มข้น และแต่ละคนนั้นก็งำประกายอย่างลึกล้ำ แต่ทว่า เมื่อพวกเขาเข้ามาล้อมทั้งสองคน ฉินมู่ก็ได้ยินเสียงระเบิดเจ็ดหนดังออกมาจากร่างกายเด็กสาวผู้หนึ่ง ทำให้เขากระจ่างว่านางคือยอดฝีมือขั้นสะพานเทวะ!

กระนั้นนางก็น่าจะเป็นผู้ที่อ่อนวรยุทธที่สุดในหมู่บ้าน ก็ในเมื่อทุกๆ คนมีท่าทีปกป้องนางเอาไว้!

แม้แต่คนที่อ่อนแอที่สุดในสถานที่นี้ ก็ยังมีวรยุทธขั้นสะพานเทวะ!

ฉินมู่เคยคิดว่าหมู่บ้านไร้กังวลเป็นหมู่บ้านที่แข็งแกร่งที่สุดในแดนโบราณวินาศ แต่จากที่เห็นแล้ว แดนโบราณวินาศช่างเป็นสถานที่อันซุ่มมังกรซ่อนพยัคฆ์จริงๆ

“นอกจากห่วงหยกจักรพรรดิ เจ้ายังมีรังมังกรแท้อีก”

ผู้เฒ่าผมขาวมองด้วยความแตกตื่นเมื่อสายตาของเขาจ้องไปจับที่เอวของเด็กหนุ่ม ฉินมู่นำถุงเต๋าตี้ออกและนำรังมังกรแท้ออกมา วางมันไว้อย่างนอบน้อมตรงหน้าผู้เฒ่าผมขาว “เชิญผู้อาวุโสชมดู”

พรายวิญญาณของจ้าวแห่งมังกรแท้พลันลอยขึ้นมา และแหวกว่ายเข้าไปในรังมังกรแท้

เมื่อคนอื่นๆ ในหมู่บ้านเห็นเช่นนั้น จิตวิญญาณของพวกเขาก็แรงกล้าขึ้นมา และพวกเขาก็อยากที่จะมุดเข้าไปในรังมังกรพร้อมกับมังกรน้อยตัวนั้นด้วย

แต่ทว่า พวกเขาระงับความอยากนั้นไว้

หรือว่าชาวบ้านที่นี่จะเป็นมังกร มิใช่มนุษย์ หรือว่านี่คือหมู่บ้านของมังกร

ฉินมู่ตั้งข้อสันนิษฐานหลังจากที่เห็นปฏิกิริยาตอบสนองของทุกๆ คน

“ห่วงหยกจักรพรรดิของตระกูลหลิงนั้น ท่านปู่เป๋ของข้าขโมยมาและมอบให้กับข้า ส่วนสำหรับรังมังกรแท้ มันถูกขัดเกลาโดยเทพครองแดนเลี้ยงมังกรแห่งเหนือฟ้า ในเมื่อข้าสยบเขาได้ รังมังกรแท้ก็ตกลงมาในมือของข้า ผู้อาวุโส ท่านคือเทพเจ้าที่หลอมสร้างห่วงหยกจักรพรรดิ ใช่หรือไม่”

สายตาของผู้เฒ่าผมขาวจับจ้องที่รังมังกรแท้ และเขากล่าวด้วยรอยยิ้มอันไม่เชิงยิ้ม “เมื่อครั้งกระโน้นตอนที่ข้าได้หลอมสร้างจ้าวแห่งมังกรแท้ให้กลายเป็นห่วงหยกจักรพรรดิและเข้าไปในแผ่นดินภาคกลางเพื่อหาผู้สืบทอด ข้าได้พบกับคนหนุ่มคนหนึ่งที่มีพรสวรรค์และปฏิภาณอันเหนือธรรมดา เขานั้นเป็นบรรพชนเฒ่าของตระกูลหลิง ข้าเห็นว่าเขามีปราณมังกรแท้ก็เลยมอบห่วงหยกจักรพรรดิให้ และถ่ายทอดภาษามังกรกับวิชาฝึกปรือบนห่วงหยกจักรพรรดิ”

“แต่ข้าจะทำอะไรได้ในเมื่อความคิดจิตใจของเขาไม่ได้จดจ่อกับเรื่องนี้ และหันไปไล่จีบสาวแทน ในท้ายที่สุด เขาก็จีบเด็กสาวคนนั้นสำเร็จ แต่ในตอนนั้น เขาก็ได้ลืมภาษามังกรและวิชาฝึกปรือที่ข้าสอนให้เขาจนเกือบหมด ในตอนนั้นเอง ข้าถึงรู้ว่าคนหนุ่มผู้นี้มิใช่จ้าวแห่งมังกรแท้”

ฉินมู่เคยได้ยินหลิงอวี้จิวเล่าเรื่องนี้มาก่อนแล้วหนหนึ่ง และพบว่ามันน่าขำ แต่ไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นเรื่องจริง!

