ตอนที่ 145 แซ่เย่ นามว่าฉางชิง

เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

ตอนที่ 145 แซ่เย่ นามว่าฉางชิง

เย่ฉางชิงมิได้พูดอะไรอีก เพียงแค่ก้าวเดินขึ้นบันไดไป

เขารู้ดีว่าแม้ที่นี่จะเป็นกลุ่มลูกค้าภาพอักษรพู่กันขนาดใหญ่ แต่เมื่อครู่นี้เขาได้สร้างความประทับใจในฐานะนักเขียนพู่กันลึกลับเอาไว้แล้ว

สิ่งที่เขาจะต้องทำต่อไปก็คือ รักษาความรู้สึกลึกลับนี้เอาไว้ ทำให้ทุกคนมิอาจที่จะคาดเดาได้

เพราะต่อไปขอแค่เป็นภาพอักษรพู่กันที่มาจากเขา ก็จะเป็นของล้ำค่าที่มีมูลค่ามหาศาล

ขณะเดียวกันต่อไปเขาก็จะสามารถลงหลักปักฐานอยู่ในเมืองหลวงที่เจริญรุ่งเรืองแห่งนี้ได้แล้ว

เย่ฉางชิงคิดได้เช่นนั้นรอยยิ้มพลันปรากฏขึ้นที่มุมปาก

ทว่าวินาทีต่อมาสีหน้าของเขากลับดูย่ำแย่ลงทันที

เมื่อครู่เขามิได้ประทับตราที่ด้านหลังคำว่า ‘สงบ’ ทั้งยังมิมีผู้ใดถามชื่อของเขาอีกด้วย

นั่นก็หมายความว่าทุกคนเพียงแค่รู้ว่ามียอดนักเขียนพู่กันท่านหนึ่ง แต่กลับมิรู้นามของนักเขียนพู่กันท่านนี้

ผิดแผน !

ผิดแผนเสียแล้ว !

เย่ฉางชิงจู่ ๆ ก็ชะงักฝีเท้าลงอย่างกะทันหัน

หางตาของเขาเหลือบมองไปยังหวางม่อที่ยังคงคุกเข่าอยู่ที่เดิม แล้วก็อดมิได้ที่จะบ่นงึมงำภายในใจว่า ‘นี่ ๆๆๆ ตาเฒ่า ท่านอยากให้ข้าช่วยชี้แนะมิใช่หรือ เจ้ามิอยากรู้ชื่อแซ่ หรือที่อยู่ของข้าเลยงั้นหรือ ? ’

‘อีกอย่าง ยังมีสิ่งสำคัญสุดท้ายของอักษรพู่กันที่ข้ายังมิได้อธิบายให้ฟัง เจ้ามิอยากรู้แล้เยี่ยงนั้นหรือ? เจ้านี่ช่างหัวทึบจริง ๆ มิรู้จักใฝ่รู้เอาซะเลย รีบถามข้าเร็วเข้า มิเช่นนั้นข้าต้องขายหน้าแน่ ๆ……’

“ท่านเย่ ? ”

ตอนนั้นเองเยี่ยนปิงซินที่อยู่ข้างกายของเขาก็ได้เอ่ยถามขึ้น

“คำว่าใจที่ท่านเอ่ยถึงหมายความว่าเช่นไรหรือเจ้าคะ ? ”

ดวงตาดำขลับของเยี่ยนปิงซินกะพริบปริบ ๆ พลางยิ้มหวานออกมา

เย่ฉางชิงแสร้งก้าวให้ช้าลงก่อนจะหยุดฝีเท้าในที่สุด พลางเอ่ยอธิบายช้า ๆ ว่า “คำว่าใจอาจจะเข้าใจว่ามันคือจิตใจก็ได้ มิลืมจิตใจเริ่มแรก…”

ขณะที่เย่ฉางชิงเอ่ยยังมิทันจบประโยค ในที่สุดด้านล่างก็มีเสียงเอ่ยถามขึ้นอย่างที่ใจเขาปรารถนาแล้ว

“คุณชาย มิ… มิทราบว่าท่านมีชื่อเสียงเรียงนามอันใด พักอยู่ที่ใด วันหน้าข้าจะได้ไปเยี่ยมคารวะขอรับ”

หวางม่อที่ยังคงคุกเข่าอยู่บนเวที เงยหน้าขึ้นมองเย่ฉางชิงด้วยความนอบน้อม

เย่ฉางชิงหันไปยิ้มให้แก่เยี่ยนปิงซิน ก่อนจะเบนสายตาพลางลอบยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ “แซ่เย่ นามฉางชิง ข้าพักอยู่ที่เรือนจิ่งหลันหยวน”

‘เย่ฉางชิง ? ’

‘เรือนจิ่งหลันหยวน ? ’

‘มิเคยได้ยินมาก่อนจริง ๆ ด้วย ! ’

