EP.105****ชางไป๋เฮ่อ

“ตึง…”

ฝุ่นฟุ้งตลบ ร่างของโอวหยางชิวที่สวมชุดเกราะหนักอึ้งทรุดลงกระแทกพื้น แววตาล่องลอย ลมหายใจของเขาหยุดลงอย่างเป็นทางการ

ภายในโถงเงียบกริบ ทุกคนยืนตกตะลึงอยู่ตรงนั้น แม้แต่เสียงเข็มตกพื้นก็ยังได้ยิน

รวมถึงเหลยหง ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดผลลัพธ์เช่นนี้!

ครูฝึกระดับดาวสีทองโอวหยางชิว แค่กระบวนท่าเดียวก็ถูกหลินมู่อวี่สังหารในพริบตา!

……

“ปะ…เป็นไปได้อย่างไร” เกอหยางขยี้ตาแล้วกล่าว “โอวหยางชิวเขา…เขาเป็นถึงกระบี่มือหนึ่งของวิหารศักดิ์สิทธิ์เลยนะ ทำไมถึงถูกหลินจื้อสังหารภายในกระบวนท่าเดียวได้ล่ะ…”

เจิ้งฟางตาค้างยิ่งกว่า ตัวสั่นระริก ไม่อยากเชื่อความจริงตรงหน้า แต่โอวหยางชิวล้มอยู่ตรงนั้น ความพ่ายแพ้ของเขาย่อมเป็นเรื่องจริง

ความจริงที่โอวหยางชิวแพ้ในกระบวนท่าเดียว เหตุผลหลักก็คือเขาประมาทหลินมู่อวี่เกินไป เขาคงคิดไม่ถึงว่าหลินมู่อวี่ก็ใช้ทักษะควบคุมกระบี่ได้ และยิ่งคิดไม่ถึงว่าทักษะการใช้สายฟ้าควบคุมกระบี่ของเจ้าเด็กนี่จะรุนแรงจะป้องกันไม่ได้เช่นนี้

“แซ่ก แซ่ก…”

จางเหว่ยเดินอาดๆ ขึ้นไปด้านหน้า ดึงมีดสั้นจากเอว คุกเข่าลงข้างหนึ่งหน้าศพของโอวหยางชิว จิกผมของเขาขึ้นมา จากนั้นค่อยๆ ใช้มีดสั้นตัดคอของเขาทีละนิด

“จางเหว่ย เจ้ากำลังทำอะไร!” เจิ้งฟางตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด

แต่จางเหว่ยไม่ได้หยุดมือ จากนั้นไม่นานศีรษะของโอวหยางชิวก็ถูกตัดออกมา เขาหิ้วศีรษะไว้ในมือแล้วยิ้มพูด “เขาเป็นแค่นักโทษที่ตายแล้ว ข้าจะนำศีรษะของเขาไปเซ่นดวงวิญญาณถั่วงอกน้อยและพ่อแม่ของเขา ทำไมหรือ หรือว่าท่านอ๋องไม่คิดว่าควรจะทำแบบนี้”

“เจ้า!”

ใบหน้าของเจิ้งฟางบิดเบี้ยวด้วยโทสะ “กล้านักนะเจ้าจางเหว่ย กินดีหมีหัวใจเสือมารึไงถึงได้กล้าแบบนี้”

จางเหว่ยเดิมเป็นคนกล้าอยู่แล้ว จึงยิ้มบางๆ ”ข้าแค่ทำในสิ่งที่ควรทำ! ท่านหลินจื้อ ชนะได้อย่างสวยงาม!”

หลินจื้อยืนเงียบอยู่ที่เดิม เขาไม่ได้ฆ่าคนมานานแล้ว แต่เมื่อครู่เขายั้งจิตสังหารไว้ไม่อยู่จริงๆ หากวันนี้ไม่สังหารโอวหยางชิวเสีย เขาคงต้องรู้สึกผิดต่อตัวเองอย่างแน่นอน

เหลยหงที่อยู่ด้านข้างยิ้มจางๆ แล้วพูดเสียงดัง “ไม่ต้องเถียงกันแล้ว ผลการพิพากษาออกมาแล้ว หลินจื้อเป็นผู้ชนะ โอวหยางชิวมีฐานะเป็นครูฝึกดาวสีทองของวิหารศักดิ์สิทธิ์ แต่กลับฆ่าคนโดยเจตนา มีความผิดที่มิอาจให้อภัย จากนี้ปลดตำแหน่งและเงินเดือนทั้งหมดของโอวหยางชิว ลบชื่อของเขาออกจากวิหารศักดิ์สิทธิ์ พวกเราควรใช้เขาเป็นบทเรียน อย่าได้เข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ อย่าได้โหดเหี้ยม”

กลุ่มครูฝึกและผู้ช่วยฝึกต่างประสานมือรับ “ขอรับ ท่านผู้ดูแลอาวุโส!”

