ตอนที่ 126 กล่าวโทษอย่างไร้เดียงสา เสวนาถึงเรื่องจี้ซื่ออีกครั้ง (1)

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

คืนนี้ เหยาเยี่ยนอวี่หลับไม่ค่อยสนิท

ก่อนหน้านี้ นางนอนอยู่บนเตียงแล้วกลิ้งไปกลิ้งมาเพราะนอนไม่หลับ หลังจากหลับตาไปก็เห็นใบหน้าเคร่งขรึมและรอยยิ้มหยิ่งผยองของเว่ยจาง ข้างหูก็มีคำพูดของเขาดังขึ้นไม่หยุด

คุณหนูเหยา ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร เจ้าถึงจะยอมสมรสเป็นภรรยาของข้า?

ต้องทำอย่างไร เจ้าถึงจะยอม

สมรสเป็นภรรยาของข้า…

คุณหนูเหยา รอให้เจ้าอยากจะออกเรือนเมื่อใด ข้าจะให้แม่สื่อมาสู่ขอเจ้าถึงที่ ดีหรือไม่

อยากจะออกเรือนเมื่อใด…ข้าจะให้แม่สื่อมาสู่ขอ…

เหยาเยี่ยนอวี่คิดไปก็เคร่งเครียดไป ทำให้นางถึงกับก่นด่าในใจ ‘เจ้าสารเลวนี่รู้ได้ยังไงว่าสตรีอย่างข้าต้องแต่งงานกับเขา?! เขาเอาความมั่นใจในตัวเองมาจากไหนกัน!’

เหยาเยี่ยนอวี่พลิกตัวไปมาบนเตียงจนเวลาใกล้จะถึงยามสี่[1] จึงจะค่อยๆ หลับไป ทว่ากลับฝันถึงเรื่องราวที่สับสนวุ่นวาย ประเดี๋ยวก็ฝันว่าเหยาเฟิ่งเกอดึงมือตนเองแล้วบอกว่านางคลอดบุตรี และทั้งชีวิตนี้ก็คงไม่สามารถมีบุตรชายเป็นของตนเอง แล้วยังขอร้องน้องสาวคิดหาวิธี ไม่เช่นนั้นนางก็คงไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ในจวนติ้งโหวอย่างสงบสุข ประเดี๋ยวก็ฝันว่าเฟิงฮูหยินน้อยนอนอยู่ในกองเลือดพร้อมกับจับมือของตนเองไว้ จากนั้นก็ร้องขอความช่วยเหลือจากคุณหนูเหยาไม่หยุด…

พอฝันถึงตอนสุดท้าย กลับกลายเป็นเว่ยจางที่อาบเลือดไปทั้งตัว แล้วยืนอยู่ตรงหน้าตนเอง ดวงตาที่กระหายเลือดคู่นั้นกำลังลุกโชนไปด้วยเปลวไฟที่ร้อนแรง ริมฝีปากแห้งกร้านขยับเล็กน้อย ทว่าไม่ได้ส่งเสียงใดๆ ออกมา นางกลับได้ยินอย่างชัดเจน เขาบอกว่า เยี่ยนอวี่ สุดท้ายเจ้าก็ยอมแต่งงานกับข้า…

ให้ตายเถอะ! ใครจะแต่งงานกับเจ้า!

เหยาเยี่ยนอวี่ตะโกนออกมาแล้วลุกขึ้นมานั่ง มือของนางดึงมุ้งสีม่วง จนมุ้งตาข่ายเนื้อบางเกือบจะถูกนางดึงขาด

“คุณหนูตื่นแล้วหรือ” ชุ่ยเวยได้ยินเสียงจึงเข้ามา พอเห็นสีหน้าขาวซีดของเหยาเยี่ยนอวี่และกำลังนั่งเหม่อลอยอยู่บนเตียง ด้วยเหตุนี้จึงถามขึ้น “คุณหนูเป็นอะไรไปเจ้าคะ ไม่สบายตรงไหนหรือไม่”

เหยาเยี่ยนอวี่ค่อยๆ ตั้งสติ แล้วพยายามอดกลั้นอารมณ์ความรู้สึกในฝัน แล้วค่อยๆ พูดขึ้น “ไม่ได้รู้สึกไม่สบายอะไร แค่ฝันร้ายเท่านั้น ไม่เป็นไร”

