บทที่ 93 เจ้าจางจีผู้พลีชีพเพื่อความรัก

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

บทที่ 93 เจ้าจางจีผู้พลีชีพเพื่อความรัก Ink Stone_Romance

หลังจากนั้นเจ็ดปี ราชสำนักเจ้าก็ถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งสนับสนุนองค์รัชทายาท อีกฝ่ายหนึ่งกลับสนับสนุนองค์ชายเค่อที่มีอายุเพียงสิบเอ็ดปี

เมื่อเห็นว่าสุขภาพของเจ้าจิ้งโหวเสื่อมสภาพลงทุกวัน ในที่สุดลมหนาวก็ทำให้เขานอนไม่หลับ

เจ้าจิ้งโหวมีอาการป่วยไข้ครึ่งเดือน หลังจากเจ้าจางจีครุ่นคิดแล้วก็ยกสุราพิษเข้าไปพบเขา เอ่ยด้วยน้ำตานองใบหน้างดงาม “หม่อมฉันไม่มีพี่น้อง ในครอบครัวก็มีเพียงหม่อมฉันเป็นผู้หญิงตัวคนเดียว ฝ่าบาทรักหม่อมฉันอย่างลึกซึ้ง หม่อมฉันเองก็หวังว่าฝ่าบาทจะอายุยืนร้อยปี ทว่าบัดนี้อาการป่วยสาหัส หม่อมฉันขี้ขลาด ไม่กล้ารอผลลัพธ์ ต้องการล่วงหน้าไปรอฝ่าบาทที่ปรโลกก่อน สิ่งเดียวที่หม่อมฉันไม่วางใจก็คือบิดามารดา ขอให้ฝ่าบาทรับสั่งส่งองค์ชายเค่อไปยังรัฐหลี่ว์ ช่วยหม่อมฉันดูแลบิดามารดาให้มีอายุร้อยปีด้วยเพคะ”

หากเป็นผู้อื่นกล่าวเยี่ยงนี้ เจ้าจิ้งโหวคงบันดาลโทสะไปนานแล้ว นี่ไม่ใช่เป็นการแช่งให้เขาตายหรอกหรือ! ทว่านางที่รักก็ดูจริงใจ เขาก็รู้ว่าตัวเองอยู่ได้ไม่นาน จะมีเรื่องอะไรที่ไม่สามารถรับปากนางได้เล่า?

ทว่าเขาก็กลัวว่าความรักของเจ้าจางจีจะเป็นความรู้สึกจอมปลอม ดังนั้นจึงถามนาง “เดิมทีข้าคิดจะส่งเจ้ากับองค์ชายเค่อกลับไปยังรัฐหลี่ว์ ให้เจ้าเลี้ยงดูเขาจนเติบใหญ่ ไม่ให้ไปปรโลก”

แน่นอนว่าเจ้าจางจีไม่ได้มีความรักใดๆ ให้แก่ชายชราผู้ที่มีอายุมากกว่าตนถึงยี่สิบกว่าปีเลย แต่นางรู้ว่า ทันทีที่เจ้าจิ้งโหวสิ้น หญิงหม้ายและเด็กกำพร้าเช่นพวกเขาก็คงถูกเหล่าขุนนางตั้งอยู่บนตำแหน่งที่สูงที่สุดของรัฐ และเป็นเพียงหุ่นเชิดตัวหนึ่งเท่านั้น ไม่ว่าลูกชายของนางอยู่ที่ใดก็ยังคงเป็นองค์ชายแห่งรัฐเจ้า หากสามารถเติบโตได้อย่างสงบสุขในรัฐหลี่ว์ ภายภาคหน้าต้องการจะยึดบัลลังก์ของรัฐเจ้าก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

ดังนั้นนางจึงตัดสินใจแน่วแน่ที่จะใช้ชีวิตของตัวเองเพื่อให้ลูกชายได้มีโอกาสเลือกสักครั้ง

ด้วยเหตุนี้นางจึงกล่าวกับเจ้าจิ้งโหว “ขอเพียงองค์ชายเค่อสามารถไปถึงรัฐหลี่ว์ได้ ฝ่าบาทตรัสเยี่ยงไร หม่อมฉันล้วนรับปาก”