เหลยหงยิ้มแล้วกล่าว “ทหาร นำศพของโอวหยางชิวไปฝัง ประกอบพิธีอย่างสามัญชน! แยกย้ายกันได้แล้ว หลังกินอาหารเที่ยง ฝึกช่วงบ่ายตามปกติ หลินจื้อ เจ้าอย่าเพิ่งไป”

“ขอรับ!”

กลุ่มคนค่อยๆ ทยอยกันออกไป เหลือเพียงหลินมู่อวี่ที่ยังอยู่ด้านใน เขาถามขึ้น “ท่านปู่เหลยหง มีเรื่องอะไรหรือขอรับ”

เหลยหงถอนหายใจ “ถึงแม้เจ้าจะมีสติปัญญาฉลาดเฉลียว แต่ทำอะไรบุ่มบ่ามเกินไป วันนี้เจ้าล่วงเกินจวนเสินโหวเข้า เกรงว่าวันข้างหน้าคงใช้ชีวิตสงบสุขไม่ได้แล้ว เขี้ยวเล็บของจวนเสินโหวในเมืองหลันเยี่ยนมีมากนัก ข้าห่วงว่าหากเจ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป ต้องเสียเปรียบพวกนั้นเป็นแน่  เอาอย่างนี้เถอะ…”

เหลยหงคิดแล้วพูดขึ้น “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าฝึกอยู่ที่ห้องลับก็แล้วกัน นอกจากเข้าร่วมฝึกซ้อมประจำวันแล้วก็อย่าออกจากวิหารศักดิ์สิทธิ์ ข้าจะเพิ่มการคุ้มกันของวิหารศักดิ์สิทธิ์ อย่างน้อยก็ไม่ให้ใครแอบเข้ามาในวิหารได้ง่ายๆ อีก”

หลินมู่อวี่ทราบว่าเหลยหงกำลังปกป้องตนอยู่ ส่วนตัวเขาเองก็ไม่รู้ลึกตื้นลึกหนาบางเกี่ยวกับจวนเสินโหวนั่นเลย จึงรีบประสานมือคารวะ “ขอรับ ข้าจะทำตามที่ท่านปู่จัดการขอรับ!”

“อืม เช่นนั้นก็ดี”

เหลยหงรู้สึกยินดีอยู่บ้าง ที่ถึงแม้ว่าเจ้าเด็กนี่จะทำเรื่องเกินความคาดหมายหลายครั้งหลายหน แต่ก็ยังฟังคำเตือนด้วยความหวังดีอยู่ ซึ่งนี่ก็ไม่เลวนัก

……

ยามราตรี จวนเสินโหวแสงไฟสว่างไสว

“เพล้ง!”

ถ้วยชาบนโต๊ะถูกปัดกระเด็น น้ำชาสาดเต็มโต๊ะ กลิ่นชาหอมกระจายฟุ้งขึ้นมาทันที

เจิ้งอี้ฝาน เสินโหวแห่งจักรวรรดิ ได้รับการขนานนามว่าเทพการทหารแห่งยุค เพียงแต่เจิ้งอี้ฝานในตอนนี้ไม่สง่างามเหมือนวัยหนุ่ม ใบหน้าผอมตอบเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งกาลเวลา มีเพียงประกายในดวงตาที่ยังคงเหมือนเดิม เขากำหมัดแน่น เอ่ยเสียงเบา “ก่อเรื่องไม่หยุด สังหารคนในวิหารศักดิ์สิทธิ์ก็แล้วไป ยังจะกล้าไปสังหารคนที่หมู่บ้านลั่วสยา การตายของโอวหยางชิวก็ถือว่าหาเรื่องใส่ตัวเอง!”

