บทที่ 111 สตรีผู้หาเรื่องเก่งกว่าเถ้าแก่ปู้

ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD

“สมแล้วที่เป็นนครหลวงของจักรวรรดิวายุแผ่ว ถนนหนทางช่างมีอะไรให้ดูเยอะแยะเสียจริง ครื้นเครงกว่าสำนักโบราณเต่าล้านปีไกลปืนเที่ยงของเราเยอะ” หนี่หยันพึมพำขณะกวาดสายตามองไปรอบๆ ด้วยความสนอกสนใจ ร่างอ้อนแอ้นของนางซ่อนอยู่ภายในชุดคลุมตัวโคร่ง ขณะค่อยๆ เดินตัดผ่านถนนสายหลักของนครหลวง

ตอนนี้เป็นยามเช้าของวันหนึ่งในต้นฤดูหนาว สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านรวงมากมาย รวมถึงพ่อค้าแม่ค้าน้อยใหญ่ที่เร่ขายของมากมายหลากหลายขนาน เป็นบรรยากาศที่ครื้นเครงผิดหูผิดตาทีเดียว ดูเหมือนว่าหิมะที่พัดหมุนวนในอากาศนั้น ไม่ได้ทำให้ความกระตือรือร้นในการทำมาหากินของพ่อค้าแม่ค้าลดน้อยลงไปเลย

ถังอิ่นและลู่เซียวเซียวเดินตามหนี่หยันทุกฝีก้าวเพราะกลัวจะคลาดกับนางในฝูงชน อาจารย์ที่มีอุปนิสัยสุดหลวมของพวกเขาทั้งสองนั้นมีดีทุกอย่าง พรสวรรค์ในการฝึกปราณของนางยอดเยี่ยมมากเสียจนบรรลุปราณระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการแล้ว ความสามารถในการทำอาหารของนางเองก็เลิศเลอไม่แพ้กัน อาหารฝีมือนางนั้นกลิ่นหอมจนเหลือเชื่อเลยทีเดียว นอกจากนี้รูปร่างหน้าตาของนางยังสวยงามจนยากหาใครเทียบเทียม สิ่งเดียวที่เป็นจุดอ่อนแสนน่าหัวร่อคือ นางหลงทิศหลงทางเป็นอาจิณ

“อิ่นอิ่นน้อย เจ้าน่าจะเปิดร้านขายของในลานจัตุรัสกลางสำนักของเรานะ อาจจะได้เงินมากกว่าเดิมอีก แถมยังจะทำให้สำนักเราครื้นเครงมากขึ้นด้วย ข้าออกจากห้องมาทีไรไม่เห็นเคยเจอใครเดินไปเดินมาในสำนักเราเลย ช่างน่าผิดหวังอะไรเช่นนี้” หนี่หยันพูดกับถังอิ่นที่เดินตามอยู่ด้านหลัง

ถังอิ่นแค่นหัวเราะออกมาทันที เหตุใดผู้ฝึกตนระดับหกขั้นจักรพรรดิยุทธการอย่างเขาจะต้องมารับบทพ่อค้าเร่ที่ลานจัตุรัสกลางสำนักด้วยเล่า… เขาไม่ได้โง่นะ

“จะว่าไป ร้านอาหารของศิษย์พี่พวกเจ้าชื่อว่าอะไรนะ” หนี่หยันหันหน้ากลับมาถาม เผยให้เห็นใบหน้าสวยที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้าคลุม

ถังอิ่นกำลังจะเอ่ยตอบ แต่ก่อนจะทันได้พูดอะไร หนี่หยันก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน “อ้อ ในเมื่อหมอนี่เป็นคนถือดีแถมยังมีพลังปราณสูงส่ง แปลว่าต้องเป็นเจ้าของร้านอาหารที่ดังที่สุดในนครหลวงอย่างแน่นอน…”

ชายหนุ่มได้แต่เงียบปาก มองตามอาจารย์ตนที่เดินเข้าไปหาหญิงวัยกลางคนซึ่งกำลังขายผักอยู่ข้างทาง เพื่อเอ่ยถามว่าร้านอาหารใดคือร้านที่ดังที่สุดในนครหลวง

“ร้านอาหารที่ขึ้นชื่อที่สุดในนครหลวงรึ ก็ต้องเป็นร้านปักษาเพลิงนิรันดร์แน่นอนอยู่แล้ว” แม่ค้าผักวัยกลางคนตอบด้วยสำเนียงถิ่นชัดแจ้ง

