ตอนที่ 131 ธุรกิจของเหล่าฉิน

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ตอนที่ 131 ธุรกิจของเหล่าฉิน

คุณแม่ซูเตรียมตั้งโต๊ะอาหารไว้คอยท่าครอบครัวที่กำลังจะมาหา

เพราะลูกชายคนโตกับลูกชายคนรองออกไปงานฉลองปีใหม่ วันนี้นางถึงได้อยู่บ้านเพียงลำพัง

นางรีบลุกไปต้อนรับจี้เจี้ยนอวิ๋น ซูตานหง และเหรินเหรินน้อยที่มาถึงแล้วด้วยสีหน้าแช่มชื่น

“ปีนี้หลานยายโตขึ้นมากเลยนะ เมื่อปีที่แล้วยังเป็นเด็กตัวนิดเดียวอยู่แท้ ๆ ตอนนี้กลับนั่งอยู่นิ่งเองได้แล้ว” คุณแม่ซูเอ่ยด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม

ตอนนี้เหรินเหรินไม่ใช่เด็กเล็กแล้ว ทั้งนั่งและคลานไปทั่วตามใจชอบ เป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไรกัน? พอคิดจะคว้าตัวมากอดก็ทำไม่ได้ง่ายอย่างแต่ก่อนแล้ว

สายตาของเหรินเหรินจ้องเขม็งไปที่ส้มในมือคุณแม่ซู ก่อนนั่งลงเงียบ ๆ คล้ายรู้ว่าเป็นของตัวเอง

“คุณแม่ อย่าตามใจเจ้าเด็กคนนี้เกินไปสิคะ” ซูตานหงเผยยิ้ม

“ไม่ให้ตามใจหลานชายตัวเองแล้วจะให้ตามใจใครกัน?” คุณแม่ซูเอ่ยอย่างไม่จริงจังนัก

นางแกะส้มให้หลานชายกินหลังเอ่ยจบ ซูตานหงกินส้มไปได้ลูกหนึ่งแล้ว มันทั้งหวานและอร่อยมาก ส่วนเหรินเหรินเองก็ดูจะถูกใจรสชาติของมันมากทีเดียว

“ปีหน้าก็แวะมาหายายที่นี่อีกสิ” คุณแม่ซูยกยิ้มขึ้น สองปีที่ผ่านมานี้ชีวิตของนางช่างสุขสบาย มีเนื้อให้กินอยู่บ่อยครั้ง อีกทั้งทุกคนยังดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาก

ยิ่งไปกว่านั้นช่วงนี้ยังได้เข้าไปช่วยลูกชายคนรองในเมือง ดูจากเสื้อผ้าชุดใหม่ของนางที่สวมอยู่ซึ่งไม่จำเป็นต้องถามก็รู้ดีว่าใครเป็นคนซื้อให้ เห็นได้ชัดว่าเขาคงดูแลนางเป็นอย่างดี

“คุณแม่คะ งานที่ร้านช่วงนี้เป็นยังไงบ้างคะ” ซูตานหงเอ่ยถาม

“ทุกอย่างก็ราบรื่นดีนะ ติดแค่ตรงที่ยุ่งเกินไปนั่นแหละ รู้ไหมว่าทันทีที่เปิดร้านก็มีลูกค้ามารอกันแล้ว” คุณแม่ซูไม่ได้ตอบรับลูกสาวของตน แต่กลับหันไปบอกเรื่องนี้กับจี้เจี้ยนอวิ๋น

นางผ่านโลกมามากจึงรู้ดีว่าไม่ว่ากิจการในเมืองของลูกชายคนรองจะรุ่งเรืองเพียงไหน แต่ก็ไม่อาจเทียบได้กับธุรกิจของลูกเขย จึงไม่ต้องกังวลว่าอีกฝ่ายจะนึกริษยา

ซูตานหงกล่าวขึ้น “เพราะกิจการไปได้สวย แม่เลยต้องไปช่วยบ่อย ๆ ตอนนี้ร้านเป็นที่รู้จักบ้างแล้ว ถ้ายิ่งดูแลให้ดีก็จะยิ่งมีลูกค้ามากกว่านี้อีกค่ะ”

“แล้วใครว่าเขาไม่ทำอย่างนั้นกันล่ะ? รู้ไหมว่าพี่รองของแกอยู่เชือดไก่หามรุ่งหามค่ำตลอด ไม่อย่างนั้นคงไม่มีไก่ขายวันต่อไปหรอก แล้วถ้าขายไม่ได้ราคาเขาก็คงไม่เสียเวลาเอามาขายแน่” คุณแม่ซูตอบ

“ตั้งใจทำมาหากินก็เป็นเรื่องดีค่ะ แต่พี่รองก็ต้องรักษาสุขภาพของตัวเองด้วย” ซูตานหงปราม

