หลิงหลานยืนอยู่หน้าทางเข้าเส้นทางอีกครั้งก่อนจะท้าทายภารกิจต่อ เธอหลับตาลงหลายวินาที หลังจากนั้นก็ลืมตาขึ้นฉับพลัน ดวงตาทั้งสองข้างส่องแสงพราวพร่าง นิ้วมือโบกสะบัดขึ้นมาทันที จากนั้นก็เห็นขาหลังของหุ่นรบกระต่ายพลันถีบตัวขึ้นมาก่อนจะกระโจนเข้าไปในเส้นทางราวกับบินก็ไม่ปาน
เวลานี้ทั่วทั้งร่างกายและจิตใจของหลิงหลานต่างจมอยู่ในหุ่นรบ เธอรู้สภาพภายในเส้นทางเป็นอย่างดีนานแล้ว ไม่จำเป็นต้องใคร่ครวญอีกแล้วว่าจะเคลื่อนไหวข้ามสิ่งกีดขวางยังไง ทุกอย่างนี้ต่างปะติดปะต่อกันอยู่ในห้วงความคิดของเธอ
จากนั้นก็เห็นหุ่นรบกระต่ายทะยานขึ้นไปในพื้นที่คับแคบด้วยความปราดเปรียว บางครั้งมันก็เดินหมอบต่ำ บางครั้งก็กระโดดขึ้นสูง บางครั้งก็เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง บางครั้งก็ลดความเร็วเพื่อเลี้ยวโค้ง มีหลายครั้งที่ร่างแทบจะเฉียดผ่านกำแพง หากพลาดไปนิดเดียวก็จะชนเข้ากับกำแพงจนตกอยู่ในสภาพน่าสังเวชได้
คราวนี้หลิงหลานไม่ได้ชนกำแพงเลย แต่ว่าข้ามผ่านกำแพงไปได้อย่างราบรื่นสุดขีด เธอมองดูเวลาก็เห็นว่าทะลวงผ่านกำแพงยี่สิบนาทีไปได้อย่างที่คาดคิดไว้จริงๆ ถึงขนาดที่มาถึงได้ในเวลาสิบห้านาที เลื่อนเวลาก่อนกำหนดได้ห้านาที
เมื่อเทียบกับครั้งแรกแล้ว หลิงหลานลดเวลามาได้ครึ่งหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย ทว่าเมื่อเทียบกับเวลาสามนาทีเพื่อทำภารกิจให้สำเร็จแล้ว หลิงหลานยังห่างไกลอยู่มาก อย่างไรก็ตาม หลิงหลานดีใจมาก นี่พิสูจน์ว่าการควบคุมหุ่นรบกระต่ายของเธอก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้นด้วยความมั่นคง
หลิงหลานเพิ่มความเร็วมือไปอีกหนึ่งขั้นโดยไม่ได้ร้อนใจอะไรเลย หากแต่คงความเร็วมือในตอนนี้ไว้ เธอฝึกซ้อมซ้ำแล้วซ้ำเล่า การฝึกฝนผ่านสิ่งกีดขวางบนเส้นทางนั้นน่าเบื่อมาก มันมีแค่กระโดดทะยานวิ่งผ่านสิ่งกีดขวาง ถ้าเป็นครั้งสองครั้งอาจจะยังมีความรู้สึกตื่นเต้นแปลกใหม่บ้าง แต่เมื่อทำไปสิบครั้งจนถึงขนาดหลายสิบครั้ง ก็มีแต่ความน่าเบื่อเท่านั้น ยังดีที่หลิงหลานเป็นคนที่มีความอดทนแข็งแกร่งสุดยอด ไม่ได้เลือกหยุดการฝึกฝนครึ่งๆ กลางๆ เพียงเพราะว่าความจืดชืดน่าเบื่อหน่าย
หลังจากที่อยู่ในบ้านแบบนี้ติดต่อกันสามสี่วัน หลิงหลานก็ถูกเสี่ยวซื่อลากออกมาจากในมิติการเรียนรู้เนื่องจากมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้น
ตอนนั้นหลิงหลานกำลังมุ่งมั่นตั้งใจฝึกวิ่งกระโดดอยู่ในเส้นทางโดยที่เพิ่มความเร็วมือให้สูงมากยิ่งขึ้น ขณะที่กำลังวิ่งอยู่นั้น จู่ๆ ก็รู้สึกว่าภาพเบื้องหน้าหมุนบิดเบี้ยวเลือนรางขึ้นมา เมื่อหลิงหลานมองเห็นภาพตรงหน้าได้ชัดเจนขึ้นมาอีกครั้ง เธอก็มาอยู่ในห้องโถงของมิติการเรียนรู้แล้ว
