ตอนที่ 131 ภายในป้อมปราการ!

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

หลังจากผ่านไปเนิ่นนาน ประตูป้อมปราการก็ค่อยๆ เลื่อนเปิดในที่สุด ประตูหนาหนักถูกเชือกในกำแพงชักรอกขึ้นไป เกิดเป็นเสียงกลไกเบียดกันดังเสียดหู

เริ่นเสี่ยวซู่หันกลับมองผ่านประตูเข้าไปในทันที เป็นครั้งแรกเลยที่เขาได้เห็นภาพของโลกในป้อมปราการที่โหยหามาตลอด

ประตูป้อมปราการ 113 ก็เปิดอยู่บ่อยๆ แต่เริ่นเสี่ยวซู่หักห้ามใจตัวเองไม่ให้มองเข้าไปข้างในอยู่ตลอด เป็นเพราะชีวิตไม่แน่นอน เขากลัวถ้าเห็นข้างในเป็นอย่างไรแล้ว ก็จะมัวแต่คิดเรื่องนั้นอยู่เรื่อยไป

เหยียนลิ่วหยวนเคยคิดจะลอบมองเข้าไปข้างใน แต่เริ่นเสี่ยวซู่ปรามไว้ก่อน ตอนนั้นเขาพูดว่าต่อไปจะพาเหยียนลิ่วหยวนเข้าไปอาศัยอยู่ในป้อมปราการได้แน่นอน แต่เขาเองยังไม่เชื่อคำพูดของตัวเองเลย

แต่ตอนนี้พวกเขากำลังได้เป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนั้นแล้ว

พอคนกลุ่มใหญ่ออกมาจากป้อม ชายวัยกลางคนหน้าตาหล่อเหลาก็พุ่งพรวดออกมาข้างหน้า เขายิ้มกล่าวทักทายหลัวหลาน “ยินดีต้อนรับนะครับเถ้าแก่หลัว ขออภัยที่ไม่ได้มาทักทาย ขออภัยที่ไม่ได้ออกมาต้อนรับ!”

แต่ใบหน้าหลัวหลานอึมครึม “แค่ขอโทษมันพอเหรอไงกับการที่ฉันรอนานขนาดนี้”

ลู่หย่วนยิ้มแล้วขอโทษขอโพยอีกครา “หลังจากรับคำสั่งจากเถ้าแก่ชิ่งผมก็ส่งคนออกไปรับท่านทันที แต่ว่ากลับเสียการติดต่อกับพวกเขาไป ไม่อย่างนั้นผมคงออกมารอท่านนานแล้ว”

หลัวหลานไม่เอ่ยอะไร และเดินเข้าป้อมปราการ 109 ไป เขากวักมือเรียกรถบรรทุก “ขับเข้ามา!”

ตอนนั้นเองลู่หย่วนก็พูดเสียงดังลั่นว่า “รอสักครู่ คนในรถคือใคร ควรออกมาให้ตรวจค้นหน่อยไหม”

พริบตานั้นหลัวหลานก็หันมาแล้วตบหน้าลู่หยวนฉาดใหญ่ “อย่าข้ามเส้น! กล้ามากนะที่ขอตรวจค้นรถบรรทุกของสมาคมตระกูลชิ่ง!”

ทุกคนตะลึงไป! นี่คือลู่หย่วน ผู้ปกครองของป้อมปราการ 109 เชียวนะ!

เริ่นเสี่ยวซู่ประหลาดใจอยู่บ้าง ไม่คิดเลยว่าหลัวหลานจะมีพลังดุร้ายเช่นนี้ ตอนนี้เองหลัวหลานถึงให้ความรู้สึกของ ‘คนใหญ่คนโต’ ในองค์กรที่เขาจิตนาการภาพไว้ แต่ในความเป็นจริง หลังจากได้อยู่กับเขาพักหนึ่งระหว่างทางมานี้ ก็รู้ได้ว่านี่ไม่ใช่ธรรมชาติของเขาเลย

หลัวหลานดูจะใช้ภาพลักษณ์นี้ปกป้องตัวเองมากกว่า เขาต้องให้ผู้อื่นหวาดกลัวตน ถึงว่าทำไมเวลาคนในป้อมปราการ 113 ได้ยินชื่อเขาถึงเกิดความยำเกรงได้ขนาดนั้น