“เขายังหนุ่มยังแน่น ขยันทำมาหากินเสียตั้งแต่ตอนนี้จะได้เก็บเงินได้เยอะ ๆ เดี๋ยวก็จะวันปีใหม่แล้ว พ้นช่วงนี้ไปก็คงจะยุ่งน้อยลง ถึงตอนนั้นค่อยพักผ่อนชดเชยทีหลังก็ไม่สาย” คุณแม่ซูว่าอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก

ด้วยเคยชินกับชีวิตที่ยากลำบาก นางย่อมมองโลกต่างออกไป ในยามที่ทำกำไรได้ก็ควรจะตั้งใจกอบโกยให้มาก ใครจะรู้ว่าตลาดจะวายเมื่อไร? ทั้งยังต้องหาเงินมาคืนทุนตอนที่ใช้เงินลูกเขยไปมากเพื่อเปิดร้านด้วย

“ไม่ต้องรีบร้อนหรอกค่ะ หนูมั่นใจว่าไก่กับไข่ของเราเป็นของดี ถ้าแม่ได้ลองกินไก่กับไข่จากบ้านเราคงไม่คิดจะไปกินที่อื่นแน่ ของพวกนั้นรสชาติไม่เป็นสับปะรดเลยล่ะค่ะ” ซูตานหงเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม

จี้เจี้ยนอวิ๋นที่อยู่ข้าง ๆ นึกขบขันในใจ ภรรยาเขาขายของเก่งขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน หากแต่เขาเองก็คิดเหมือนกันว่าไก่กับไข่ของบ้านตัวเองนั้นดีที่สุด ทั้งลุงป้าน้าอาไปจนถึงคนเฒ่าคนแก่ต่างก็มาซื้อทุกครั้งที่แวะเข้ามาในเมืองมหาวิทยาลัย

คุณแม่ซูเห็นด้วยเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ไก่กับไข่ที่แกเลี้ยงก็ดีกว่าจริง ๆ นั่นแหละ ที่เลี้ยงที่บ้านฉันก็ไม่ได้ดีเท่าของแก ไข่กลิ่นหอมน่ากิน ส่วนเนื้อไก่พอเอาไปเคี่ยวสักนิดก็มีกลิ่นหอมเหมือนกัน กินแล้วกระชุ่มกระชวยดีมาก”

นางไม่ได้ยกยอลูกเขยของตัวเอง เพียงแต่นี่เป็นสิ่งที่ลูกค้าบอกมาอย่างมั่นอกมั่นใจว่าทั้งไก่และไข่ที่จิ้นตั๋งขายล้วนอร่อยเลิศทั้งนั้น คิดไม่ผิดที่เลือกซื้อจากเขา

“อันที่จริงเมื่อก่อนมีคนมาขอเหมาซื้อไข่กับไก่ของผมไปด้วยนะครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“แล้วขายไปหรือเปล่า?” คุณแม่ซูชะงักไป

“ไม่หรอกค่ะ เจี้ยนอวิ๋นไม่ยอมขายให้ เมืองนี้เป็นบ้านเกิดของเรา เราให้คนตระกูลอื่นนอกจากพี่รองเอาไปขายไม่ได้หรอกค่ะ นอกเสียจากจะมารับของไปขายในชนบท” ซูตานหงเอ่ย

“มีคนจากอำเภอมาขอซื้อด้วยเหรอ?” คุณแม่ซูนึกในใจว่าลูกเขยของนางช่างมีหัวการค้าจริง ๆ

“ค่ะ เจี้ยนอวิ๋นกับเหล่าฉินร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา เขาเคยช่วยเราขายของด้วย ปีที่แล้วก็มาปรึกษาเรื่องที่จะเพาะพันธุ์ผลไม้ แต่ว่าเจี้ยนอวิ๋นไม่แนะนำให้เขาทำ พอพี่รองเสวียมาขอซื้อไก่กับไข่ไปเปิดร้านในอำเภอ เหล่าฉินเองก็เลยพยายามจะเปิดร้านเหมือนกันแล้วก็น่าจะไปได้ดีด้วยค่ะ” ซูตานหงกล่าว

เหล่าฉินเปิดร้านเมื่อไม่กี่ปีก่อน เขาแวะมารับสินค้าไปขายหลายครั้ง อีกทั้งยังเป็นคนนับเงินเองกับมือ ดูท่ากิจการคงเป็นไปอย่างราบรื่น

“มีไก่กับไข่เหลือบนภูเขาไม่มากแล้วนี่” คุณแม่ซูอดที่จะถามออกมาไม่ได้ “เธอจะมีพอขายเหรอ”

