บทที่ 118: เหตุการณ์ไม่คาดคิด

ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END

บทที่ 118: เหตุการณ์ไม่คาดคิด

ขณะที่โรเอลกำลังทักทายเหล่าขุนนางผู้สูงศักดิ์และเจ้าหน้าที่ทุกคนที่เดินเข้ามาหา ไม่ไกลนัก ประกายไฟก็ได้ถูกจุดขึ้น สาวงามสองคนกำลังยืนเผชิญหน้ากัน โดยที่ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไร มีเพียงบรรยากาศอันหนาวเย็นลอยอยู่ระหว่างพวกเธอทั้งสอง ซึ่งก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ฝูงชนสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ

ขุนนางในปัจจุบันเริ่มแบ่งปันความรู้ความเข้าใจแก่กันและกัน พวกเขาหลายคนเคยเห็นอลิเซียในระหว่างงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของนอร่า ดังนั้นจึงใช้เวลาไม่นานนักก่อนที่ทุกคนจะรู้จักตัวตนของเด็กสาวผมสีเงินผู้มีนัยน์ตาสีแดง

“เด็กคนนั้นเป็นน้องสาวบุญธรรมของท่านโรเอล? หรือว่าจะ…”

“ชิ! อย่าพูดถึงสิ่งที่ยังไม่ได้รับการยืนยันสิ”

“ยังต้องมีอะไรให้ตรวจสอบอีกเล่า? ดูบรรยากาศนี่สิ! เห็นได้ชัดเลยว่าอารมณ์ที่กำลังดี ๆ ของฝ่าบาทจู่ ๆ ก็ถูกหยุดลง”

ความหลงใหลในละครน้ำเน่าล้วนฝังอยู่ในหัวใจของมนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะเป็นโลกไหน ฝูงชนต่างก็ตั้งตารอคอยด้วยความตื่นเต้นของการปะทะกันระหว่างเด็กสาวทั้งสองคนที่เส้นทางได้ดำเนินมาบรรจบกัน พวกเขาต่างสงสัยว่าใครกันแน่ที่จะเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะไป

ทันใดนั้นเองคาร์เตอร์ก็สังเกตเห็นถึงความขัดแย้งระหว่างเด็กสาวทั้งสองคน และเพื่อไม่ให้เหตุการณ์ยุ่งวุ่นวายไปมากกว่านี้ เขาจึงรีบตรงไปหาพระสังฆราชจอห์น ขุนนางชั้นสูงอีกสองสามคน เจ้าหน้าที่ผู้กำลังรวมตัวกัน และเริ่มสนทนากับพวกเขา

“อลิเซีย จะพูดอะไรก็รีบหน่อย ตรงเข้าประเด็นเลย เวลาของข้าเป็นสิ่งมีค่า แต่มันคงไม่ดีเท่าไหร่ล่ะมั้งถ้าเขาต้องมาเห็นสิ่งนี้”

นอร่าชำเลืองมองไปที่โรเอล ซึ่งยังคงยุ่งอยู่กับบรรดาขุนนางและเจ้าหน้าที่ที่เดินเข้ามาทักทายเขา เธอรู้สึกอึดอัดทุกครั้งที่ต้องรับมือกับอลิเซีย

ตัวตนของอลิเซียในฐานะน้องสาวบุญธรรมของโรเอลมาพร้อมกับข้อเสีย เพราะมันทำให้เป็นเรื่องยากสำหรับโรเอลที่จะแยกแยะระหว่างความสัมพันธ์ทางเครือญาติกับความรักแบบชายหญิง

ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องยากสำหรับเธอที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ของพวกเขาให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นไปมากกว่านี้ อย่างไรก็ตามความสำคัญที่เธอมีต่อโรเอลนั้น ก็ทำให้คู่ต่อสู้จัดการกับเธอได้ยากเช่นกัน ใครก็ตามที่ต้องการจะเข้าใกล้โรเอลจะต้องผ่านเธอไปให้ได้เสียก่อน

โรเอลเอาใจอลิเซียมากแค่ไหนงั้นเหรอ?