เจ้าจิ้งโหวผิดหวังยิ่ง

ไฉยเลยเจ้าจางจีจะไม่เข้าใจนิสัยของเจ้าจิ้งโหว? หลังจากนางกล่าวประโยคนี้จบ ก็ลุกขึ้นฉวยสุราพิษมาจากมือของสาวใช้ ดื่มรวดเดียวจนหมด

นางรู้ดีว่าต้องยิ้มเยี่ยงไรจึงจะมีเสน่ห์ ต้องร้องไห้เยี่ยงไรจึงจะทำให้ผู้คนหวั่นไหว และด้วยเหตุนี้นางก็รวมทั้งสองอย่างเป็นหนึ่งเดียว มองดูเจ้าจิ้งโหว ค่อยๆ หมอบลงบนตัวของเขา เอ่ยด้วยความเกี่ยงงอนเล็กน้อย “ฝ่าบาทตรัสว่าห้ามไปปรโลก ทว่าการตายของหม่อมฉันคือความรัก คงไม่ขัดพระทัยของฝ่าบาทกระมัง…”

นางยิ้มทั้งน้ำตา เลือดสดตรงมุมปากตัดกับผิวขาวดุจหิมะ คล้ายรัศมีแห่งชีวิตได้รวมตัวกันบานสะพรั่งในเวลานี้ ให้เจ้าจิ้วโหวได้มองอย่างเต็มตาจนแทบลืมความเจ็บป่วย

เจ้าจิ้งโหวเห็นนางนอนหลับตาอยู่บนตัวของตน เศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง เชื่อว่าเจ้าจางจีรักตนด้วยใจจริง มิใช่การหลอกลวง เขาพยายามลุกขึ้น กอดร่างของเจ้าจางจีไว้ จากนั้นก็สั่งให้คนส่งองค์ชายเค่อไปยังรัฐหลี่ว์

อย่างไรก็ดีเจ้าจิ้งโหวปวดร้าวปานจะขาดใจ เนื่องจากหญิงอันเป็นที่รักสละชีพเพื่อความรัก ทนความกระทบกระเทือนใจไม่ไหวจึงเสด็จสวรรคตสามวันหลังจากนั้น

ส่วนกงซุนพีในฐานะหัวหน้าขุนนาง รีบสนับสนุนองค์รัชทายาทให้ขึ้นครองราชย์ทันที จากนั้นก็ส่งคนไล่สังหารองค์ชายเค่อเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาในอนาคต…

“ในความเห็นของกระหม่อม ไม่คิดว่าเป็นภัยพิบัติพะย่ะค่ะ” เสียงแก่ชราของมหาเสนาบดีกงซุนพีดึงเจ้าโหวออกมาจากความทรงจำ

เขาได้ยินแล้วก็ตกใจเล็กน้อย เอ่ยขึ้น “หมายความว่าเยี่ยงไร?”

“ไม่ว่าเยี่ยงไร ฝ่าบาทก็คือราชโอรสองค์โต เป็นรัชทายาท เวลานั้นท่านจวินองค์ก่อนก็มิได้ทำมรณกรรม ฝ่าบาทก็คือ

จู่โหวโดยชอบธรรม ไม่มีใครที่มีข้อกังขาในเรื่องนี้ ต่อให้พวกเขาหาองค์ชายเค่อพบ ก็ยังนับว่าเป็นกบฏ” กงซุนพีนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยต่อ “ผู้ที่มักใหญ่ใฝ่สูงเหล่านั้นพร้อมที่จะสร้างปัญหามานานแล้ว ฝ่าบาทก็ต้องการหาโอกาสกำจัดพวกเขามาโดยตลอดมิใช่หรือ? ครั้งนี้ฝ่าบาทสามารถใช้เหตุผลอันชอบธรรมจับพวกมันเสียทั้งหมด นับว่าเป็นเรื่องดีต่อรัฐเจ้า”

