ทุกอย่างล้วนเป็นความผิดของระบบ ที่ทำให้เขากลายเป็นกึ่งคนกึ่งสัตว์
เฮ้อ ถ้ารู้แต่แรกคงไม่เชื่อระบบเส็งเคร็งนี่หรอก สร้างรากปราณด้วยตัวเองดีกว่าเป็นไหนๆ
อันหลินเช็ดน้ำตา แม้ในใจจะเสียใจเป็นล้นพ้น แต่เพราะมันเป็นความจริงที่แก้ไขไม่ได้แล้ว จึงทำได้เพียงยอมจำนนต่อชะตา
ชีวิตยังต้องดำเนินต่อไป ข้าวยังต้องกิน ยังต้องทำการทดสอบประจำปีต่อไป
แม้เมื่อวานจะทำแต้มได้เยอะเพราะกองทัพสัตว์
แต่สำหรับนักเรียนอย่างพวกเขาแล้ว ยิ่งทำแต้มได้สูงมากเท่าใดก็ยิ่งดี
อันหลินเรียกพวกเหมียวเถียนรวมตัว ออกเดินทางสู่เขตหมื่นเขาอีกครั้ง
เรื่องที่เขาทะลวงขั้นสู่ระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณเมื่อคืน เซวียนหยวนเฉิงบอกกล่าวนักเรียนทุกคนแล้ว
อันหลินกลายเป็นนักเรียนระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณคนที่ห้าของห้อง
สำหรับเรื่องนี้ ปฏิกิริยาของนักเรียนแต่ละคนแตกต่างกันออกไป
นักเรียนส่วนหนึ่งตกใจกับความเร็วในการก้าวหน้าอันน่ากลัวของอันหลิน
แน่นอนว่า มีนักเรียนอีกกลุ่มใหญ่ที่ไม่แปลกใจเท่าใดนัก กลับรู้สึกว่ามันควรเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว
มีวีรกรรมระดับตำนานของอันหลินตั้งมากมาย เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไม่ควรค่าให้พูดถึงจริงๆ
“ลูกพี่อัน ได้ยินว่าเจ้าเข้าสู่ระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณแล้ว กลุ่มของเราแข็งแกร่งขึ้นเยอะเลย ข้าเป็นปลาเค็มได้ทั้งวันอีกแล้วใช่ไหม” เหมียวเถียนยกมือประสานท้ายทอย พูดอย่างสบายใจเฉิบ
เมื่ออันหลินได้ยินมุมปากก็กระตุก เถียงในใจว่า ‘เหมือนว่าเธอจะเป็นปลาเค็มมาตลอดนะ ไม่เกี่ยวกับที่ฉันเข้าสู่ระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณเลย’
“อืม เรื่องนี้ข้าก็ได้ยินมาเหมือนกัน ยินดีด้วยนะพี่อัน” จงหย่งเหยียนพูดยิ้มๆ
“ยินดีกับพี่อันที่เข้าสู่ระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณแล้ว” ลั่วจื่อผิงก็กล่าวแสดงความยินดีด้วยเช่นกัน
มีเพียงซุนเซิ่งเหลียนที่ฮึดฮัดในลำคอ ไม่พูดไม่จา เห็นได้ชัดว่ายังโกรธเคืองเรื่องเมื่อเช้าอยู่
กับการแสดงความยินดีที่แสนจะธรรมดาเหล่านี้ อันหลินก็ทำได้เพียงทอดถอนหายใจอย่างจนใจ
ใครใช้ให้เขาอวดเก่งไปก่อนหน้านี้เล่า คราวนี้เยี่ยมเลย เรื่องน่ายินดีอย่างการเข้าสู่ระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณ ทุกคนกลับรู้สึกว่าไม่มีอะไรให้พูดถึงแล้ว
มีเพียงเจ้าอัปลักษณ์ที่พูดคุยกับอันหลินอย่างตื่นเต้นเมื่อได้ยินเรื่องนี้
ทุกคนเดินลึกเข้าไปในป่าไม่หยุดพัก
ตั้งแต่เกิดกองทัพสัตว์อพยพ สัตว์ประหลาดละแวกนี้ลดน้อยลงไปมาก
ตลอดทั้งวันนี้ ทุกคนสังหารสัตว์ประหลาดไปแค่ยี่สิบหกตัวเท่านั้น ไม่พอจะอุดซอกฟันอันหลินกับเจ้าอัปลักษณ์ด้วยซ้ำ
อันหลินเข้าสู่ระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณ ใช้กระบี่แก้วสีทองฟาดฟันสัตว์ประหลาด ทุกครั้งที่ตวัดกระบี่ล้วนปล่อยลำแสงกระบี่อานุภาพทรงพลัง ความรู้สึกแบบนี้ช่างสะใจเสียจริง
เป็นอย่างที่คาด เมื่อความสามารถเพิ่มขึ้น แม้แต่เพลงกระบี่ที่ไม่ได้เรื่องก็สามารถปล่อยอานุภาพอันน่าตะลึงได้เช่นกัน!