นอร่ารู้สึกว่าเธอเข้าใจเรื่องนี้ดีแล้วในช่วง 2-3 ครั้งล่าสุดที่เธอได้เข้าไปเยี่ยมโรเอล โดยสรุปได้ว่า ตำแหน่งของเธอในหัวใจของโรเอลนั้นไม่มีวันสั่นคลอน

นั่นหมายความว่านอร่าไม่สามารถลงมือทำอะไรอย่างชัดเจนกับอลิเซียได้เลย ความคิดที่ว่าการแต่งงานเป็นเพียงเรื่องของคนสองคนนั้น ไม่มีอะไรมากไปกว่าความไร้เดียงสา คนส่วนใหญ่คงไม่ต้องการที่จะสมรสกับสามีที่มีครอบครัวติดพ่วงมาด้วย นอกเสียจากว่าสามีที่ว่า พร้อมที่จะตัดความสัมพันธ์กับครอบครัวของเขา

นอร่าไม่รู้ว่าโรเอลจะทำเพื่อเธอได้ถึงขนาดนั้นไหม แต่เด็กสาวก็ไม่คิดที่จะทดสอบ เธอใกล้จะจับเหยื่อได้แล้ว จึงไม่ต้องการให้มีภาวะแทรกซ้อนที่ไม่จำเป็นเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้

องค์หญิงจ้องเข้าในดวงตาสีแดงของอลิเซียอย่างตั้งใจ ในใจนอร่าแอบกลัวเล็กน้อยเพราะถ้าอีกฝ่ายก่อปัญหาขึ้นที่นี่ มันคงจะดูไม่ดีสำหรับพวกเขาทั้งสองคนถ้าโรเอลเข้ามามีส่วนร่วมในเรื่องนี้ด้วย

โดยเฉพาะตอนนี้ที่พวกเขาอยู่ในที่สาธารณะ อย่างไรก็ตามความกังวลของเธอไม่ได้มีมูลความจริงแต่อย่างใด

“ขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาทนอร่าด้วยค่ะ ได้โปรดวางใจได้ ดิฉันไม่มีเจตนาใดเป็นพิเศษที่นี่ ดิฉันแค่อยากจะมาทักทายท่าน ไม่มีอะไรที่ท่านต้องกังวลแม้ว่าท่านพี่จะเห็นพวกเราสองคนอยู่ด้วยกันที่นี่ก็ตาม”

“ถ้าเจ้าตั้งใจจะมาทักทายข้าจริง ๆ ข้าก็ยินดี ความสัมพันธ์ของพวกเราจะได้ไม่อึดอัดจนเกินไป”

“ได้โปรดอย่ากังวลไปเลยค่ะ ดิฉันซาบซึ้งในสิ่งที่ท่านทำเพื่อปกป้องท่านพี่เป็นอย่างมาก และไม่มีเจตนาที่จะทำให้สิ่งต่าง ๆ ยุ่งยากสำหรับท่าน เพราะท้ายที่สุดแล้วความปลอดภัยของท่านพี่นั้นมีความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด”

“อย่างนั้นเองหรอกหรือ?”

สีหน้าของนอร่าอ่อนลงเล็กน้อยหลังจากได้ยินคำพูดของอลิเซีย ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกว่า โรเอลไม่ได้เอาอกเอาใจเด็กสาวคนนี้โดยไม่มีเหตุผล เด็กสาวคนนี้สามารถแยกแยะได้ว่าสิ่งใดสำคัญและสิ่งใดไม่ อีกทั้งยังไม่ยอมให้อารมณ์ส่วนตัวของเธอมาขัดขวางเรื่องสำคัญด้วย

แม้ว่าโรเอลอาจจะยังปลอดภัยในขณะนี้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว อาจจะยังมีภัยคุกคามมากมายที่ซ่อนอยู่รอบตัวเขาก็เป็นได้ กรณีกลุ่มลัทธิวิหารแห่งมิธริล ถือเป็นตัวอย่างที่ดีเลยทีเดียว