ทันทีที่เย่ฉางชิงเอ่ยออกมา ผู้คนที่อยู่ด้านล่างต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ก่อนที่ทุกคนจะสบตากันด้วยความตื่นเต้นยินดี

เย่ฉางชิงเห็นเช่นนั้นก็หันกลับมากล่าวต่อว่า “คุณหนูเยี่ยน หากท่านชอบอักษรพู่กันจริง ๆ กลับไปแล้วข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังอย่างละเอียด”

เยี่ยนปิงซินชะงักเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับแรง ๆ ให้แก่เย่ฉางชิงด้วยความดีใจ ที่จู่ ๆ ก็ได้รับความเมตตาเช่นนี้

เยี่ยนเทียนซานที่อยู่ด้านหลังคนทั้งคู่ พลันมีประกายบางอย่างพาดผ่านในดวงตา ท่าทางเต็มไปด้วยความยินดี

ส่วนเยี่ยนจิ่งหงยังคงนิ่งงัน รู้สึกทำตัวมิถูกขึ้นมา

จากนั้นพวกเย่ฉางชิงก็ได้เดินขึ้นไปยังชั้นสอง

ทันทีที่พวกเย่ฉางชิงจากไปแล้ว

ภายในห้องโถงชั้นหนึ่ง

หวางม่อก็ถอนหายใจออกมา หลังจากหลิวหรูอี้ได้เข้ามาประคอง แล้วจึงค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนอีกครา

“ท่านหวาง มิทราบว่าขอพวกเราชมภาพอักษรพู่กันที่ท่านเย่มอบให้ท่านได้หรือไม่ขอรับ ? ”

มินานก็มีคนที่อยู่ด้านล่างเอ่ยถามขึ้นมาอย่างอดมิไหว

คนอื่น ๆ ได้ยินเช่นนั้นก็ดวงตาเป็นประกายขึ้นมาในทันที สีหน้าต่างเต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดี พลางพยักหน้าให้กับหวางม่อ

หวางม่อมิได้แสดงสีหน้าใด ๆ ออกมา

เขาชั่งใจเล็กน้อย ก่อนจะสบตากับหลิวหรูอี้และพยักหน้าให้นางเบา ๆ

หลิวหรูอี้ยิ้มออกมา ก่อนจะส่งสัญญาณให้สาวใช้สองคนยกอักษรคำว่า ‘สงบ’ ที่เย่ฉางชิงเขียนขึ้นมาให้ทุกคนได้ชม

สาวใช้ทั้งสองพยักหน้ารับคำสั่ง มิกล้าสะเพร่าแม้แต่น้อย

พวกนางสองคนดูแลที่ชั้นหนึ่งนี้มานาน ด้วยความเคยชินจึงทำให้มีความรู้ด้านอักษรพู่กันไปในตัว

ความจริงแล้วอักษรเพียงหนึ่งตัวนี้ ถือว่าล้ำลึกเกินความรู้ในด้านอักษรพู่กันของพวกนางสองคนไปมาก

มิเช่นนั้นนักเขียนพู่กันเช่นหวางม่อจะยอมคุกเข่าคาราวะต่อหน้าผู้คนได้เยี่ยงไรกัน ?

หลังจากที่สาวใช้ทั้งสองคนค่อย ๆ ยกตัวอักษรที่เย่ฉางชิงทิ้งเอาไว้ให้ทุกคนได้ชม

ห้องโถงขนาดใหญ่ก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครา ราวกับไร้ผู้คนในพริบตา

ทุกคนที่อยู่ด้านล่างต่างก็มีดวงตาเบิกโพลง ใบหน้าตื่นตระหนกจนถึงขีดสุด

‘ท่านเย่ที่ดูอายุยังน้อยท่านนั้น กลับมีความแตกฉานในด้านอักษรพู่กันสูงส่งถึงเพียงนี้ ข้ามิเคยพบคนเช่นนี้มาก่อนเลยจริง ๆ ’

‘แม้จะเป็นคำว่า สงบ เพียงคำเดียว แต่มิว่าจะเป็นรูปแบบอักษรหรือพลัง ล้วนให้ความรู้สึกที่สมบูรณ์แบบจริง ๆ ’

เวลาเพียงมิกี่อึดใจ จู่ ๆ ภายในจิตใจของทุกคนก็สงบลงโดยมิรู้ตัว ทั้งยังเกิดความรู้สึกรู้แจ้งขึ้นมา ราวกับว่าได้รับความรู้ใหม่ในด้านอักษรพู่กันอีกด้วย

“น่าเหลือเชื่อ ! ”

“ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก ! ”

“หรือว่า… นี่คือระดับฝีมือเข้าสู่วิถีในตำนาน ? ”

หลังจากเงียบไปครู่ใหญ่ พลันห้องโถงก็กลับมาโกลาหลอีกครั้ง

“น่าเหลือเชื่อ ช่างน่าเหลือเชื่อจริง ๆ คาดมิถึงว่าในชีวิตนี้ ข้าจะโชคดีได้เห็นผลงานที่สวรรค์ประทานเช่นนี้”