ร้านปักษาเพลิงนิรันดร์รึ หนี่หยันพยักหน้า นางกล่าวขอบคุณแม่ค้าแล้วเดินต่อไปข้างหน้า ถังอิ่นและลู่เซียวเซียวมองหน้ากัน สุดท้ายฝ่ายชายก็เป็นคนพูดขึ้นมา “ท่านอาจารย์ขอรับ ชื่อร้านอาหารที่ศิษย์พี่บอกเอาไว้ดูเหมือนจะเป็น… ร้านเล็กๆ ของฟางฟางนะขอรับ”

“ร้านเล็กๆ ของฟางฟางอะไรกัน เจ้าก็ตั้งชื่อร้านเพิงของตัวเองว่าร้านเพิงน้อยๆ ของหยวนหยวนบ้างสิ เป็นชื่อที่ฟังแล้วหดหู่อะไรเช่นนี้ ช่างหัวมันไปก่อน ไว้ค่อยไปไอ้ร้านเล็กๆ ของฟางฟางทีหลังก็แล้วกัน ไปดูกันก่อนดีกว่าว่าร้านอาหารที่เลิศรสที่สุดในนครหลวงเป็นอย่างไรบ้าง ข้าอยากลองชิมอาหารของร้านนั้นดู” หนี่หยันพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

แม้นางจะเป็นผู้อาวุโสลำดับสามของสำนักความลับแห่งสวรรค์ แต่ก็แตกต่างจากผู้อาวุโสคนอื่นๆ ที่สนใจศึกษาเพียงโหราศาสตร์และการพยากรณ์เท่านั้น หนี่หยันมุ่งมั่นจะเอาดีทางด้านการครัว นางชอบทำอาหารจากเนื้อของอสูรเวทและคิดค้นสูตรอาหารใหม่ๆ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือนางเป็นคนกินจุมาก

หนี่หยันเป็นสตรีที่คลั่งไคล้อาหารเป็นที่สุด

ถังอิ่นได้แต่มองอาจารย์ของตนเดินอาดๆ อย่างมั่นใจ ไม่รู้จะทำอย่างไรกับนางดี เมื่อใดที่ได้ยินคำว่าอาหาร อาจารย์ของพวกเขาจะเหมือนเสียสติไปทันที ดูเหมือนว่าร้านปักษาเพลิงนิรันดร์จะชะตาขาดเสียแล้วในวันนี้

แม้อาจารย์ของพวกเขาจะชื่นชอบการกินเป็นชีวิตจิตใจ แต่นางก็เรื่องมากจุกจิกเสียยิ่งกว่าอะไรเพราะความชื่นชอบในอาหารแบบสุดชีวิตนั่นเอง…

ทั้งสามเดินทางมาถึงร้านปักษาเพลิงนิรันดร์ในที่สุด ร้านอาหารที่ตกแต่งอย่างสวยงามยังคนแน่นเหมือนเคย ลูกค้าประจำวนเวียนกันมาเยี่ยมเยียนไม่ขาดสาย ธุรกิจดูไปได้สวยตามปกติ

แม้พ่อครัวจากร้านจะพ่ายแพ้ในศึกการแข่งทักษะการใช้มีดให้เจ้าของร้านใจไม้ไส้ระกำ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าลูกค้าจะต้องเลิกมากินอาหารที่ร้านนี้

“ตายแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่พวกท่านมากินอาหารที่ร้านเราใช่ไหมเจ้าคะ มาๆ รีบเข้ามาเร็วเจ้าค่ะ”

ทันทีที่หนี่หยันและศิษย์ทั้งสองก้าวเท้าเข้ามาในร้าน สตรีวัยกลางคนหน้าตาสะสวยนามว่าพี่หญิงใหญ่ชุนก็รีบพุ่งเข้ามาต้อนรับ พร้อมส่ายสะโพกซ้ายทีขวาที

หนี่หยันเหลือบตามองพี่หญิงใหญ่ชุนแวบหนึ่ง แล้วดวงตาคู่สวยเหมือนมีมนต์สะกดของนางก็เสไปมองทางอื่น ทำเอาพี่หญิงใหญ่ชุนรู้สึกประดักประเดิดอยู่ไม่น้อย

หลังจากนั้นถังอิ่นก็ก้าวเข้ามาพูดคำสองคำกับพี่หญิงใหญ่ชุน นางจึงเดินพาทั้งสามไปยังโต๊ะว่างที่ชั้นแรก

หนี่หยันลากเก้าอี้ออกมานั่ง ชุดคลุมของนางเลิกขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นขาเรียวยาวขาวผ่อง จากนั้นคิ้วสวยก็มุ่นเข้าหากัน นางเอานิ้วรูดไปบนโต๊ะ สีหน้าบอกบุญไม่รับขณะเอ่ยประเมิน “ความสะอาดจัดว่าแย่ ทำเอาข้าหมดความอยากอาหารเลย ข้าให้ศูนย์คะแนน”