วันนี้ พวกอันหลินกินไข่ของวิหควายุ
ไข่ฟองนี้มีขนาดเท่าลูกแตงโม มีถึงแปดฟอง!
สาเหตุที่พวกอันหลินเลือกไข่นกจากบรรดาของป่าทั้งหลาย เป็นเพราะไข่แดงมีรสชาติที่อร่อยเป็นอย่างยิ่ง มันเป็นรสสัมผัสที่ไม่ร่วน แต่หอมและกรอบยิ่งนัก
ถือเป็นสิ่งที่พิเศษที่สุดในบรรดาไข่
ขณะที่ทุกคนกำลังย่างไข่อยู่นั้น อันหลินก็ถือกระบี่แก้วสีทองแล้วประสานพลังอยู่ไม่กี่ที จากนั้นกระบี่ก็ลอยขึ้นฟ้า
ต่อมา เขากระโดดเบาๆ ขึ้นไปยืนอยู่บนกระบี่
ใช่แล้ว ตอนนี้เขาจะลองเหาะเหินแล้ว!
สามารถโบยบินไปยังฟากฟ้า เป็นความฝันของนักพรตกายแห่งมรรคทั้งหลาย
แม้อันหลินจะไม่มีความปรารถนาอย่างแรงกล้า แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า การเหาะเหินเดินอากาศให้ความสะดวกนานัปการจริงๆ
เขาเปิดม่านแสงตามวิชากระบี่ป้องกันที่สำนักสอนก่อนหน้านี้
ม่านแสงสีทองปกคลุมกระบี่ไว้อย่างสมจริง ขนาดของม่านแสงกว้างกว่ากระบี่หลายเท่า มีคุณสมบัติช่วยทรงตัว
เมื่อใช้เวทมนตร์ จะทำให้ม่านแสงปกคลุมร่างกายไปด้วย เช่นนี้จะสามารถบังลมกันฝนกันแดดได้
การเหาะเหินด้วยกระบี่นั้น นักพรตจำต้องมีความสามารถในการควบคุมพลังปราณอย่างแม่นยำ
ตอนนี้เขาอยู่ในระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณแล้ว มันจึงไม่เป็นปัญหา
“ลอยขึ้น!”
อันหลินตะโกน กระบี่เริ่มลอยขึ้นฟ้าอย่างโคลงเคลง
จากนั้น…
เมื่อถึงระดับความสูงหนึ่งร้อยเมตร แข้งขาของเขาก็เริ่มอ่อนแรง
“ให้ตายสิ ทำไมสูงขนาดนี้ พวกลั่วจื่อผิงกลายเป็นเจ้าตัวเล็กไปหมดแล้ว…”
อันหลินขี่กระบี่อย่างระมัดระวังพลางพึมพำไปด้วย
หลังลอยขึ้นท้องฟ้าแล้ว มุมมองสายตาก็กว้างขวางขึ้นมาทันที
ทว่ายิ่งกว้างมากเท่าใด เขาก็ยิ่งรู้สึกไม่ปลอดภัยมากเท่านั้น
ถ้าหาก…บังคับไม่ดี ตกลงไปจะทำอย่างไร…
เขาขี่กระบี่เหาะเหินอย่างเชื่องช้า แค่สิบเมตรต่อวินาทีก็รู้สึกว่าน่ากลัวมากแล้ว
อย่างสวีเสี่ยวหลาน ต้องขี่กระบี่ไม่ต่ำกว่าร้อยเมตรต่อวินาที
ความแตกต่างนี้ เฮ้อ…
ไม่นานอันหลินก็ลอยลงมาที่เดิม
ไม่ใช่เพราะเขาชำนาญแล้ว แต่เพราะเขากลัวหัวใจดวงน้อยๆ จะรับไม่ไหว
อืม…ไข้ใจของเขากำเริบอีกแล้ว
เขานึกถึงแผ่นหลังอันอบอุ่นและสบายที่เปี่ยมด้วยความปลอดภัยของต้าไป๋อีกแล้ว
จู่ๆ ไม่รู้เพราะเหตุใด ภาพฝาหม้อของลู่จ้านก็ผุดขึ้นในหัวเขา
จริงสิ!