หลายปีมานี้เจิ้งฟางไม่เคยเห็นท่านพ่อมีโทสะเช่นนี้ จึงรีบคุกเข่าลง ร่างกายสั่นเทิ้ม “ท่านพ่อ…แต่โอวหยางชิวเป็นกุนซือของจวนเสินโหวเรา ไม่ว่าอย่างไร จะให้เขามาตายแบบนี้ไม่ได้!”

“แล้วจะทำอะไรได้”

แววตาอันลุ่มลึกของเจิ้งอี้ฝานตกอยู่บนตัวของเจิ้งฟาง ความเย็นเยือกจางๆ แผ่ออกมาแล้วเอ่ยขึ้น “ฟางเอ๋อร์ เจ้าทำข้าผิดหวังเหลือเกิน ข้าส่งเจ้าไปวิหารศักดิ์สิทธิ์เพื่ออะไร เพราะอยากให้เจ้าจะได้ฝึกสุดยอดทักษะวิชาและเป็นคนกล้าหาญไม่ธรรมดา แต่เจ้ากลับเอาแต่ไร้สาระไปวันๆ ไม่ต้องพูดอีกแล้ว มิเช่นนั้นข้าจะส่งเจ้าไปอยู่หอบำเพ็ญตบะสามปี!”

เจิ้งฟางหน้าซีด ตกใจจนพูดไม่ออก

ในตอนนี้เอง หญิงสาวนางหนึ่งก็ยกถาดน้ำชาค่อยๆ เดินกรีดกรายขึ้นมา นางสวมชุดสีขาวหิมะ รูปร่างหน้าตางดงาม นางวางถาดน้ำชาลง แล้วเดินมานวดไหล่ให้เจิ้งอี้ฝาน พลางยิ้มกล่าว “ท่านพ่อ อย่าโกรธน้องชายเลย เขาก็แค่วู่วามไปชั่วครู่เท่านั้น หากท่านส่งเขาหอบำเพ็ญตบะจริงๆ เกรงว่าสามปีผ่านไป เขาออกมาอีกครั้งคงกลายเป็นสวะที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร”

โทสะบนใบหน้าของเจิ้งอี้ฝานลดลงไปบ้าง “เซียงเซียง เจ้าตามใจน้องชายคนนี้เกินไปแล้ว เจ้าดูน้องเจ้าสิ ไม่มีท่าทางของอ๋องน้อยจวนเสินโหวเลยสักนิด วันๆ เอาแต่อยู่กับพวกไร้สมอง!”

สาวน้อยผู้นี้คือบุตรสาวของเจิ้งอี้ฝาน เจิ้งเซียง พี่สาวของเจิ้งฟาง

เจิ้งเซียงยิ้มอ่อนหวานนุ่มนวล “ท่านพ่อ เรื่องนี้ก็แล้วไปเถอะเจ้าค่ะ โอวหยางชิวสังหารผู้อื่นก่อน เป็นเขาที่ผิดจริงๆ แถมเขาก็ตายในการประลองพิพากษาแล้ว ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ใด”

เจิ้งอี้ฝานพยักหน้า “อืม ข้ารู้แล้ว เซียงเซียงเจ้าไปพักผ่อนเถอะ พ่อจะค่อยๆ ตรองดูอีกครั้ง”

“เจ้าค่ะ”

เจิ้งเซียงหมุนตัวจากไป

……

ใช้ญาณสัมผัสได้ว่าเจิ้งเซียงเดินออกไปไกลแล้ว แววตาของเจิ้งอี้ฝานถึงได้เป็นประกาย “เจ้าเด็กที่ชื่อหลินมู่อวี่นั่นสังหารโอวหยางชิว ไม่ต้องสงสัยว่าเป็นการท้าทายจวนเสินโหว เหลยหงก็เข้าข้างเจ้าเด็กหลินมู่อวี่ หึ…ไม่เห็นจวนเสินโหวอยู่สายตาเลยใช่ไหม ในเมื่อตาเฒ่าเหลยหงไม่เกรงกลัวจวนเสินโหว เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจก็แล้วกัน!”