“ตั้งแต่คุณหนูเกือบจะตกลงมาจากรถม้าในครั้งนั้น ก็ดูไม่มีชีวิตชีวาเลย ไม่เช่นนั้นลองกินยาสงบใจดีหรือไม่”

เหยาเยี่ยนอวี่ไม่ทันคิดก็ปฏิเสธไปโดยตรง “กินยาอะไรเล่า อยู่ดีๆ ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บอะไร ประเดี๋ยวกินยาจนป่วยขึ้นมาจะทำอย่างไร”

ชุ่ยเวยยิ้มแล้วไม่กล่าวมากความอะไรอีก จากนั้นก็รีบไปสวมใส่เสื้อผ้าให้เหยาเยี่ยนอวี่ ชุ่ยผิงเองก็ยกน้ำร้อนเข้ามา ข้างหลังยังมีไม่ตงและปั้นซย่าติดตามมาด้วย คนหนึ่งถือเกลือและแปรงสีฟัน และอีกคนก็ถือสบู่และผ้าเช็ดหน้า

หลังจากที่ล้างหน้าแปรงฟันและแต่งกายจนเสร็จ เหยาเยี่ยนอวี่จึงเอ่ยถาม “ท่านพ่อกับท่านพี่เป็นเช่นไรบ้างแล้ว”

ชุ่ยเวยตอบกลับ “นายท่านยังไม่ตื่นเจ้าค่ะ ส่วนคุณชายรองตื่นแล้ว ทว่าสีหน้ายังดูไม่ค่อย ดีและไม่ค่อยมีชีวิตชีวาเจ้าค่ะ”

เหยาเยี่ยนอวี่รู้ว่านี่ก็คงเป็นเพราะอาการเมาค้าง จึงไม่ได้เอ่ยอะไรอีก

จนถึงเวลากินอาหารเช้า เหยาหย่วนจือถึงจะตื่นขึ้นมา ทว่าดวงตาทั้งสองข้างกลับบวม สีหน้าดูไม่ค่อยดี เหยาเยี่ยนอวี่เห็นจึงอุทานในใจ อาการเมาค้างนี้ทำลายสุขภาพมากจริงๆ

แค่ว่าแผนเดินทางกลับทางใต้ของเหยาหย่วนจือคือวันพรุ่งนี้ เหยาเยี่ยนอวี่จึงไม่ได้อยู่อย่างว่างงาน อย่างน้อยก็ต้องจัดเตรียมของฝากให้ท่านย่า มารดาที่เป็นภรรยาเอก แล้วยังมีพี่สะใภ้สองคนและน้องสาวอนุภรรยาของตน ดังนั้นจึงบอกเหยาหย่วนจือว่าจะพาชุ่ยเวยและชุ่ยผิงออกไปข้างนอก

หลังจากที่ออกจากประตูจวน เหยาเยี่ยนอวี่ก็ไม่ได้ไปที่อื่น แค่มุ่งหน้าไปยังร้านเล็กๆ ที่ขายเครื่องประดับอัญมณีของตน

ก่อนหน้านี้ องค์หญิงใหญ่หนิงหวาส่งพวกไข่มุกและพลอยมาให้ นางก็ได้เลือกแล้วเอาไปให้ช่างทำเป็นเครื่องประดับ วันนี้เวลาก็ผ่านมาสักระยะแล้ว พอมาคำนวณเวลาดู ก็คงจะได้เวลาอันสมควรเสียแล้ว

ร้านเครื่องประดับนี้ไม่ได้เป็นร้านที่มีทำเลที่ดีที่สุด ประตูไม่ถือว่าใหญ่มาก ทว่าก็ถือว่าข้างในตกแต่งได้อย่างหรูหรา รถม้าของเหยาเยี่ยนอวี่จอดลงตรงหน้าประตู จากนั้นก็เลิกม่านขึ้นแล้วมองไปก็เห็นบรรดาสตรีที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าชั้นดีกำลังเลือกเครื่องประดับอยู่