ขี่ศาสตราวุธอย่างอื่นได้นี่นา ทำไมต้องกระบี่ด้วยล่ะ
อันหลินกุมขมับ ก่นด่าตัวเองว่าทำไมก่อนหน้านี้ถึงคิดไม่ได้
เขาหยิบของที่สามารถขี่ได้ออกจากแหวนมิติทันที
นอกจากกระบี่แก้วสีทองอันเป็นศาสตราวุธชั้นสูงแล้ว ยังมีกระบี่พิชิตมาร ตะปูข้ามมิติ ถาดเจ็ดดาวพิฆาต โล่เต่าขาว ดาบปีศาจเลือดมังกร ก้อนอิฐแรกกำเนิด
อันหลินทิ้งกระบี่พิชิตมารไปอีกทาง ขอแค่เป็นกระบี่ เขาก็ไม่อยากขี่ทั้งนั้น
อาวุธเซียนอย่างตะปูข้ามมิติ…
พูดเป็นเล่น เขาไม่ได้เล่นกายกรรมเสียหน่อย!
เขาโยนตะปูข้ามมิติใส่แหวนมิติเช่นเดียวกัน
ต่อมาเป็นถาดเจ็ดดวงดาวพิฆาต เขาต้องใช้วิชาญาณทิพย์จึงจะรู้จักชื่อของเจ้านี่ ข้อมูลที่เหลือไม่รู้อะไรเลย ใช้อย่างไรก็ไม่รู้ด้วยซ้ำ จึงถูกเก็บเข้าไปด้วย
โล่เต่าขาวกับดาบปีศาจเลือดมังกรเป็นศาสตราวุธชั้นสูงที่ได้มาจากแหวนมิติของผีดูดเลือด
ขี่ดาบเหาะเหินก็ดูท่าจะไม่เลว เพราะดาบกว้างกว่ากระบี่ เพิ่มความรู้สึกปลอดภัย
อืม…เก็บไว้เป็นตัวเลือกได้!
ส่วนโล่เต่าขาว มีกะโหลกอยู่บนโล่ ช่างน่าเกลียดจริงๆ ไม่เหมาะกับสุนทรียภาพของอันหลิน จึงมองข้ามไปทันที
จากนั้นอันหลินก็หยิบก้อนอิฐแรกกำเนิดขึ้น
เหอะๆ เจ้าอิฐก้อนนี้ยิ่งไม่มีทางเลย ไม่ใช่แค่ดำและน่าเกลียดเท่านั้น แต่ยังสั้นและเล็กอีก…
แต่ทันใดนั้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป
เขาที่เข้าสู่ระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณแล้ว รู้สึกไม่เหมือนเดิมยามสัมผัสอิฐก้อนนี้
“อืม…ทำไมรู้สึกว่าเราควบคุมมันได้ล่ะ”
อันหลินกะพริบตาปริบๆ กำก้อนอิฐไว้ ราวกับกำลังจับวัตถุที่รู้ใจเขาอย่างไรอย่างนั้น
“ใหญ่ขึ้น…”
ก้อนอิฐสีดำขยายใหญ่ขึ้น
อันหลินอ้าปากค้าง ยืนอึ้งอยู่กับที่
สามวินาทีต่อมา นัยน์ตาของเขาก็เป็นประกาย ราวกับค้นพบดินแดนใหม่
“ใหญ่ขึ้นๆ ๆ…”
ปึกๆ ๆ…
เพียงชั่วครู่ ก้อนอิฐสีดำที่แลดูธรรมดาก็กลายเป็นก้อนอิฐขนาดสามตารางเมตร
“ลอยขึ้น!”
อันหลินกระโดดขึ้นก้อนอิฐแล้วใช้วิชาม่านแสง เหาะออกไปยังฟากฟ้าดังฟิ้ว
“ฮ่าๆ ๆ สุดยอด!” อันหลินตะโกนก้อง
เมื่อเขาเหยียบก้อนอิฐขนาดใหญ่ มันรู้สึกปลอดภัยกว่ากระบี่เล่มเรียวเล็กเยอะเลย!
พวกเหมียวเถียนที่กำลังย่างไข่ยักษ์อยู่บนพื้นพากันจ้องมองท้องฟ้า
พวกนางเห็นอันหลินกำลังขี่ก้อนอิฐก้อนใหญ่ หัวเราะดังก้องผืนฟ้า
ทุกคนต่างก็ตะลึงงัน!
………………………….