เสี่ยวซื่อกำลังรอคอยเธออยู่สีหน้าร้อนรน เมื่อเห็นหลิงหลานออกมาก็รีบกระโจนเข้ามาและตะโกนเสียงดังลั่นว่า “ลูกพี่ เร็วเข้า! พวกฉีหลงมาหาเธอน่ะ”
เวลานี้เสี่ยวซื่อได้เข้าไปในโลกเสมือนจริงแทนหลิงหลาน ดังนั้นเสี่ยวซื่อมีหน้าที่แจ้งเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นในนั้นให้กับเธอ
“นายจัดการไม่ได้เหรอ?” หลิงหลานนึกว่าเป็นเรื่องในโลกเสมือนจริง ดังนั้นก็เลยแปลกใจอยู่บ้าง เพราะว่าเสี่ยวซื่อเป็นคนตบอกรับรองว่าเขาจะจัดการเรื่องในโลกเสมือนจริงเอง
“เป็นเรื่องในโลกความเป็นจริง พวกเขาเพิ่งจะติดต่อทางออนไลน์ ดูร้อนใจกันมาก ให้รีบไปที่หอต่อสู้ทันที ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น” เสี่ยวซื่อรีบอธิบาย
หลิงหลานงุนงงอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นทำให้พวกฉีหลงต้องร้อนใจขนาดนี้ หลิงหลานรู้สึกกังวลใจอยู่บ้างก็รีบออกจากมิติการเรียนรู้ หลังจากนั้นก็ปีนออกมาจากในแคปซูลล็อกอินของโลกเสมือนจริง แล้วเธอก็เปลี่ยนเป็นชุดเครื่องแบบของสถาบันที่สะอาดเรียบร้อยก่อนจะออกไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อหลิงหลานมาถึงหน้าประตูหอฝึกฝน เธอก็สังเกตเห็นว่าวันนี้คนที่มาที่นี่ดูผิดปกติ เธอรีบกวาดสายตามองไปรอบหนึ่งแล้วก็พบว่าไม่เพียงมีนักเรียนชั้นปีเดียวกับเธอ ยังมีนักเรียนจากชั้นอื่นๆ อีกไม่น้อยด้วย มีพวกรุ่นน้องชายหญิงที่เข้ามาใหม่ และก็มีพวกรุ่นพี่ชายหญิงที่อยู่สูงกว่าเธอหนึ่งหรือสองชั้นปี
หลิงหลานยังเห็นพวกนักเรียนเสื้อสีน้ำเงินสีเขียวอยู่ในฝูงชน แล้วก็ยังมองเห็นพวกนักเรียนเสื้อสีขาวและสีแดงอยู่บ้าง ดูเหมือนว่าคนจากห้องพิเศษก็มาไม่น้อยเหมือนกัน ในใจหลิงหลานยิ่งรู้สึกสงสัยมากยิ่งขึ้น นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ถึงทำให้นักเรียนจากระดับชั้นปีต่ำๆ มารวมตัวกันที่นี่?
ถึงแม้ว่าสถาบันลูกเสือจะมีสิบระดับชั้นปี แต่ความจริงแล้วมันกลับแบ่งเป็นคนละแผนก ปี 1-4 คือแผนกระดับต้น ปี 5-7 คือแผนกระดับกลาง ปี 8-10 คือแผนกระดับสูง นักเรียนแต่ละแผนกจะมีวงสังคมของตัวเอง นอกเสียจากเป็นคนที่จงใจแล้ว ไม่อย่างนั้นน้อยมากที่จะมีคนยินดีข้ามวงไปทำความรู้จักกับนักเรียนแผนกอื่น ยกตัวอย่างเช่นพวกหลิงหลาน พวกเขาอาจจะรู้เรื่องของบรรดานักเรียนในแผนกระดับต้น แต่ว่ารู้เรื่องของแผนกระดับกลางคลุมเครืออยู่บ้าง ส่วนแผนกระดับสูงไม่ใช่สิ่งที่เด็กระดับชั้นปีต่ำๆ อย่างพวกเขาคิดจะไปรู้เรื่องก็สามารถรู้เรื่องได้เลย
หลิงหลานติดต่อฉีหลงทันที ก่อนจะรู้ว่าพวกเขาอยู่ตรงสนามประลองหมายเลข 3 เธอรีบเข้าไป ตลอดทางที่ผ่านมา เครื่องแบบสีแดงโดดเด่นของหลิงหลานทำให้นักเรียนห้องดีเด่นรวมไปถึงห้องทั่วไปบางคนที่อยู่รอบๆ รู้สึกอิจฉาไม่หยุด