“ใช่แล้ว ข้าเองก็เหมือนเข้าใจอักษรพู่กันอย่างลึกซึ้งเช่นกัน คาดมิถึงว่าท่านเย่ผู้นี้แม้อายุยังน้อย แต่กลับมีความแตกฉานในด้านอักษรพู่กัน เรียกว่าเป็นอันดับหนึ่งเลยก็ว่าได้ ! ”

“แต่ความแตกฉานในด้านอักษรพู่กันของท่านเย่ผู้นี้สูงส่งเกินไปหรือไม่นะ เขาอายุน้อยเพียงนี้ต่อให้มีพรสวรรค์สูงส่งเพียงใด ก็มิน่าจะแตกฉานถึงเพียงนี้ได้ ? ”

“ใช่แล้ว พวกเจ้ารู้สึกหรือไม่หลังจากได้เห็นตัวอักษรของท่านเย่แล้ว รู้สึกเหมือนตนเองได้รับความรู้ใหม่ในด้านอักษรพู่กันขึ้นมา ? ”

“ใช่ ๆ ๆ ! ”

“หรือว่าท่านเย่จะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรเช่นกัน อีกทั้งตบะบารมีของเขายังสูงส่ง…”

“พี่ชายท่านนี้ ความหมายของท่านคือท่านเย่ผู้นี้หาได้เยาว์วัยดังเช่นที่เราเห็นเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“มีความเป็นไปได้ พวกเจ้าสังเกตเห็นผู้เฒ่าที่อยู่ด้านหลังเขาหรือไม่ ท่าทางของเขาอย่างกับคนรับใช้ชัด ๆ ”

“ใช่แล้ว ท่านเย่ผู้นี้ แซ่เย่ นามว่าฉางชิง หรือว่าจะมีความเกี่ยวข้องกับท่านเทพฉางชิงแห่งอารามฉางชิง ? ”

“มีความเป็นไปได้ ! ”

“ชู่… พี่ชายทั้งสอง เรื่องนี้อย่าได้พูดส่งเดชเป็นอันขาด ระวังจะเดือดร้อนเอาได้ ท่านเทพฉางชิงแห่งอารามฉางชิงมีความเกี่ยวข้องลึกซึ้งกับราชสำนักเชียวนะ ! ”

“……”

ระหว่างที่ผู้คนกำลังกระซิบกระซาบพูดคุยกันอยู่นั้น

หวางม่อที่ยืนตระหง่านอยู่บนเวที จู่ ๆ ก็ตบที่หน้าผากของตนเองเบา ๆ พลางพึมพำกับตัวเองว่า “เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้ว ! ”

ผู้คน “……”

‘เข้าใจแล้ว ? ’

‘เข้าใจอะไร ? ’

“ท่านหวาง ? ”

หลิวหรูอี้มองหวางม่อด้วยแววตาสับสน พลางเอ่ยทักขึ้น

หวางม่อยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ “คำว่าใจที่ท่านเย่เอ่ยถึงก่อนหน้านี้ ! ”

ตอนนั้นเองทุกคนก็พบว่าพลังลมปราณของหวางม่อ ราวกับเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างอัศจรรย์ภายในพริบตา

หวางม่อได้สติอีกครา จึงกวาดตามองทุกคนแล้วเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้เป็นข้าที่ทะนงตนเกินไป หากข้าเดามิผิดคำว่า ใจ ที่ท่านเย่เอ่ยถึง ความจริง…”

เอ่ยถึงตรงนี้หวางม่อก็นิ่งไป แล้วหันไปมองทางบันได ก่อนจะเอ่ยต่อ “ความหมายของท่านเย่ ความจริงแล้วก็คือให้พวกเรามิว่าจะมีความแตกฉานในอักษรพู่กันเพียงใด ล้วนอย่าได้ลืมจิตใจเริ่มแรก จึงจะสามารถประสบความสำเร็จที่สูงขึ้นได้”

“ขอเรียนทุกท่านตามตรง เพียงอักษรตัวนี้ของท่านเย่ ก็เพียงพอที่จะให้ข้าใช้ทั้งชีวิตที่เหลืออยู่เรียนรู้และซึมซับ เช่นนั้นนับจากนี้ต่อไป ข้าจะมิปรากฏตัวที่หอสายลมจันทราอีก และจะใช้เวลาในการศึกษาอักษรพู่กันที่สำนักศึกษาชางหมิง”

“ห๊ะ ! ”

ผู้คนที่ได้ยินเช่นนั้นต่างก็ตกตะลึงไปตาม ๆ กัน สีหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความสับสนเหลือคณา

ขณะเดียวกันหลิวหรูอี้ที่ยืนอยู่ด้านข้างหวางม่อก็อดที่จะขมวดคิ้วมิได้ ดวงตามีประกายบางอย่างที่มองไม่ออกแวบผ่าน