“แต่ถึงอย่างไร ข้านั้นก็ขี้คร้านโดยธรรมชาติ และการหลอมสร้างจ้าวแห่งมังกรแท้และเสาะหาผู้สืบทอดนั้นเป็นสิ่งที่ผู้อื่นไหว้วานข้ามาอีกที ในเมื่อผู้สืบทอดก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์นัก ข้าจึงปล่อยเลยตามเลย” ผู้เฒ่าผมขาวกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ใครจะคิดว่าเจ้าหนุ่มนั้นไม่ขวนขวายพากเพียร แต่ทายาทของเขาล้วนแต่ขวนขวายพากเพียรและถึงกับสามารถเสริมความแข็งแกร่งของจักรวรรดิสันตินิรันดร์จนถึงระดับนี้ ในเมื่อห่วงหยกจักรพรรดิตกมาในมือของเจ้า และเจ้าก็ยังมีรังมังกรแท้อยู่อีกด้วย เจ้าก็คงจะต้องมาตามหาวิชาฝึกปรือบนนั้นสินะ ใช่หรือไม่”

“ผู้อาวุโส ข้านั้นสนใจวิชาฝึกปรือบนรังมังกรแท้จริงๆ นั่นแหละ แต่ทว่า ข้ามาที่นี่ก็เพราะบรรพจารย์ก่อตั้งแห่งลัทธินักบุญสวรรค์ เขาเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของข้า และเขาทิ้งแผนที่ภูมิประเทศอันระบุพิกัดของหมู่บ้านแห่งนี้ ดังนั้นข้าจึงดั้นด้นมาถึงที่นี่” ฉินมู่อธิบายอย่างนอบน้อม

ผู้เฒ่าผมขาวตกตะลึงไปครู่หนึ่งและขบคิด “บรรพจารย์ก่อตั้งแห่งลัทธินักบุญสวรรค์? หรือว่าจะเป็นเจ้าหนุ่มที่ชื่อว่าเว่ยเฟิงสุ่ย”

ฉินมู่ลังเล เขาไม่รู้ศิษย์พี่ใหญ่ของเขามีชื่อว่าอะไร

ผู้เฒ่าผมขาวเห็นสีหน้าเขาและแย้มยิ้ม “ครั้งหนึ่งเขามาหาข้าและถามข้าว่าจะสำเร็จกุศลได้อย่างไร เขาเป็นเด็กหนุ่มที่ไม่เลวและกำลังฝีมือของเขาก็เหนือธรรมดาอย่างถึงที่สุด นับได้ว่าคนสอนหนังสือรับศิษย์ที่ดีมาคนหนึ่ง”

“แต่ทว่าหากเว่ยเฟิงสุ่ยต้องการจะบรรลุเป็นนักบุญ ก็คงยากที่เขาจะสำเร็จกุศล ก็ในเมื่อมรรคาที่เขาเดินนั้นเป็นมรรคาของคนสอนหนังสือ และมันเป็นเส้นทางอันยากลำบาก ข้าไม่อาจสอนเขาถึงสิ่งใด หากว่าเจ้าเป็นศิษย์น้องของเขาและก็ได้มาหาข้าเพื่อไต่ถามวิธีการบรรลุเป็นนักบุญ ข้าก็คงสอนอะไรเจ้าไม่ได้เช่นเดียวกัน”

คนสอนหนังสือที่เขาพูดถึงนั่นน่าจะหมายถึงนักบุญคนตัดไม้ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นครูบาสวรรค์แห่งสภาสวรรค์จักรพรรดิก่อตั้ง เขานั้นได้รับหน้าที่สั่งสอนองค์ชายและองค์หญิงทั้งหลายในสายตระกูลของจักรพรรดิก่อตั้ง