ยิ่งไปกว่านั้นพระสังฆราชจอห์นยังเคยกล่าวเอาไว้ว่าสมาชิกของตระกูลแอสคาร์ด ที่ปลุกพลังสายเลือดดั้งเดิมขึ้นมาได้ มักจะมีอายุขัยสั้นและตายก่อนเวลาอันควร ราวกับว่าพวกเขาถูกสาปแช่ง ทำให้นอร่าอดไม่ได้ที่จะเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้

“ดูเหมือนว่าเจ้าจะให้ความสำคัญกับเขามากเลยสินะ”

“แน่นอนค่ะ ดิฉันไม่สามารถทนรับความคิดที่ว่าจะมีอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับท่านพี่ได้”

เด็กสาวผมสีเงินวางมือเล็ก ๆ บนอกของเธอ ใบหน้าอันเยือกเย็นค่อย ๆ ละลายลง แสดงออกมาเป็นรอยยิ้มอันอบอุ่นที่โผล่ขึ้นมาเพียงชั่วพริบตา แต่ความงามของมันก็ไม่ได้หายไปจากความทรงจำของผู้ที่ได้เห็น ทำให้ทุกคนรู้สึกราวกับว่าหัวใจของพวกเขาเต้นผิดจังหวะ

“ดิฉันไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องไม่ดีหากฝ่าบาทจะปกป้องท่านพี่แทนดิฉัน ก่อนที่ดิฉันจะแข็งแกร่งพอที่จะทำเช่นนั้นด้วยตัวเองได้”

“ก่อนที่เจ้าจะแข็งแกร่งพอที่จะทำแบบนั้นได้ด้วยตัวเองงั้นเหรอ? เจ้าก็ช่างพูดเกินจริงนะ เจ้าคิดว่าเจ้าจะก้าวข้าม…เดี๋ยวก่อนนะ”

เมื่อพูดไปได้ครึ่งทาง รูม่านตาสีไพลินของนอร่าก็กว้างขึ้นเล็กน้อย เธอประเมินเด็กผู้หญิงผมสีเงินที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอครู่หนึ่ง จากนั้นความประหลาดใจก็ปรากฏขึ้นทั่วใบหน้าของเธอ

ความรู้สึกนี้… เธอใกล้จะไปถึงระดับแก่นแท้ 5 แล้ว! นี่มันเป็นไปได้อย่างไรกัน?

นอร่าได้พบกับอลิเซียระหว่างงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของเธอ ตอนนั้นอีกฝ่ายยังเป็นเพียงเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่ไม่มีพลังอำนาจอะไร ทว่าในระยะเวลาอันสั้นเพียงสองเดือน เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่ไร้อำนาจคนนั้นกลับใกล้จะได้รับคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดของตัวเองแล้วงั้นเหรอ?

การรับรู้อันน่าสะพรึงกลัวนี้ทำให้นอร่าขนลุกไปทั่วร่าง ความระแวดระวังต่ออลิเซียของเธอเพิ่มขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน เธอประเมินเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่กล้าเข้ามาท้าทายเธออีกครั้งด้วยสายตาที่หรี่ลง แต่คราวนี้เธอรู้สึกได้ว่ามีเสียงเตือนดังขึ้นในหัวของเธอ

“หากพูดถึงการปกป้องท่านพี่ล่ะก็ ความรับผิดชอบนี้ควรตกเป็นของใครก็ตามที่แข็งแกร่งกว่า ฝ่าบาทเห็นด้วยกับสิ่งที่ดิฉันพูดไหมคะ?”