พูดจบ เจิ้งอี้ฝานก็สูดลมหายใจเข้าลึก ปรับลมหายใจแล้วก็กล่าวเสียงเรียบ “ผู้อาวุโสชาง เกรงว่าครั้งนี้ต้องให้ท่านออกโรงแล้ว”

“เสินโหวโปรดรับสั่ง ข้าน้อยจะทำอย่างสุดความสามารถ”

มีเสียงกังวานลอยดังมาในอากาศ เจิ้งฟางรีบเงยหน้าขึ้น แล้วยิ้มอย่างดีใจ “ท่านปู่ชางอยู่เมืองหลวงหรือ”

“ยังไม่รีบไปต้อนรับอีก” เจิ้งอี้ฝานยิ้มเล็กๆ

เจิ้งฟางรีบหันไปเปิดประตู เห็นชายชราท่วงท่าคล้ายเซียนยืนอยู่ใต้แสงจันทร์ มือถือไม้เท้าเหล็ก มุมปากมีรอยยิ้มแสดงความรักใคร่ “ฟางเอ๋อร์ เจ้าโตขึ้นมากเลยทีเดียว!”

“ท่านปู่ชาง ท่านทำไมถึงมาเมืองหลันเยี่ยนได้ล่ะ”

“ไม่ใช่เพราะว่าข้าอยากมาเยี่ยมเจ้ากับเซียงเซียงหรอกหรือ”

ผู้อาวุโสก้าวเข้ามาในห้องโถง ทันใดนั้นพลังไร้ลักษณ์ของขอบเขตปราชญ์ก็กระเพื่อมตามจังหวะการก้าวเดินของเขา

เจิ้งอี้ฝานยิ้มเล็กๆ “ยินดีกับผู้อาวุโสชางในที่สุดก็เข้าสู่ขอบเขตปราชญ์แล้ว”

ผู้อาวุโสเงยหน้ายิ้ม “ชางไป๋เฮ่อคารวะเสินโหว!”

“ไม่ต้องมากพิธี เชิญนั่ง”

“ขอรับ!”

ชางไป๋เฮ่อ เป็นยอดฝีมือที่มีอยู่จำนวนน้อยนิดของจักรวรรดิ เคยเป็นกุนซือของจวนเสินโหว ติดตามเจิ้งอี้ฝานไปปราบเหนือล่องใต้ แต่ตอนที่จักรพรรดิกวางหมิงหวังปูนบำเหน็จรางวัล เขากลับเร้นกายไม่ปรากฏตัวอีกเลย แต่วันนี้มาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งที่เมืองหลันเยี่ยน คงต้องพัดพาพายุเลือดมาด้วยอย่างแน่นอน

“ผู้อาวุโสชาง วิหารศักดิ์สิทธิ์ท้าทายจวนเสินโหวอย่างโจ่งแจ้ง ท่านน่าจะทราบแล้วกระมัง” เจิ้งอี้ฝานรินน้ำชาให้ด้วยตนเอง พลางพูดราวกับไม่ได้ตั้งใจ

ชางไป๋เฮ่อพยักหน้า “ได้ยินมาบ้าง เพียงแต่วิหารศักดิ์สิทธิ์ใช่ว่าจะจัดการได้ง่ายๆ ถึงแม้ว่ายอดฝีมือในอดีตจำนวนมากจะพากันหลบซ่อนตัว แต่ตาเฒ่าเหลยหงนั่นยังคงอยู่ ถึงจวนเสินโหวจะมียอดฝีมือ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเหลยหงก็ไม่แน่ว่าจะเป็นผลดี เพราะนอกจากเหลยหงยังมีกลุ่มยอดฝีมือขอบเขตนภาอย่างเกอหยาง ข้าว่าท่านเสินโหวเองก็คงไม่คิดจะเผชิญหน้ากับเหลยหงตรงๆ กระมัง”

เจิ้งอี้ฝานอดหัวเราะไม่ได้ “ผู้ที่เข้าใจข้า ก็คือผู้อาวุโสชางนี่แหละ!”

พูดจบ ดวงตาของเขาเป็นประกาาย “เหลยหงสั่งให้หลินมู่อวี่สังหารโอวหยางชิว นี่เป็นการยืมดาบฆ่าคน ในเมื่อเขาทุบภูเขาสะเทือนพยัคฆ์ได้ (สุภาษิตจีนมีความหมายว่าขู่เตือน) งั้นพวกเราก็ทำได้เหมือนกัน หลินมู่อวี่กับจางเหว่ยสองคนนี้เป็นคนสนิทของเหลยหง ภายในสามวัน ข้าต้องการเห็นมันสองคนกลายเป็นคนพิการ!”