ถึงแม้ว่าหลิงหลานจะค่อนข้างไม่ทำตัวเป็นจุดเด่นในสถาบัน แต่ว่ายังมีคนไม่น้อยที่คุ้นหน้าเธอ ซึ่งพวกเขากำลังกระซิบกระซาบกับคนข้างๆ ที่จำเธอไม่ได้
“นายรู้ไหมว่าคนที่สวมเครื่องแบบสีแดงเมื่อตะกี้นี้คือใคร?” นักเรียนใหม่ปีหนึ่งที่รู้เรื่องดีพูดกับเพื่อนใหม่ที่เพิ่งรู้จักข้างกายด้วยความตื่นเต้น
“ห้องสเปเชียลเอ? เป็นนักเรียนปีไหนล่ะ? ดูเหมือนว่าจะไม่เคยเห็นเขาในการแข่งท้าประลองข้ามชั้นปีนะ” บางคนไม่มีคนรู้จักอยู่ในชั้นปีสูง แน่นอนว่าพวกเขาย่อมไม่รู้เรื่องของพวกรุ่นพี่
“นายน่าจะรู้จักฉีหลงนะ?” ฉีหลงตำแหน่งอันดับหนึ่งของห้องสเปเชียลติดต่อกันได้หลายครั้ง ปรากฏตัวอยู่บนการแข่งท้าประลองข้ามชั้นปีอยู่บ่อยๆ ดังนั้นต่อให้เป็นนักเรียนใหม่ก็ต้องคุ้นหน้าเขามากๆ
“ฉันต้องรู้จักอยู่แล้วสิ คนที่ได้อันดับหนึ่งของปีสอง ฉันเคยดูการแข่งท้าประลองข้ามชั้นปีมาก่อน แค่พูดถึงเขาฉันก็ตื่นเต้นแล้ว การท้าประลองครั้งที่แล้ว เขาท้าประลองไปถึงปีสี่ถึงค่อยแพ้ เป็นหน้าเป็นตาให้กับพวกเราที่อยู่ชั้นปีต่ำมากจริงๆ” ดูท่านักเรียนใหม่คนนี้จะเป็นแฟนคลับของฉีหลง ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความเลื่อมใส
“หึๆ ฉันจะบอกให้นะ คนเมื่อตะกี้นี้ก็คือลูกพี่ของฉีหลง! นอกจากนี้เขาก็อยู่ปีสองเหมือนกัน” คนที่รู้เรื่องราวรู้สึก ภาคภูมิใจมาก เขารู้เรื่อง Boss ลับที่แข็งแกร่งที่สุดจริงๆ
“โกหกน่า!” เสียงร้องตกใจดังขึ้นไปตามๆ กัน คนที่เขยิบเข้ามาฟังอยู่ข้างๆ เพราะบทสนทนาของพวกเขาต่างทำหน้าเหลือเชื่อ ฉีหลงเป็นดาวเด่นชั้นปีต่ำที่เป็นที่จับตามองของสถาบัน ลูกรักของสวรรค์อย่างเขาจะยอมจำนนและรับคนอื่นเป็นลูกพี่ง่ายๆ ได้ยังไงกัน นอกจากนี้ยังเป็นคนในชั้นปีเดียวกันที่มีอันดับต่ำกว่าเขาอีก
“เหอะ นายคิดว่าฉีหลงเป็นคนที่ปกครองปีสองจริงๆ เหรอ? ถ้าไม่ใช่เพราะว่าพี่สาวที่เป็นญาติของฉันอยู่ในชั้นนั้นละก็ ฉันเองก็น่าจะไม่รู้ความลับในนั้นเหมือนกัน” ปกติแล้วคนที่ให้ความสนใจเรื่องศึกจัดอันดับชั้นปีคือคนที่อยู่ปีเดียวกัน มีนักเรียนชั้นปีอื่นน้อยมากที่จะให้ความสนใจเรื่องนี้ ดังนั้นคนที่อยู่ชั้นปีต่ำกว่าและสูงกว่ามากมายต่างก็ไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นภายใน
“ความลับอะไร รีบพูดเร็วเข้า….” คนที่ชอบสืบหาความจริงทยอยกันเร่งให้คนที่เปิดเผยข้อมูลรีบแฉความลับออกมา
“ได้ยินพี่สาวฉันบอกว่า ทุกครั้งที่คนๆ นั้นเจอฉีหลงก็จะยอมแพ้เอง ไม่เคยลงมือมาก่อนเลย”
“ทำไมล่ะ?” ทุกคนต่างไม่เข้าใจ
“หรือเป็นเพราะเขารู้ว่าสู้ไม่ไหวก็เลยไม่สู้แล้ว? นี่จะบ่งบอกว่าคนๆ นั้นแข็งแกร่งกว่าฉีหลงไม่ได้เลยนะ” มีคนแสดงความคิดเห็นคัดค้านออกมา
“ฉันมีข้อพิสูจน์ พวกนายรู้เรื่องในศึกจัดอันดับชั้นปีไหมว่าฉีหลงเอาชนะคู่ต่อสู้ได้เร็วสุดกี่กระบวนท่า?”