“เรียนถามได้หรือไม่ ว่าศิษย์พี่ของข้าได้พูดถึงไหมว่าเขากำลังจะไปที่ใด” ฉินมู่ถาม

ผู้เฒ่าผมขาวส่ายศีรษะ “เขาไม่ได้พูดว่าเขาวางแผนจะไปที่ใดต่อ แต่เขาได้ทิ้งบางอย่างเอาไว้ หากว่าเขาให้เจ้ามาตามหาข้า มันน่าจะเพื่อของสิ่งนั้น”

เขาลุกขึ้นยืนและเดินเข้าไปในกระท่อมฟาง สักพักหนึ่ง เขาก็นำเอากล่องสีแดงออกมาและยื่นให้

ฉินมู่เปิดมันและเห็นป้ายสัญลักษณ์ขนาดเท่าฝ่ามือที่สลักเอาไว้ด้วยรูปภาพของสัตว์ร้ายตัวหนึ่ง

ฉินมู่พลิกมันไปรอบๆ แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร เขาจึงปรึกษาขอความกระจ่างอย่างจริงใจและไต่ถาม “เรียนถามผู้อาวุโส ป้ายสัญลักษณ์นี้ใช้เพื่ออะไร”

“นี่คือป้ายประกาศิตที่เอาไว้ใช้บัญชาไพร่พล มันมีวงจรพยุหะกับตำแหน่งต่างๆ สำหรับเทพเจ้าอยู่ข้างในนั้น แต่ทว่ามันเก่าแก่โบราณเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นตอนนี้มันน่าจะไร้ประโยชน์” ผู้เฒ่าผมขาวกล่าว “แม้แต่ข้าก็ยังไม่รู้จักอักษรรูนบางตัวในนั้น ดังนั้นมันอาจจะเป็นป้ายประกาศิตบัญชาทัพจากยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่งหรือเก่าแก่กว่านั้น”

เขานำป้ายประกาศิตกลับไปและกระตุ้นการทำงานด้วยพลังวัตรของเขา พวกเขาก็ได้เห็นดวงดาวมากมายลอยขึ้นมาจากป้ายประกาศิตและหมุนวนไปรอบๆ พวกเขา “ดวงดาวเหล่านั้นคือตำแหน่งสำหรับเทพเจ้าต่างๆ หากว่ามีเทพเจ้าไปประจำตำแหน่งพวกนี้ พวกเขาก็จะสามารถใช้ค่ายกลพยุหะนี้เพื่อเผชิญหน้ากับศัตรูและต่อสู้ได้”

ฉินมู่เงยหน้าขึ้นไปและสังเกตเห็นว่าดวงดาวที่ลอยออกมาจากป้ายประกาศิตบัญชาทัพนั้นไม่ใช่ดวงดาวจริงๆ พวกมันเป็นรูปเงา และมีจำนวนดวงดาวอยู่มากมายมหาศาล นับดูน่าจะหลายพันดวง และหัวใจเขาก็อดไม่ได้ที่จะสะทกสะท้าน เขาพึมพำ “ค่ายกลพยุหะที่ต้องใช้เทพเจ้าหลายพันตน…การต่อสู้แบบไหนกันที่ต้องใช้เทพมารและหลายพันตน”

“ขอบฟ้าวิสัยทัศน์ของเจ้ายังคับแคบไป” ผู้เฒ่าผมขาวรั้งพลังวัตรของเขากลับมา และรูปเงาดวงดาวนั้นก็หายวับ เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ระหว่างยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง มันมีการศึกระดับนี้อยู่ไม่ใช่น้อย พยุหะในป้ายประกาศิตนี้ไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากมายอีกต่อไป แต่มันก็นับว่าเป็นของสะสมที่ยอดเยี่ยมชิ้นหนึ่ง”

ฉินมู่มองไปที่เขาด้วยความงงงวย “พยุหะนี้จะไร้ประโยชน์ได้อย่างไร”