พอเห็นว่ากิจการดำเนินไปได้ไม่เลว เหยาเยี่ยนอวี่ก็รู้สึกดีใจเล็กน้อย

ว่าไปแล้ว การที่นางต้องยืนด้วยขาของตนเองในใต้หล้านี้ หากไม่มีเงินทองก็คงอยู่ไม่รอด ถึงแม้นางเคยถามตนเองว่าทักษะการแพทย์ของนางจะสามารถทำให้มีข้าวกินไปทั่วทุกหนแห่ง ทว่าตอนนี้หากร้านค้าพวกนี้สามารถหาเงินเลี้ยงดูตนเองและบ่าวไพร่สิบกว่าคนได้ จะได้ค่อยๆ ออมเงินจนกลายเป็นเศรษฐีไม่ดีกว่าหรือ

พอนึกถึงเช่นนี้ เหยาเยี่ยนอวี่จึงอยากจะไปปรึกษาหารือกับเหยาหย่วนจือเกี่ยวกับเรื่องนั้นของตนเองทันที ก่อนหน้านี้นางยังไม่ได้ตัดสินใจดีๆ ตอนนี้พอมาคิดๆ ดูแล้ว ถ้าหากสามารถแสวงหากำไรก้อนหนึ่งในวัตถุดิบของสูตรปรุงยา ไม่ใช่ว่าเป็นสิ่งที่ดีกว่าหรือ

ตอนลงจากรถม้า เหยาเยี่ยนอวี่จึงถือโอกาสถามเมิ่งโหย่วฉุน “เรือนกระจกของบ้านนาน้อยวัวจวูเป็นเช่นไรบ้างแล้ว”

“เรียนคุณหนู บังเอิญเมื่อวานเหล่าหวงได้เข้าเมือง แล้วบอกบ่าวว่ายาซานชีเจริญเติบโตขึ้นมามาก ดูๆ แล้วการเจริญเติบโตของสมุนไพรนั้นไม่เลวขอรับ ส่วนหญ้าห้ามเลือดเองก็ถือว่าเติบโตได้ดี มีสองกระถางออกดอกด้วย หากคุณหนูมีเวลาว่างก็ไปดูได้ ถ้าเห็นแล้วคงจะรู้สึกพึงพอใจขอรับ”

“เยี่ยมมาก” เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มอ่อนๆ พลางพยักหน้า “เจ้าอย่าลืมกำชับให้เขาเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ดีๆ ล่ะ รอให้ผ่านตรุษจีนไป อากาศคงอบอุ่นขึ้น ในพื้นที่ของบ้านนาน้อยวัวจวูจะได้ปลูกพืชสมุนไพรสองชนิดนี้ไว้อีกเยอะๆ”

“ขอรับ บ่าวจดจำไว้แล้ว” เฝิงโหย่วฉุนกล่าวจบ จึงถามอย่างลังเล “แต่ว่า…สภาพอากาศที่นี่ของพวกเราไม่เหมาะแก่การปลูกพืชสมุนไพรสองชนิดนี้หรือไม่”

“นี่ไม่ใช่ปัญหา ลองดูก็รู้” เหยาเยี่ยนอวี่ยกยิ้ม แล้วไม่ได้พูดสิ่งใดให้มากความ ถ้าเป็นยุคปัจจุบัน ข้าวที่ปลูกในภาคใต้ก็สามารถเอามาปลูกในทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ไม่เพียงแต่น้ำ แสงแดดและสภาพดินเท่านั้น เรื่องพวกนี้เชื่อว่าเหล่าหวงจะสามารถคิดหาวิธีแก้ไขได้ หากทำไม่ได้จริงๆ ก็สามารถสร้างเรือนกระจกขนาดใหญ่ออกมาหนึ่งหลัง อย่างไรทางสำนักหมอหลวงก็รีบปรุงยาห้ามเลือดออกมาอยู่แล้ว นางไม่กลัวว่ายาสองชนิดนี้จะขายไม่ออก