ที่จริงเริ่นเสี่ยวซู่ไม่รู้เลยว่า ชะตากรรมของเหล่าหลิวผู้ปกครองแห่งป้อมปราการ 113 นั้นถูกตัดสินโดยวาจาของชิ่งเจิ่นไปแล้ว หลังจากถูกเนรเทศ เขาก็ตายระหว่างทางไปป้อมปราการ 178

แต่ที่เริ่นเสี่ยวซู่สนใจขึ้นมาคือหลัวหลานทำเช่นนั้นก็เพื่อให้พวกเขาสามารถเข้าป้อมปราการไปได้ บนรถไม่มีใครนอกจากกลุ่มของเริ่นเสี่ยวซู่หกคน รวมไปถึงเจียงอู๋และนักเรียนอีกยี่สิบแปดคน

ชายวัยกลางคนที่โดนตบหน้าผู้นักยืนนิ่งโดยไม่ปริปากอะไรพักใหญ่ หลัวหลานยิ้มเยาะ “ทำไมลู่หย่วน ลืมฐานะของตัวเองไปแล้วเหรอ”

ลู่หย่วนก้มหัวลงต่ำ “เปล่าครับไม่ลืม เถ้าแก่หลัว เชิญ”

เขาไม่ถามหลัวหลานด้วยซ้ำว่าทำไมคนที่เขาส่งออกไปถึงไม่กลับมากับพวกหลัวหลานด้วย แต่คนพวกนั้นก็ไม่สำคัญสำหรับเขาจริงๆ นั่นแหละ

เริ่นเสี่ยวซู่นั่งมองอยู่ในรถอย่างเงียบๆ นี่สินะพลังอำนาจที่องค์กรหนึ่งมี

ตอนนี้เองก็มีคนจำนวนหนึ่งเดินออกมาจากป้อมปราการ แล้วกล่าวกับหลัวหลานอย่างนอบน้อม “เถ้าแก่ชิ่งสั่งให้พวกเรามารอท่านที่นี่ครับ”

หลัวหลานเลิกคิ้ว “เป็นคนของน้องชายฉันเหรอ”

หลัวหลานตาทอประกาย “ดี นำทางเลย” จากนั้นก็หันมากล่าวกับลู่หย่วนว่า “มีธุระอะไรก็ไปทำเถอะ เย็นนี้จะให้คนส่งข้อมูลประจำตัวไปให้ พิมพ์ใบแสดงตนของป้อมปราการมาประมาณสี่สิบใบแล้วเอามาให้พวกเรา”

“ครับ รับทราบแล้ว” ลู่หย่วนพูดอย่างนอบน้อม

หลัวหลานขึ้นรถออฟโรดที่มารับเขาไป เริ่นเสี่ยวซู่เฝ้าดูใต้เงาในท้ายรถบรรทุกที่ค่อยๆ ขับเข้าป้อมปราการ ลู่หย่วนที่ยืนอยู่นอกป้อมปราการเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่

พอรถเข้าป้อมปราการมาแล้ว เหยียนลิ่วหยวนก็ชะโงกหน้าออกมาจากท้ายรถบรรทุกแล้วถอนหายใจ “พี่ ถนนในป้อมปราการอย่างสะอาดแน่ะ!”

“พี่ อาคารบ้านเรือนในป้อมปราการอย่างสูงเลย!”

ในเมืองมีแต่บ้านชั้นเดี่ยว ไม่มีตึกสูงอะไรเลย แต่ที่นี่พวกเขาเห็นตึกสูงสองสามชั้นเต็มไปหมด บางตึกก็สูงถึงห้าหกชั้น

แต่เริ่นเสี่ยวซู่อยากบอกเหยียนลิ่วหยวนเหลือว่าแม้แต่ตึกสูงระฟ้าเขาก็เคยเห็นมาแล้วที่เมืองร้างในเขาจิ้งซาน พวกมันสูงเหมือนกระบี่ที่แทงขึ้นฟ้าไป

หลังจากเคยเห็นภาพเช่นนั้น เริ่นเสี่ยวซู่ก็คิดว่าตึกสูงในป้อมปราการนั้นไม่สูงอีกต่อไป อย่างไรอารยธรรมมนุษย์ก็ถดถอยลงไปมาก