“ดูเหมือนว่าเจ้าจะประเมินข้าต่ำไปนะ”

นอร่าหัวเราะเบา ๆ กับตัวเองก่อนจะก้าวไปข้างหน้าด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า ทั้งที่เธอยังไม่ได้ใช้พลังเหนือธรรมชาติใด ๆ แต่บรรยากาศโดยรอบของเธอกลับมีแรงกดดันมหาศาลอย่างไม่น่าเชื่อ

“เจ้าต้องการมาแทนที่ข้างั้นเหรอ? ก็ลองดูสิ ข้าจะแสดงให้เจ้าเห็นถึงช่องว่างระหว่างเราเอง”

ทั้งสองมองหน้ากันด้วยเปลวเพลิงอันลุกโชนโชติช่วงอยู่ในใจ อลิเซียมีเป้าหมายที่อยากจะเอาชนะ ส่วนนอร่าก็ตื่นตระหนกกับคู่แข่งที่ขู่ว่าจะขึ้นแซงเธอ การแข่งขันระหว่างสองสาวผู้เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ของจักรวรรดิเซนต์เมซิทได้ถูกจุดประกายขึ้นมาโดยมีเด็กผู้ชายคนหนึ่งเป็นเดิมพัน

นี่เป็นผลให้เกิดเป็นกลุ่มก้อนฝูงชนที่แตกต่างกันสามกลุ่มขึ้นในห้องโถง

กลุ่มแรกคือโรเอล ผู้ยังคงต้อนรับฝูงชนจำนวนมากที่อยากจะจับมือกับเขาใจจะขาด

ถัดมาคือกลุ่มของนอร่าและอลิเซียที่กำลังยืนจ้องหน้ากัน ต่อหน้ากลุ่มขุนนางสตรีผู้สูงศักดิ์

กลุ่มสุดท้ายคือกลุ่มของคาร์เตอร์ ซึ่งกำลังพูดคุยกับจอห์นอย่างกระตือรือร้นเกี่ยวกับปัญหาที่เขาต้องเผชิญในการเลี้ยงดูเด็ก ๆ โดยหวังว่าจะสามารถยื้อเวลาเอาไว้ได้ โชคดีที่จอห์นนั้นกำลังพึงพอใจกับตนเองที่สามารถช่วยให้หลานสาวของเขาทำแต้มได้ และเนื่องจากข้อเท็จจริงที่ว่านอร่าอาจจะไปเป็นสะใภ้ของคาร์เตอร์ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เขาจึงสนใจที่จะสานสัมพันธ์กับมาร์ควิสให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นไปด้วย

โดยรวมแล้ว มันยังคงเป็นบรรยากาศอันอบอุ่นและน่ายินดี แต่น่าเสียดายที่มันไม่ได้เป็นเช่นนั้นจนจบ

ประมาณหนึ่งชั่วโมงหลังจากพิธีสิ้นสุดลง เมื่อปีกแห่งแสงของโรเอลใกล้จะหายวับไป ขณะที่โรเอลจับมือแขกเรียบร้อยไปอีก 2- 3 คน ทหารองครักษ์ก็รีบเข้ามาในห้องโถง มุ่งหน้าไปยังฝั่งของคาร์เตอร์และเคน สถานการณ์กะทันหันนี้ไม่ได้ทำให้เกิดความโกลาหลมากนักเนื่องจากดาวเด่นของพิธีนี้คือนอร่าและบุคคลที่มีอำนาจสูงสุดในห้องคือจอห์น ส่งผลให้ความสนใจที่มีต่อเคนลดลงไปมาก

ในตอนแรกคาร์เตอร์ไม่ได้สนใจมากเท่าไหร่นักที่เคนถูกเรียกตัวไป แต่เมื่ออีกฝ่ายกลับมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม หยุดการทักทายทั้งหมดเพื่อขอสนทนาส่วนตัวกับพระสังฆราชจอห์น เขารู้ว่ามีบางอย่างที่สำคัญเกิดขึ้น ใบหน้าของจอห์นยังคงนิ่งเฉยอย่างสมบูรณ์ในระหว่างการสนทนาส่วนตัวกับลูกชายของเขา ทำให้คาร์เตอร์นึกไม่ออกว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อย่างไรก็ตามบางคนที่ช่างสังเกต รับรู้ได้ถึงความผันผวนเล็กน้อยในพลังเวทของเขา