เจ้าโหวพยักหน้า รู้ว่ากงซุนพียังพูดไม่จบ จึงมิได้กล่าวเสริม

“สกุลอู่และสกุลหวามีอำนาจมากที่สุดในการก่อกบฏครั้งนี้ สองตระกูลนี้มีความสามัคคีอันดีเสมอมา ทว่าตามความเห็นกระหม่อมแล้ว ทั้งสองสามารถทำงานร่วมกันได้ แต่ไม่สามารถแบ่งปันความมั่งคั่งได้ หากการแย่งชิงบัลลังก์ประสบความสำเร็จ จะต้องขัดแย้งกันเพราะผลประโยชน์ไม่ลงรอยเป็นแน่ ในเวลานี้ขอเพียงแผนการเล็กๆ ที่สามารถทำให้พวกเขามุ่งเน้นไปที่การแบ่งปันผลกำไร พวกเขาต้องพ่ายแพ้และล่มสลายแน่นอน!” ดวงตาของกงซุนพีเป็นประกาย

ในที่สุดคิ้วที่ผูกกันเป็นปมของเจ้าโหวก็ผ่อนคลายลง ยิ้มพร้อมเอ่ยแกมประชดประชัน “ท่านมหาเสนาบดีเฒ่าเอ๋ย! แผนการล้ำลึกเสียจริง!”

กงซุนพียิ้มมององค์จวินที่อยู่ตรงหน้า ขณะที่เจ้าโหวยังมีเป็นองค์รัชทายาท เปี่ยมด้วยความบริสุทธิ์เที่ยงธรรมจนดูคล้ายเบาปัญญา ทว่าตั้งแต่ขึ้นครองราชย์แล้ว ทุกครั้งที่มีปัญหาสำคัญ กลับสามารถหาคนที่เหมาะสมในการขอความช่วยเหลือได้เสมอ

กงซุนพีครุ่นคิดถึงสถานการณ์ต่างๆ อำนาจของแต่ละเผ่าพันธุ์ในรัฐเจ้านั้นยิ่งใหญ่เกินไป อำนาจอธิปไตยอ่อนแอลง แต่เพราะองค์รัชยายาทยังคงรักษาท่าทีโง่เขลาจึงได้รับการสนับสนุนอย่างมากและง่ายดายยิ่งขึ้น จนบัดนี้ก็ยังต้องทำเป็นโง่เขลาถึงจะสามารถทำให้เหล่าตระกูลที่หวังผลประโยชน์จากการคุ้มครองตนกระโดดมาอยู่หน้าสุด แม้แต่เขาเองก็ค่อยๆ เข้าใจในจุดนี้

ดูเหมือนว่าจะประมาทจวินองค์นี้ไม่ได้จริงๆ! กงซุนพีลอบอุทานในใจ

กงซุนพีออกมากจากหออักษร มองดูหิมะที่โปรยปรายหนาแน่นด้านนอก สอดมือเข้าไปในแขนเสื้อค่อยๆ เดินตามเฉลียงไปสู่หอประชุม

จนกระทั่งมาถึงด้านนอกหอประชุม จึงยกมือขึ้นเล็กน้อยเพื่อทักทายผู้อารักขาท่านหนึ่ง “ไปเชิญท่านแม่ทัพกงซุนกู่มา”

“ขอรับ!” ผู้อารักขารับคำสั่งแล้วรีบเร่งจากไป

หิมะตกหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่แม่น้ำจู่เหอและชิ่นเหอก็เริ่มแข็งตัว ทั้งนครหานตานจมอยู่ภายใต้หิมะหนา

ซ่งชูอีคุกเข่าอยู่ภายในห้อง จ้องมองน้ำแข็งที่อยู่ในถ้วย เอ่ยด้วยฟันที่กระทบกัน “หนาวกว่าหล่งซีเสียอีก นี่มันจะไม่ให้มนุษย์มีชีวิตหรืออย่างไรกัน”

หล่งซีเกิดพายุหิมะบ่อยครั้ง ดังนั้นกำแพงจึงหนากว่าหานตานมาก และไม่ใคร่มีหน้าต่างแกะสลักรูปดอกไม้ที่สายลมสามารถพัดผ่านได้รอบทิศเช่นนี้ ขอเพียงในห้องมีเตาเผาถ่านมันก็สามารถอบอุ่นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ทว่าในห้องนี้แม้มีเตาสักสิบอันก็เกรงว่าจะเทียบไม่ได้