เจียงอู๋แอบมองเหยียนลิ่วหยวนที่กำลังตะลึงกับทิวทิวทัศน์ แต่เธอไม่พบว่าเรื่องนี้ตลกอะไรแม้แต่น้อย เธอรู้สึกแต่ว่าชีวิตที่พวกเธอใช้มานั้นช่างต่างกับวิถีชีวิตของผู้อพยพมากนัก

“พี่ ในป้อมมีต้นไม้เยอะเลย เห็นเต็มสองข้างทางแน่ะ เดี๋ยวนะมีทุ่งหญ้าตรงนั้นด้วย!” เหยียนลิ่วหยวนอุทาน

“นั่นคือสวนสาธารณะน่ะ” เจียงอู๋อธิบายให้เหยียนลิ่วหยวนฟัง “ชาวป้อมปราการสามารถมาเดินเล่นที่นี่ได้หลังทานอาหารเย็นแล้ว ตอนกลางคืนก็จะมีพวกป้าๆ ออกมาเต้นกันด้วย ยุคนี้เครื่องบันทึกเทปหายาก ถ้าคุณป้าท่านไหนมีตลับเทปกับเครื่องเล่นละก็ ก็จะกลายเป็นคนที่เฉิดฉายที่สุดในกลุ่มเต้นเลยละ”

เหยียนลิ่วหยวนพยักหน้า “พี่ ดูพ่อลูกที่นั่งบนสนามหญ้าคู่นั้นสิ พวกเขาป้อนอาหารกันด้วยแหละ ดูสวยงามจัง…เดี๋ยวนะ ทำไมพวกเขาจูบกันแล้วล่ะ”

เจียงอู๋พูดด้วยสีหน้าแปลกๆ “พวกเขาไม่ใช่พ่อลูกกันสักหน่อย…”

เริ่นเสี่ยวซู่ถามเจียงอู๋ “ทำไมรถคันนั้นไม่มีหลังคาล่ะ”

เจียงอู๋คิด และตอบ “นั่นเรียกว่ารถเปิดประทุนน่ะ เป็นรถที่มีแต่คนรวยเท่านั้นที่ขับได้ และก็เป็นการอวดสถานะในป้อมปราการด้วย”

เริ่นเสี่ยวซู่เย้ย “คนรวยนี่ดีจริง ขนาดหัวเปิดปิดได้ตามใจ…”

“…” เจียงอู๋นิ่งไป เธอไปต่อไม่ถูกเลย!

ในที่สุดเริ่นเสี่ยวซู่ก็เข้าใจแล้วว่าทำไมในป้อมปราการถึงมีดาราอย่างลั่วซินอวี่ได้ เป็นเพราะคนในป้อมปราการใช้ชีวิตได้หรูหรามากกว่าพวกเขามาก!

คนพวกนั้นทั้งไม่ต้องไปเผชิญหน้ากับสัตว์ป่า ทั้งไม่ต้องแบกตะกร้าถ่านหินออกจากเหมือง เพียงแต่ต้องหางานดีๆ รายได้งามในป้อมปราการเท่านั้น

ผู้อพยพนอกป้อมปราการก็เหมือนมดงานที่ทำหน้าที่สนับสนุนราชินีมดนับแสนตัว

เริ่นเสี่ยวซู่เคยได้ยินจากจางจิ่งหลินมาก่อนว่า ผู้อพยพนอกป้อมปราการ 113 นั้นถือว่ามีจำนวนไม่มากเลย ในสถานที่อื่น จะมีผู้อพยพรวมกลุ่มกันเป็นกลุ่มใหญ่เพื่อทำกสิกรรมและทำงานในโรงงาน ถึงกับมีอาณานิคมขนาดใหญ่ของมนุษย์ที่มีแต่ผู้อพยพด้วยซ้ำไป

ปกติแล้วอาณานิคมขนาดใหญ่เหล่านั้นจะถูกควบคุมโดยองค์กรต่างๆ

ตอนนั้นเอง เริ่นเสี่ยวซู่ก็เห็นรางรถไฟหลายเส้นบนพื้น “นี่คืออะไรน่ะ”

“รางของรถรางน่ะ” เจียงอู๋ว่า “ชาวป้อมปราการสามารถนั่งรถรางไปทำงานได้ทุกวัน”