หลายนาทีต่อมา หลังจากการสนทนาระหว่าง องค์ชายเคนและพระสังฆราชจอห์นสิ้นสุดลง เคนก็เดินกลับเข้าไปในฝูงชนแล้วลากตัวคาร์เตอร์กับอัศวินระดับสูงอีกสองสามคนจากกองทหารอัศวินศักดิ์สิทธิ์ไปยังด้านข้างของห้องโถงเพื่อจัดการประชุมด่วน

คาร์เตอร์ในฐานะที่เป็นผู้นำของตระกูลแอสคาร์ด ถูกมองว่าเป็นหนึ่งในดาวเด่นในพิธี ฝูงชนจึงสังเกตเห็นถึงความปั่นป่วนใหม่ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ขุนนางและเจ้าหน้าที่ที่มีสายตาเฉียบแหลมบางคนก็เริ่มมองสังเกตสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิด

อย่างไรก็ตามบรรดาผู้ที่มองดูพระสังฆราชจอห์น เห็นเพียงแค่การแสดงสีหน้าอันเฉยเมยบนใบหน้าของเขาตลอดเวลา ราวกับว่าสิ่งที่เขาได้พูดคุยกับเคนก่อนหน้านี้ไม่คู่ควรแก่การกล่าวถึง

ท้ายที่สุดโรเอลก็ไม่ได้สังเกตเห็นการเผชิญหน้าระหว่างนอร่ากับอลิเซีย ไม่นานนักหลังจากที่อลิเซียทักทายนอร่าเสร็จ เธอถูกห้อมล้อมด้วยบรรดาขุนนางสาวจากตระกูลที่เป็นพันธมิตรของตระกูลแอสคาร์ด ปิดกั้นสายตาสอดรู้สอดเห็นและป้องกันไม่ให้ใครมายุ่งกับเธอ ด้วยความที่อายุใกล้เคียงกัน พวกเขาเริ่มพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน

ในขณะเดียวกัน นอร่าก็ยังคงยืนรับคำทักทายของขุนนางหญิงไปทีละคน

“ท่านคาร์เมน ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอท่านที่นี่ด้วย ฉันรู้สึกขอบคุณจริง ๆ สำหรับความช่วยเหลือของท่านเมื่อไม่นานมานี้”

“ท่านใจดีเกินไปแล้ว นายน้อยโรเอล ท่านต่างหากที่ช่วยผมไว้ ผมว่าแล้ว ท่านช่างคู่ควรกับฝ่าบาทนอร่าจริง ๆ!”

“อา นั่น… ฮ่า ๆๆ”

โรเอลจับมือของคาร์เมน พลางทำตามธรรมเนียมปฏิบัติของเหล่าขุนนาง เมื่อสงสัยว่าตนเองควรจะตอบอย่างไรดี ก็แค่พูดข้ามไปพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะ

หอสมุดหลวงของเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์เป็นหอจดหมายเหตุทางประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรวรรดิเซนต์เมซิท ทำให้เป็นสถานที่ที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งสำหรับโรเอล แม้ว่าตำแหน่งของคาร์เมนในฐานะหัวหน้าบรรณารักษ์จะไม่ได้สูงเท่าไหร่ แต่การร่วมมือกับเขาจะทำให้เรื่องอะไรหลาย ๆ อย่างสะดวกขึ้นสำหรับโรเอลในอนาคตแน่

และที่สำคัญกว่านั้น…

(แต้มความสนใจ +80 !)

โอ้ ดูสิ เขาใจกว้างเรื่องแต้มความสนใจซะด้วยสิ! เราจะไม่ชอบคนแบบนี้ได้อย่างไรกันล่ะ?