“เหลือแค่สองตัวก็พอแล้วล่ะครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นยิ้ม

“ปีหน้าเดี๋ยวก็จะขยายเล้าไก่แล้ว หนูกลัวว่าจะขายไม่หมดแล้วแม่ต้องลงไปช่วยที่เมืองมหาวิทยาลัยด้วยซ้ำ แต่แม่ไม่ต้องห่วงว่าพี่รองจะขายไข่ไม่ได้หรอกค่ะ มันมีไม่พอขายเสียด้วยซ้ำ เพราะมีแต่ลูกค้ามารอซื้อของจากร้านพี่รองทั้งนั้นเลย” ซูตานหงกล่าว

ความจริงแล้วเธอไม่ได้ถูกชะตากับเหล่าฉินคนนี้นัก ครั้งที่แล้วอีกฝ่ายขับรถมารับของ เขาก็พูดจาไร้สาระว่าที่สวนผลไม้ตระกูลเธอผลิดอกออกผลได้นั้นเป็นเพราะต้นกล้าผลไม้ที่เขาให้ ฟังแล้วชวนให้เธอรู้สึกรำคาญใจไม่น้อย

เขาพูดแบบนั้นได้อย่างไรกัน? กล้าพันธุ์ที่เจี้ยนอวิ๋นสั่งมาตอนแรกทั้งคุณภาพดีและก็ลงทุนไปไม่น้อย แม้เหล่าฉินจะเป็นคนมีน้ำใจแต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะเข้ามาช่วยเหลืออะไรทางนี้ได้ตามใจชอบ อย่างน้อยเขาก็ได้ค่าตอบแทนจากการเก็บเกี่ยวผลไม้ในสวนนับสิบหยวน ซึ่งไม่ใช้เงินจำนวนน้อย ๆ เลย

ครอบครัวเหล่าฉินถึงกับบอกว่าเหล่าฉินเป็นคนช่วยให้ขายของได้ สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นเพราะบุญคุณของสหายอย่างเขาแท้ ๆ ซึ่งซูตานหงไม่อยากได้ยินเลย

ทุกครั้งที่เหล่าฉินมาช่วย เจี้ยนอวิ๋นก็ไม่คิดเอาเปรียบ นอกจากค่าจ้างแล้วยังมอบเนื้อแกะและขาหมูให้ด้วย เธอไม่เคยนึกตระหนี่ขี้เหนียวแม้แต่น้อย เหล่าฉินสนิทสนมกับเจี้ยนอวิ๋น เธอจึงพร้อมใจกว้างกับอีกฝ่ายเช่นกัน แต่ในทางกลับกัน ทำไมครอบครัวเหล่าฉินถึงพูดราวกับว่าเธอกับเจี้ยนอวิ๋นเอาเปรียบอีกฝ่ายกัน

ครอบครัวเหล่าฉินพูดไปสารพัด ด้วยจุดประสงค์เดียวก็คือต้องการขอลดราคา

หากแต่การที่เจี้ยนอวิ๋นสนับสนุนให้เหล่าฉินเปิดร้านอย่างเต็มที่ถึงได้ขายของให้ในราคาเดียวกับพี่รองของเธอ เท่านั้นก็น่าจะเพียงพอแล้วไม่ใช่หรือ?

สำหรับเหล่าฉินแล้ว ตอนแรกเขามองว่าซูตานหงไม่ได้มีความรู้ แต่ความคิดของเขาก็เปลี่ยนไปเมื่ออีกฝ่ายเอาใจใส่เขาอย่างสม่ำเสมอ ทำให้ในการมาหาครั้งต่อ ๆ มา เหล่าฉินจึงนึกละอายใจและไม่เคยนึกดูถูกเธออีก

ซูตานหงยินดีจะให้เจี้ยนอวิ๋นกับเหล่าฉินรักษาสายสัมพันธ์กันแนบแน่นต่อไป หากแต่ไม่ใช่กับครอบครัวตระกูลฉิน และเพื่อเลี่ยงไม่ให้เหล่าฉินต้องคิดมากกับเรื่องนี้ เธอจึงยังมอบลูกอมถั่วให้เขาเอาไปฝากหลาน ๆ ของตัวเองอยู่เสมอ

สื่อเป็นนัยว่าเธอไม่ได้ถือสาหาความกับสิ่งที่เกิดขึ้นครั้งที่แล้ว

เหล่าฉินเองเป็นคนมีไหวพริบ เขาจึงรับไว้ตามมารยาท

ส่วนเรื่องอื่น ๆ ซูตานหงนั้นไม่ได้นึกเอามาใส่ใจอีก ด้วยเป็นเรื่องระหว่างผู้ชาย ซึ่งผู้หญิงไม่ควรเข้าไปข้องเกี่ยวนัก

………………………………………