“ขอรับ!”

ชางไป๋เฮ่อยิ้มเล็กๆ แววตามีประกายสังหาร

……

สองวันผ่านไป หลินมู่อวี่ฝึกวิชาอยู่ในวิหารศักดิ์สิทธิ์ตลอด เขาใช้ธาตุทั้งสี่บังคับกระบี่ได้ชำนาญขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันก็ฝึกคัมภีร์หลอมกระดูกมังกร แถมยิ่งฝึกก็ยิ่งรับรู้ถึงความมหัศจรรย์ของคัมภีร์หลอมกระดูกมังกร สองวันนี้หลินมู่อวี่สามารถโคจรหลอมกระดูกมังกรได้เจ็ดสิบสองรอบ หลังจากโคจรเสร็จแล้วก็สัมผัสได้ว่าพลังของเขาเพิ่มขึ้น คัมภีร์นี้ช่างลี้ลับมหัศจรรย์อย่างไร้ขอบเขตจริงๆ

เพียงแต่หลินมู่อวี่ฝึกฝนอยู่ในห้องลับ จึงไม่รู้ว่าถึงอันตรายที่กำลังย่างกรายเข้ามา

……

กลางดึก ที่โรงสุราบนถนนทงเทียน มีแต่ความมืดมิด

“แม่หญิงเอ๋ยแม่หญิง…อกเอ๋ยอกสั่นโอ้อกสั่น ซ้ายวูบขวาวูบ ทำเอาหัวใจข้าสั่นไปด้วย…”

ทำนองเพลงมั่วๆ หยาบคายร้องออกมาจากปากจางเหว่ยที่เมามาย มือหนึ่งจับรั้วไว้ อีกมือหนึ่งถือกาสุราเดินออกมาจากโรงสุรา วันนี้ดื่มหนักจนเมาเละอีกแล้ว ความจริงแล้วนี่เป็นชีวิตประจำวันของจางเหว่ย จางเหว่ยผู้นี้ติดสุรา นี่ก็คือจุดอ่อนของเขา

ยามไฮ่ บนถนนไม่มีผู้คนแล้ว

ทันใดนั้น จิตสังหารก็แผ่ปกคลุมเข้ามา

“ใคร”

จางเหว่ยตกใจกลัวจนสร่างเมาตื่น ตะโกนเรียกวิญญาณยุทธ์ออกมา เปลวเพลิงพุ่งออกมาทั่วร่าง ร่ายรำเพลงหมัดแล้วโจมตีขึ้นไปบนท้องฟ้า เงาหมัดที่พันด้วยเปลวเพลิงหลายสายก็ระเบิดขึ้นกลางอากาศ เขาระเบิดเสียงตะโกน “ไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้!”

ทักษะของจางเหว่ย หมัดกระชากวิญญาณ!

เสียงหัวเราะดังขึ้นในอากาศ “หมัดกระชากวิญญาณจางเหว่ย ที่แท้ก็คล้ายกับหมัดเพลิงของเซี่ยงเหวินเทียนอยู่หลายส่วน เพียงแต่เปลวไฟนั้นห่างชั้นกันมาก คุกเข่าลงซะ!”

ขอบเขตพลังไร้ลักษณ์ที่แข็งแกร่งกดลงมา อิฐบนกำแพงแตกกระจาย พริบตาเดียวกระดูกกำปั้นของจางเหว่ยระเบิดออก เข่าทั้งสองข้างคุกเข่าลงอย่างควบคุมไม่ได้ เผชิญหน้ากับพลังมหาศาลของอีกฝ่าย ไม่มีโอกาสแม้แต่จะปล่อยหมัด

เขาเงยหน้าขึ้นมอง เห็นชายชราผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า แต่เขาไม่รู้จัก

“เจ้าเป็นใคร”

“ผู้ที่จะทำให้เจ้าพิการ!”

ผู้มาเยือนเคลื่อนตัวมาด้านหลังของจางเหว่ยอย่างฉับพลัน ชักกระบี่คมออกจากฝัก

……

“อ๊าก…”

ในยามค่ำคืน เสียงร้องโหยหวนดังก้องไปทั่วถนนทงเทียน