“อืม ฉันจำได้ว่ามีคนเคยบอกว่า ดูเหมือนจะเป็นสามท่านะ ต่อสู้กับคู่ต่อสู้ที่อ่อนแอที่สุดในรอบแรก…ทักษะการต่อสู้ของฉีหลงร้ายกาจมาก ไม่เพียงเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่ว พละกำลังก็ยังเหนือกว่าคนอายุเท่ากันเยอะมากด้วย ไม่เพียงเท่านั้น พื้นฐานของเขาก็มั่นคงแข็งแกร่งมาก ได้ยินว่ายังมีท่าไม้ตายบางอย่างด้วย”
“แต่ว่าพอความสามารถของคู่ต่อสู้คนต่อๆ มาแข็งแกร่งมากขึ้น ฉีหลงก็ไม่สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้สบายๆ ขนาดนั้นแล้ว จากสิบกระบวนท่าก็ไปถึงหลายสิบกระบวนท่า ถึงขนาดที่มีไปถึงหลายร้อยกระบวนท่า…”
“ดังนั้นพูดได้ว่าฉีหลงเป็นคนที่แข็งแกร่ง แต่ว่ายังไม่ถึงขั้นที่จะปกครองได้อย่างแน่นอน” คนเปิดเผยข้อมูลได้ยินทุกคนประเมินฉีหลงก็พยักหน้าถี่ๆ เอ่ยอย่างไม่เห็นด้วย
“พูดแบบนี้ก็ไม่ได้นะ คนที่สามารถเข้าห้องพิเศษของสถาบันเราต่างก็เป็นอัจฉริยะหนึ่งในหมื่น ฉีหลงกดหัวเด็กชั้นเดียวกันได้ก็พิสูจน์แล้วว่าเขาโดดเด่นเหนือใครมากๆ” คนอื่นๆ คิดว่าคำพูดของคนที่เปิดเผยข้อมูลฟังดูไม่มีเหตุผลอยู่บ้าง
“หึๆ คนๆ นั้นเคยจัดการกับคู่ต่อสู้ของเขามาก่อน นายคิดว่าเขาใช้กี่กระบวนท่าล่ะ?” คนเปิดเผยข้อมูลได้ยินเสียงที่สงสัยคำพูดเขาก็เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มหยัน
“ความสามารถเป็นยังไง? จะให้พวกเราเดาเปรียบเทียบมั่วๆ ไม่ได้นะ”
“คู่ต่อสู้อยู่ในห้องพิเศษเหมือนกัน ฉีหลงเอาชนะอีกฝ่านในห้าสิบกว่ากระบวนท่า” คนเปิดเผยข้อมูลให้เป้าหมายเปรียบเทียบไว้
“ก็เป็นห้าสิบกว่ากระบวนท่าเหมือนกัน?”
“หรือว่าจะใช้กระบวนท่าน้อยกว่าฉีหลง?” เมื่อเห็นคนเปิดเผยข้อมูลทำหน้านิ่งเฉย ทุกคนก็ตกตะลึง “สี่สิบกว่ากระบวนท่า? หรือว่าสามสิบกว่ากระบวนท่า?”