ผู้เฒ่าผมขาวส่งป้ายประกาศิตให้แก่เขาและกล่าว “เต๋าอันยิ่งใหญ่แห่งฟ้าและดินเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ดังนั้นค่ายกลพยุหะในป้ายประกาศิตจึงมิได้เหมาะเจาะกับเต๋าอันยิ่งใหญ่แห่งฟ้าและดินอีกต่อไป พยุหะเองก็ไม่มีพลานุภาพหลงเหลือ วัตถุชิ้นนี้โบราณเป็นอย่างยิ่ง และมันเข้ากันไม่ได้กับเต๋า มันน่าจะเป็นสิ่งที่มาจากเมื่อหลายต่อหลายหมื่นปีก่อน แต่ว่าจากยุคสมัยไหนที่มันตกทอดมา ก็มิใช่สิ่งที่ข้าจะล่วงรู้ได้”

ฉินมู่วางป้ายประกาศิตลงไปในกล่องแดงและเก็บมันเอาไว้ในถุงเต๋าตี้

ในเมื่อบรรพจารย์ก่อตั้งเว่ยเฟิงสุ่ยได้ทิ้งกล่องแดงและป้ายประกาศิตบัญชาทัพเอาไว่กับผู้เฒ่าผมขาว ก็หมายความว่าวัตถุชิ้นนี้จะต้องสำคัญเป็นอย่างยิ่งแน่นอน เหตุผลที่เขานำทางฉินมู่มายังหมู่บ้านก็จะเพื่อการนี้เป็นแน่

“ขออภัยแก่ความหยาบคายของผู้เยาว์นี้ แต่เรียนถามได้หรือไม่ว่าผู้อาวุโสมีนามเรียกหาอันใด” ฉินมู่กล่าว

ผู้เฒ่าผมขาวแย้มยิ้มแก่เขา “ข้าคิดว่าลูกหลานตระกูลฉินจะรู้จักชื่อของข้าเสียอีก แต่เจ้ากลับไม่รู้ ข้าคือสายแร่มังกรที่สำเร็จเต๋าและฝึกปรือตนเองจนกลายเป็นมังกรแท้ เมื่อครั้งกระโน้น ข้าได้ติดตามบรรพบุรุษของเจ้า เพราะว่าข้าเพิ่งถือกำเนิดและไม่รู้จักวิธีเปล่งวาจา ข้าจึงได้แต่ร้องมาฮา ดังนั้นบรรพบุรุษเจ้าจึงตั้งชื่อให้ข้าเช่นนั้น แซ่ของข้าคือมา และชื่อของข้าคือฮาชิง เขามักจะใช้มันเพื่อล้อเลียนข้า”

ฉินมู่มองไปที่เขาด้วยสีหน้าประหลาด “มาฮาชิง…”

เจียงเหมี่ยวโผล่หัวของเขาออกจากข้างหลังฉินมู่ และกล่าวอย่างเหนียมอาย “มาฮา–”

ผู้เฒ่าผมขาวเล่าเรื่องราวของเขาต่อ “หลังจากนั้นข้าก็ได้เป็นขุนนางในสภาสวรรค์อันมีสามมหาปราสาทสวรรค์ ข้าดูแลปราสาทมังกรเขียว และกรมเทพหกสิบดาวของมัน ทั้งหมดนั้นอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของข้า ข้านั้นได้รับการยกย่องให้เป็นจักรพรรดิเขียว แต่ข้าไม่ชอบฉายาดังกล่าวเพราะมันดูเขื่องโขเกินไป และข้างก็ได้เปลี่ยนชื่อของข้าเป็นชิงหวง บัดนี้เมื่อสภาสวรรค์แห่งจักรพรรดิก่อตั้งถูกทำลายล้าง และปราสาทสวรรค์มังกรเขียวก็ไม่มีอยู่อีกต่อไป เจ้าก็เรียกข้าว่าผู้เฒ่าชิงหวงก็พอ”

ผู้เฒ่าชิงหวงรีบวาดมือเป็นท่าที่ให้เขาลุกขึ้นจากการโค้งคารวะ “ลุกขึ้นเถอะ เมื่อข้าเห็นเจ้ามาที่นี่ ข้ารู้สายเลือดของเจ้าในทันที และคาดคะเนว่าเจ้าเป็นทายาทรุ่นหลังของจักรพรรดิก่อตั้ง เจ้าต้องการเรียนภาษามังกรของรังมังกรแท้นี้หรือ ข้าสอนเจ้าได้”

ฉินมู่ลิงโลดและโค้งคารวะด้วยความสำนึกคุณ “ต้องรบกวนท่านแล้ว ผู้อาวุโส”