พี่หญิงใหญ่ชุนเลิกคิ้วสูง หน้าอกใหญ่ของนางสั่นกระเพื่อม… เหตุใดคำพูดนั้นจึงฟังดูคุ้นหูเสียเหลือเกิน

“เอาอาหารทุกจานในชั้นหนึ่งที่เจ้าคิดว่าดีที่สุดมา!” หนี่หยันหันไปพูดกับพี่หญิงใหญ่ชุนหลังจากที่ประเมินความสะอาดเรียบร้อยแล้ว

ความรู้สึกคุ้นเคยทวีคูณขึ้นในใจของพี่หญิงใหญ่ชุน หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะนึกถึงครั้งสุดท้ายที่มีคนพูดคำพูดเหล่านี้กับนาง พ่อหนุ่มหน้าตาดีคนนั้นที่ดูไร้อารมณ์มาตั้งแต่เกิด…

สวรรค์โปรด หรือว่าสตรีนางนี้จะมาจับผิดร้านเราด้วยเช่นกัน

พี่หญิงใหญ่ชุนอกสั่นขวัญแขวนกับเมื่อครั้งที่ปู้ฟางมาเยือนเป็นอันมาก

ทว่านี่เป็นคำสั่งของลูกค้า… นางจึงทำได้เพียงดำเนินการตามเท่านั้น ด้วยเหตุนี้พี่หญิงใหญ่ชุนจึงจัดอาหารออกมาตามที่หนี่หยันว่า

ขณะที่พ่อครัวแม่ครัวกำลังทำอาหาร พี่หญิงใหญ่ชุนก็เริ่มพูดแนะนำกฎและรูปแบบของร้านปักษาเพลิงนิรันดร์

“อ้อ สรุปคือร้านนี้มีสามชั้นและชั้นแรกแย่ที่สุดเช่นนั้นรึ” หนี่หยันถาม ส่วนพี่หญิงใหญ่ชุนก็พยักหน้าตอบ นางไม่ได้ขยายความอีก ทำเพียงตอบว่า “เจ้าค่ะ” เบาๆ เท่านั้น

หลังจากที่รออยู่สักพัก อาหารจานแรกก็มาถึง บริกรพร้อมผ้าขนหนูสีขาวพาดบ่าเดินออกมาวางลูกชิ้นตุ๋นตำรับจีนลงตรงหน้าหนี่หยัน

หนี่หยันเปิดผ้าคลุมหน้าออก ใบหน้าที่สวยวิจิตรจนทำให้ใครก็ตามที่ได้มองพากันลืมหายใจปรากฏให้พี่หญิงใหญ่ชุนและบริกรได้เห็นในที่สุด

บริกรคนนั้นตกใจเป็นอันมากจนตาแทบถลนออกจากเบ้า… นางช่างแสนงดงามจนเกินบรรยาย! ความงามของนางเทียบได้กับหญิงงามอันดับหนึ่งในนครหลวงอย่างเซียวเยียนอวี่เลยทีเดียว!

แต่หลังจากที่กัดลูกชิ้นเข้าไปหนึ่งคำ คิ้วของหนี่หยันก็ขมวดเข้าหากัน จากนั้นนางก็เริ่มพ่นข้อผิดพลาดของลูกชิ้นตุ๋นตำรับจีนนี้ออกมาเป็นไฟ บริกรและพี่หญิงใหญ่ชุนต่างตาตื่นได้สติขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยิน

การกระทำของหนี่หยันทำให้พวกเขานึกถึงชายหนุ่มคนนั้น ที่มาหยามร้านปักษาเพลิงนิรันดร์ถึงถิ่น…

แม้อาหารจานนี้จะได้รับการปรับปรุงไปบ้างตามคำแนะนำของปู้ฟาง แต่ร้านปักษาเพลิงนิรันดร์ก็ไม่ได้ลงทุนลงแรงกับอาหารที่ชั้นหนึ่งมากนัก ผลก็คืออาหารจานนี้ถูกหนี่หยันเหยียบย่ำเสียไม่เหลือชิ้นดี

อาหารจานอื่นเองก็มีชะตากรรมไม่ต่างกัน แม้ใบหน้าและรูปร่างของหนี่หยันจะสวยงามเหมือนนางฟ้า แต่ปากของนางกลับร้ายกาจเหมือนยาพิษขณะวิพากษ์วิจารณ์รสชาติอาหาร นางปากร้ายยิ่งกว่าปู้ฟางเสียอีก

พี่หญิงใหญ่ชุนมีสีหน้าถมึงทึงหลังจากฟังคำวิจารณ์เผ็ดร้อนของหญิงสาวเข้าไปเต็มสองรูหู ส่วนหนี่หยันก็ตั้งท่าจะเดินขึ้นไปที่ชั้นสองหลังจากกินอาหารที่ชั้นแรกเสร็จ