“ท่านคาร์เมน โดยส่วนตัวแล้วฉันค่อนข้างสนใจประวัติศาสตร์ ดังนั้นฉันอาจจะแวะไปที่หอสมุดบ่อย ๆ ในอนาคต”

“ท่านโรเอล หอสมุดหลวงรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ให้บริการท่าน! แค่ส่งผู้ส่งสารมาล่วงหน้า แล้วผมจะสั่งการให้บรรณารักษ์รวบรวมบันทึกทั้งหมดที่ท่านต้องการ พร้อมเตรียมสภาพแวดล้อมที่ดีที่สุดสำหรับการอ่านให้กับท่านขอรับ”

โรเอลค่อนข้างพอใจกับคำตอบของคาร์เมน เท่านี้เขาก็จะสามารถใช้ห้องรับรองกิตติมศักดิ์ของราชวงศ์ในหอสมุดหลวงได้ฟรี ๆ ในอนาคต เด็กชายคุยกับบรรณารักษ์ต่อไปอีกสักพักก่อนที่จะกล่าวคำอวยพรและคำอำลาจากเทพีเซีย

ตอนนั้นเองปีกแห่งแสงที่อยู่ด้านหลังโรเอลก็ได้จางหายไปอย่างสมบูรณ์ โรเอลจึงใช้โอกาสนี้ หยุดงานจับมือแฟนคลับ และรีบออกจากประตูด้านข้างเพื่อมุ่งหน้าไปยังห้องน้ำอย่างรวดเร็ว แม้จะยินดีที่ได้รับแต้มความสนใจมามากมายในช่วงชั่วโมงที่ผ่านมาหรือราว ๆ นั้น แต่ความสุขดังกล่าวก็ต้องมาจบลงด้วยความทุกข์ในกระเพาะปัสสาวะของเขา

หลังจากปลดทุกข์เรียบร้อยอย่างรวดเร็ว เขาก็เดินไปล้างหน้าและจ้องมองเงาสะท้อนของตัวในกระจก พลางหายใจออกยาว ๆ

จนถึงตอนนี้ พิธีการได้ดำเนินไปเกือบสมบูรณ์แล้ว บรรยากาศเองก็ค่อนข้างดีมาก เจ้าหน้าที่และขุนนางหลายคนใช้โอกาสนี้เพื่อขอจับมือกับเขา ขณะบอกใบ้ถึงความเป็นไปได้ในการทำงานร่วมกัน นอกจากรูขนาดใหญ่บนหลังคา อาจกล่าวได้ว่าพิธีนี้ได้บรรลุผลตามความต้องการดั้งเดิมของมันแล้ว

“พิธีน่าจะใกล้สิ้นสุดอย่างเป็นทางการแล้วสินะ ฉันควรกลับไปหาท่านพ่อกับอลิเซียแล้วมานั่งคุยกัน”

โรเอลพึมพำกับตัวเองพลางยืดตัวและเริ่มเดินออกจากห้องน้ำ

ทว่าระหว่างที่เขากำลังจะก้าวกลับเข้าไปในห้องโถง เขาพบว่าตัวเองชนเข้ากับคาร์เตอร์อย่างจัง

“หืม? ท่านพ่อ มารอผมอยู่ที่นี่หรือ?”

“โรเอล? ไม่ ก่อนหน้านี้ข้าเพิ่งจะคุยเรื่องบางอย่างกับองค์ชายเคนมา ในเมื่อเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว ข้าจะขอบอกเจ้าก่อนก็แล้วกัน”

การพบกันโดยบังเอิญระหว่างบิดากับบุตรชาย ดูเหมือนจะจุดประกายความคิดบางอย่างในใจของคาร์เตอร์ เขาดึงโรเอลไปข้าง ๆ แล้วเงียบไปครู่หนึ่ง สีหน้าของเขาค่อย ๆ จริงจังขึ้น ก่อนที่เขาจะพูดด้วยน้ำเสียงอันเคร่งขรึม

“ข้าอาจจะไม่ได้กลับไปด้วยแล้ว”