ระหว่างที่พูด เหยาเยี่ยนอวี่พาเฝิงโหย่วฉุนและสาวใช้อีกสองคนเข้าไปในร้านเครื่องประดับ ผู้ดูแลร้านคือข้ารับใช้ของตระกูลเหยา และได้ตั้งชื่อให้เขาว่าเหยาซุ่น พอเหยาซุ่นได้ยินเสียงกระดิ่งตรงหน้าประตูจึงรีบเงยหน้าขึ้น จากนั้นก็เห็นเหยาเยี่ยนอวี่และเฝิงโหย่วฉุนเดินตามกันมา เขาจึงรีบวางสมุดบัญชีและเดินเข้าไปน้อมคำนับ “น้อมคารวะคุณหนูขอรับ ช่วงนี้อากาศหนาวเหน็บ เหตุใดคุณหนูมาเยือนถึงที่นี่ มีเรื่องอะไรหรือไม่ เหตุใดไม่เรียกให้บ่าวไปหาคุณหนูเองขอรับ”

เหยาเยี่ยนอวี่แย้มยิ้มบางๆ “หลายวันมานี้มีเรื่องให้ยุ่งอยู่มากมาย ข้าเองก็อุดอู้อยู่แต่ในจวนจนทนไม่ไหวแล้ว” ระหว่างที่กล่าว เหยาซุ่นก็ได้พาเหยาเยี่ยนอวี่และคนอื่นเดินผ่านห้องโถงทะลุไปด้านหลัง แล้วเข้าไปในเรือนเล็กๆ ที่ตกแต่งอย่างเรียบหรู

ชุ่ยเวยจึงรีบเดินเข้าไปถอดเสื้อคลุมของเหยาเยี่ยนอวี่ออก เหยาเยี่ยนอวี่นั่งลงพลางถามขึ้น “ก่อนหน้านี้เครื่องประดับเหล่านั้นที่ข้าสั่งทำเสร็จหรือยัง ท่านพ่อจะกลับเขตตอนใต้ในวันพรุ่งนี้แล้ว จะได้ช่วยข้านำของกลับไป”

“เสร็จแล้วขอรับ! เมื่อวานท่านเฝิงก็ส่งคนมากำชับโดยเฉพาะ คุณหนูโปรดรอสักครู่ บ่าวจะไปเอามาให้ท่านขอรับ” เหยาซุ่นกล่าวจบ ก็พยักหน้าให้กับเฝิงโหย่วฉุน จากนั้นก็หันหลังเดินจากไป ไม่นานก็ถือกล่องเครื่องประดับห้าหกกล่องเข้ามา

เหยาเยี่ยนอวี่เห็นกล่องที่แกะสลักอย่างประณีตเหล่านั้น สองกล่องในนั้นเป็นกล่องลายเลี่ยมทอง พอเห็นคนเหล่านี้ทำงานได้อย่างรอบคอบ จึงแย้มยิ้มอย่างตื้นตัน “รีบเปิดให้ข้าดูเถอะ”

เครื่องประดับสองกล่องอันหรูหราคือเครื่องประดับของฮูหยินผู้เฒ่าซ่งและหวางฮูหยิน กล่องที่เหลือคือเครื่องประดับของพี่สะใภ้ทั้งสองคนและน้องสาวเชวี่ยหวา ส่วนแหวนยิงธนูที่จะให้เหยาหย่วนจือ เฝิงโหย่วฉุนได้นำไปส่งให้เหยาเยี่ยนอวี่แล้ว

เหยาเยี่ยนอวี่เปิดดูและตรวจไปทีละกล่อง ถึงแม้นางจะไม่เข้าใจ ทว่านางก็ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาสิบปี และได้เห็นเครื่องประดับเหล่านี้อยู่ทุกวี่ทุกวัน เครื่องประดับของตนที่มีอยู่ก็ไม่น้อย พอเห็นสิ่งเหล่านี้อยู่ประจำก็จะทำให้ล่วงรู้เอง ถึงแม้เครื่องประดับเหล่านี้ยังไม่สามารถเทียบเทียมกับเครื่องประดับชุดที่หลิงซีจวิ้นจู่ส่งให้มา ทว่างานฝีมือก็ถือว่าประณีตและละเอียดอ่อนเป็นอย่างมาก

[1] ยามสี่ คือ ช่วงเวลา 01:01 – 03:00 น.