ด้วยความที่ถังอิ่นมีเงินจ่าย พี่หญิงใหญ่ชุนจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องปล่อยให้พวกเขาทำตามใจชอบ นางทำได้เพียงรีบวิ่งไปบอกเฉียนเป่าเท่านั้น เพราะรู้สึกว่าสตรีรูปงามผู้นี้มีฝีปากเราะร้ายก่อเรื่องได้เจ็บแสบเสียยิ่งกว่าปู้ฟางอีก…

กว่าเฉียนเป่าจะรุดขึ้นไปที่ชั้นสอง หนี่หยันก็กินอาหารเสร็จไปแล้วกว่าครึ่ง

“หืม ไอ้ปูม้านี่ไม่เลวเลย ถึงคุณภาพเนื้อจะห่วยแตกแต่พ่อครัวควบคุมอุณหภูมิน้ำมันได้ดีทีเดียว มันปูเองก็ทำออกมาได้สุกรสชาติพอดี… จานนี้ถือว่ารับได้ถ้าเทียบกับจานอื่น” หนี่หยันพ่นคำวิจารณ์ออกมาหลังจากที่กินผัดปูม้าเข้าไปคำเดียว

เฉียนเป่าที่ยืนอยู่ด้านข้างน้ำตาแทบไหล หญิงสาวนางนี้ช่างน่ากลัวเสียจริง นางพูดสิ่งเดียวกับที่ปู้ฟางพูดไม่มีผิด แถมยังเอ่ยชมในจุดที่พวกเขาปรับวิธีการตามที่ปู้ฟางแนะนำอีกด้วย

“โดยรวมแล้วอาหารที่ชั้นสองดีกว่าชั้นแรกเยอะ แต่ก็ยังมีข้อผิดพลาดอยู่ เอาล่ะ ข้าจะไปต่อที่ชั้นสามเสียที” หนี่หยันพูดพร้อมลุกขึ้นยืน

พอได้ยินคำนี้เข้าไป สีหน้าของเฉียนเป่าก็อิหลักอิเหลื่อทันที มีเพียงผู้สูงศักดิ์อย่างจักรพรรดิหรือขุนนางชั้นสูงเท่านั้นที่ขึ้นไปยังชั้นสามได้ สตรีตรงหน้าของเขานี้เป็นใครก็มิรู้ได้ แน่นอนว่าเฉียนเป่าปล่อยให้นางขึ้นไปยังชั้นสามไม่ได้เป็นอันขาด

“ขออภัยเป็นอย่างสูง แต่ชั้นสามของร้านปักษาเพลิงนิรันดร์ยังไม่เปิดให้คนธรรมดาเข้าในตอนนี้” เฉียนเป่าประกาศ

ถังอิ่นและลู่เซียวเซียวตกใจเป็นอันมาก หนี่หยันเองก็อึ้งไปเช่นกัน นางหันไปมอง ดวงตาสวยเหมือนภาพวาดจ้องเฉียนเป่าเจ้าของร้านเขม็ง

เฉียนเป่ารู้สึกกลัวสายตาคู่นั้นอย่างบอกไม่ถูก จึงบังคับตนเองให้ย้ำคำเดิมอีกครั้ง

หนี่หยันไม่พอใจกับคำปฏิเสธของอีกฝ่ายเป็นอันมาก นางจ้องเฉียนเป่าด้วยสายตาเย็นชา จากนั้นก็เอ่ยเน้นทุกคำพูด “ให้ข้าขึ้นไปเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้น… ข้าจะพังร้านเจ้าให้กลายเป็นซาก”

สีหน้าของเฉียนเป่าเย็นชาขึ้นมาทันที สตรีตรงหน้าเขาตั้งใจจะก่อเรื่องในร้านเช่นนั้นหรือ เฉียนเป่าปรบมือเรียกผู้ฝึกตนระดับห้าขั้นราชันยุทธการออกมาสามคน

“ลูกค้าที่เคารพรักขอรับ ท่านควรประเมินความสามารถตนเองให้ดีกว่านี้ก่อนจะมาก่อเรื่องในร้านข้า มิเช่นนั้น…”

ปัก!!

หนี่หยันยกมือขึ้นแล้วกดลงบนอากาศเบาๆ ทันใดนั้น ก่อนที่เฉียนเป่าจะทันได้พูดจบ ผู้ฝึกตนระดับห้าขั้นราชันยุทธการทั้งสามคนก็ถูกกดลงกับพื้น คำพูดที่เจ้าของร้านจะพูดต่อติดอยู่ในลำคอทันที…

“มิเช่นนั้นจะทำไมนะ” หนี่หยันถามเสียงหวานพร้อมรอยยิ้มสวยจับใจ ขณะปรายตามองเฉียนเป่า

…………………