คนเปิดเผยข้อมูลยิ้มแต่ไม่พูดอะไร
ทุกคนต่างสูดลมหายใจเย็นยะเยือก “ยี่สิบกว่ากระบวนท่า หรือว่าสิบกว่ากระบวนท่า?” ทุกคนต่างคิดว่าการคาดเดาของพวกเขากล้ามากไปแล้ว
น่าเสียดายที่คนเปิดเผยข้อมูลยังไม่เห็นด้วย เขาส่ายศีรษะกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “พวกนายจะกล้าเดาอีกหน่อยไม่ได้เลยหรือไง”
“ภายในสิบกระบวนท่าเหรอ?” เสียงสั่นเทาดังขึ้นมาเบาๆ ท่ามกลางความเงียบกริบ คำพูดประโยคนี้ทำให้ทุกคนกลั้นลมหายใจรอคอยคำตอบของผู้เปิดเผยข้อมูล
“ภายในสิบกระบวนท่า? เหอะๆๆ ไม่ใช่ทั้งนั้นแหละ เขาใช้แค่กระบวนท่าเดียวเท่านั้น….” คนเปิดเผยข้อมูลกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ ราวกับว่าหลิงหลานเป็นลูกพี่ของเขาก็ไม่ปาน
“ว้าว แข็งแกร่งขนาดนี้เชียว!” ทุกคนร้องอุทานอย่างตกใจ ถ้าหากเป็นแบบนี้จริงๆ ละก็ คนผู้นั้นจะต้องเป็นคนที่ปกครองของชั้นปีสองอย่างแน่นอน
“ฉันเดาว่าต่อให้เป็นฉีหลง ถ้าต้องแข่งกับเขาจริงๆ ก็น่าจะยืนหยัดได้ไม่นานเหมือนกัน” ในที่สุดคนเปิดเผยข้อมูลก็บอกข้อสันนิษฐานของเขาออกมา
“ถ้างั้นทำไมเขาต้องยอมแพ้ด้วยล่ะ ขอเพียงเขาเป็นอันดับหนึ่งก็สามารถท้าประลองข้ามชั้นปีได้แล้ว” มีคนรู้สึกเสียดาย เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถเห็นท่วงท่าองอาจล้มคู่ต่อสู้ในกระบวนท่าเดียวของคนผู้นั้นได้
“ใครจะไปรู้ล่ะ บางทีเขาอาจจะค่อนข้างชอบทำตัวไม่เป็นจุดเด่นก็ได้” หมอดูปรากฏตัวขึ้นมาแล้ว
“ใช่แล้ว คนเมื่อสักครู่นี้มีชื่อว่าอะไรเหรอ?” ผู้แข็งแกร่งระดับสุดยอดย่อมทำให้คนเคารพเลื่อมใส นักเรียนที่อยู่รอบๆ ต่างทยอยกันสอบถามคนเปิดเผยข้อมูล
“หลิงหลาน เป็น No:1 ของรุ่น 4738 ที่แท้จริง…”
…………….
หลิงหลานกลุ้มใจมากที่ความสามารถในการได้ยินของตัวเองดีมากเกินไปแล้ว เธอได้ยินคำพูดที่นินทาเธอพวกนั้นได้อย่างชัดเจนรู้เรื่อง ไม่นึกเลยว่าเธอทำตัวไม่เป็นจุดสนใจขนาดนี้แล้วก็ยังมีคนไม่น้อยจำเธอได้ อย่างไรก็ตาม หลิงหลานก็ไม่ได้สนใจนัก เรื่องนี้ก็แค่แพร่กันในแผนกชั้นปีต่ำ ส่วนแผนชั้นปีสูงก็ไม่สนใจพวกเขาที่นี่ ดังนั้นถ้าเธอออกไปก็รับประกันได้ว่าจะไม่มีคนรู้จักเธอ…
เธอรีบมาถึงสนามประลองหมายเลขสามอย่างรวดเร็ว แล้วก็เห็นพวกฉีหลงกำลังรออยู่หน้าสนามประลอง หลิงหลานรีบเดินเข้าไปถามว่า “ฉีหลง รีบร้อนเรียกให้ฉันเข้ามาขนาดนี้ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
ฉีหลงเผลอมองไปที่หานจี้จวินแวบหนึ่ง หลิงหลานก็รู้แล้วว่าน่าจะเป็นความคิดของหานจี้จวินที่ให้เธอมา
เป็นไปตามที่คาดไว้จริงๆ พอหานจี้จวินได้รับสายตาของฉีหลงก็รีบเอ่ยปากพูดทันทีว่า “ลูกพี่หลาน ฉันให้ฉีหลงเรียกนายมาเอง ความจริงแล้วที่เรียกนายมาครั้งนี้ก็เพื่อจะปรึกษาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหลินจงชิง”
“เขา? เกี่ยวอะไรกับพวกเราด้วยเหรอ?” หลิงหลานยุ่งมาก เธอไม่มีแรงเหลือมากพอที่จะไปสนใจเพื่อนในห้องเรียนที่มีความสัมพันธ์แบบธรรมดาทั่วไป
“ตอนนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องแน่นอน แต่ว่าไม่นานก็จะมีแล้ว” มุมปากของหานจี้จวินยกขึ้น มีร่องรอยความเจ้าเล่ห์อยู่เล็กน้อย
……………………………….