“หากท่านหนาว เช่นนั้นก็ลุกขึ้นมาออกกำลังไหม” จี๋อวี่เอ่ย

ซ่งชูอีเบะปากยิ้มขมขื่น “อากาศเช่นนี้ ไม่ต้องดอกกระมัง ที่จริงเข้ากอดไป๋เริ่นไว้ก็ไม่หนาวเท่าไร”

“ท่านอยากฝึกวิชาอาวุธป้องกันตัวมิใช่หรือ?” สายตาของจี๋อวี่นั้นสงสัยในความตั้งใจของนางอย่างเปิดเผย

ซ่งชูอีกุมศีรษะครู่หนึ่งก่อนพูดขึ้น “ก็ได้”

นางเพิ่งจะลุกขึ้นยืน ก็ได้ยินเสียงจี้ฮ่วนจากนอกประตู “ท่าน”

“เข้ามา” ซ่งชูอีนั่งกลับไปราวกับว่ามันเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว

จี้ฮ่วนผลักประตูเข้ามาประสานมือเอ่ย “สืบทราบมาแล้วขอรับ ตอนนั้นเจ้าจิ้งโหวต้องการแต่งตั้งองค์ชายเค่อเป็นรัชทายาท ทว่าต่อมาเจ้าจิ้งโหวเสด็จสวรรคต องค์ชายเค่อก็หายตัวไป ว่ากันว่าองค์ชายฟ่านพบองค์ชายเค่อ จึงสามารถดึงสกุลอู่และสกุลหวาสองตระกูลให้เข้าร่วมได้”

หลังจากสกุลกงซุนปกป้องให้องค์รัชทายาทขึ้นครองราชย์แล้ว อำนาจของสองครอบครัวใหญ่นี้ก็ค่อยๆ อ่อนแอลง หากไม่มีโอกาสนี้ เป็นไปได้มากว่าพวกเขาก็อาจหายไปทั้งอย่างนี้ ดังนั้นการกบฏจึงเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล

ซ่งชูอียื่นมือยกกาลงมาจากเตา เอ่ยขึ้น “เฝ้าดูสถานการณ์ต่อไป ไม่ว่าใครจะเป็นจวินแห่งรัฐเจ้าก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อพวกเรามากนัก ขอเพียงเป็นผู้ชนะจะดีที่สุด”

“ขอรับ” จี้ฮ่วนเอ่ย

บัดนี้ซ่งชูอีไม่รีบร้อนที่จะเข้าเฝ้าเจ้าโหว ภายในยังยุ่งเหยิง หากนางไปคุยสงครามภายนอก ไม่เท่ากับเป็นการหาเรื่องหรอกหรือ นางขบคิดอยู่ในใจ หากยืดเยื้อไม่ต่อสู้กันเช่นนี้ นางก็จะต้องหาวิธีให้พวกเขาสู้กันให้ได้

จี๋อวี่ลุกขึ้น “ ข้าก็จะลองไปสืบข่าวด้วย”

“ท่านไม่ต้องหรอก” ซ่งชูอีดื่มน้ำคำหนึ่ง เอ่ยว่า “นิสัยซื่อๆ ของจี้ฮ่วนนั้นเหมาะสมกว่า หากท่านไปสืบข่าว เกรงว่าจะดูเหมือนมีเจตนาร้ายแอบแฝงอยู่”

“หน้าตาของข้าก็ซื่อๆ ได้ใช้” จี๋อวี่คิดเช่นนี้มาโดยตลอด

ซ่งชูอีส่ายหน้า ซื่อตรงกับเถรตรงนั้นไม่เหมือนกัน จี้ฮ่วนดูไม่เหมือนคนประเภทที่มีเจตนาร้าย ทว่าจี๋อวี่มิได้เป็นเช่นนั้น

หากจี้ฮ่วนนำเงินไปติดสินบนยามอารักขาเพื่อสืบข่าว คนเหล่านั้นอาจเพียงคิดว่าท่านราชทูตแห่งรัฐเว่ย์รอคอยจนร้อนใจแล้ว ทว่าหากจี๋อวี่ทำเช่นนี้ มันจะทำให้พวกเขาระแวดระวังตัวเป็นแน่

ตามประสบการณ์ของซ่งชูอี ผู้คนมักไม่ระวังตัวเมื่อเจอกับคนซื่อตรงมากกว่า

……………………………