ผู้เฒ่าชิงหวงนำเขาเข้าไปในรังมังกรแท้และกล่าว “ข้าพบว่ามรรคา วิชา และทักษะเทวะของเจ้าสำเร็จขั้นน้อยแล้ว และเจ้าดูเหมือนว่าจะฝึกปรือทั้งมรรคาเทพและมรรคามาร เจ้าคล้ายกับว่าจะเปิดสมบัติเทวะของทั้งสองมรรคา อันแปลกพิสดารอย่างยิ่ง เมื่อเห็นว่าเจ้าได้พบมรรคาเต๋าของตนเองแล้ว การเรียนรู้วิชาฝึกปรือของเผ่ามังกรของข้านั้นก็คงเป็นการแต่งเสริมเข้าไปในสิ่งที่สมบูรณ์ ในทางกลับกัน มังกรน้อยผู้นี้ เจ้าน่าจะได้รับผลประโยชน์ใหญ่หลวง”

เจียงเหมี่ยวซึ่งเป็นมังกรน้อยอยู่ในขณะนั้น เขย่งอยู่ข้างหลังฉินมู่ เมื่อเขาได้ยินที่ผู้เฒ่าชิงหวงกล่าว เขาก็หดหัวกลับไปและกล่า “มาฮา…”

ผู้เฒ่าชิงหวงแย้มยิ้มให้แก่เขา “ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า หากว่าเจ้าต้องการจะขอบคุณ ก็จงขอบคุณเขาเถอะ จริงสิ ฉินมู่ ข้าสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่แปลกประหลาดมากๆ บนร่างกายของเจ้า และมันอยู่ที่คอ ดูเหมือนว่ามันจะเป็นจี้หยกที่มีเวทปิดผนึกอันทรงพลังซ่อนอยู่ข้างใน”

“นี่คือสิ่งที่ผู้อาวุโสสัมผัสได้ใช่ไหม” ฉินมู่นำจี้หยกของเขาออกมาและกล่าว “มันถูกสรรค์สร้างขึ้นมาด้วยฝีมือของภูติบดี และเขากล่าวว่ามันใช้เพื่อปิดผนึกสันดานมารของข้า ข้าถือกำเนิดในแดนใต้พิภพและถูกสันดานมารที่เอ่อท้นอยู่ในนั้นรุกรานเข้ามา ดังนั้นภูติบดีจึงหลอมสร้างมันให้แก่ข้า ตราบเท่าที่ข้าสวมมันเอาไว้ มันก็จะสยบสันดานมารของข้าเอาไว้ได้”

ผู้เฒ่าชิงหวงมองไปที่จี้หยกและยิ้มหยัน “ภูติบดีปิดผนึกสันดานมารให้เจ้างั้นหรือ ทำไมเขาต้องใจดีขนาดนั้นด้วยล่ะ เอาจี้หยกมาให้ข้า ข้าจะช่วยเจ้าปลดผนึกนี่เอง!”

“นี่…” ฉินมู่มองไปที่เขาด้วยสีหน้าลำบากใจและกล่าวด้วยเสียงเบา “ผู้อาวุโส ครั้งหนึ่งท้าวยมราชพยายามจะปลดผนึก และได้รับอันตรายจากคำสาปในจี้หยก และฝู่ยื่อลัวแห่งเผ่ามารก็พยายามจะปลดผนึกออกไปเช่นกัน และก็ต้องคำสาปเหมือนๆ กัน เขาลงเอยด้วยสภาพอันยับเยินน่าสังเวช อาจารย์ของข้าและท้าวยมราชกล่าวว่า การไม่ปลดผนึกจี้หยกคือวิธีที่ดีที่สุด และข้าไม่ควรปล่อยให้จี้หยกออกห่างจากกาย ไม่เช่นนั้นจะมีสิ่งร้ายกาจน่าสะพรึงกลัวเกิดขึ้น…”

“แค่คำสาปมีอะไรต้องกลัว” ผู้เฒ่าชิงหวงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แต่ทว่า หากแม้แต่คนสอนหนังสือก็ยังกล่าวเช่นนั้น ดังนั้นมันจะต้องมีสาเหตุ มาสิ ให้ข้าคลี่คลายไขข้อสงสัยของเจ้าในเรื่องวิชาฝึกปรือมังกรแท้ในรังมังกรแท้แห่งนี้!”

………………