หลังชิวเจิ้นพูดจบ ถังหยินและหยวนจี้ที่ได้ฟังก็ถึงกับพูดไม่ออก พวกเขานั้นรู้ดีว่าเด็กหนุ่มคนนี้มีความทะเยอทะยานสูง แต่ก็ไม่คิดว่าจะไปไกลขนาดนี้ นี่มันระดับที่เขาคิดจะยึดครองแคว้นนี้เลยนะ !

ถังหยินเมื่อได้สติก็ส่ายหัว “เจ้าคิดว่าอ๋องของแคว้นนี้เป็นสิ่งที่ข้าสามารถล้มได้…”

ชิวเจิ้นพูดขัดคอเขาทันที “จริง ๆ มันก็ไม่ยากนักหรอก นายท่านแค่ต้องรอโอกาส”

“โอกาส ?”

มุมปากของชิวเจิ้นเผยอขึ้น “ขึ้นอยู่กับเวลาและโอกาสขอรับนายท่าน ถ้าหากท่านต้องการจะเป็นใหญ่ ท่านก็แค่ต้องมีกองทัพที่เก่งกาจในมือ ดังนั้นการขยายกองกำลังจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ”

ถังหยินพยักหน้ารับ เพราะนี่คือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงต้องการขยายกองทัพ ทั้งนี้ก็เพื่อจะเป็นใหญ่ มีอำนาจมากขึ้น และจัดการกับพวกมอร์ฟีสหรือชาติไหน ๆ ก็ตามที่เข้ามารุกราน !

ในขณะที่ชิวเจิ้นหันไปจัดการงานภายในต่าง ๆ ชายหนุ่มก็หันไปพูดกับหยวนจี้ “หยวนจี้ ด้วยสภาพของพวกเราตอนนี้ ถ้าคิดขยายจำนวนทหารเพิ่ม จะสามารถคงสภาพเอาไว้ได้เท่าไหร่ ?”

ชายผู้ชาญฉลาดครุ่นคิดก่อนจะตอบ “น่าจะราว ๆ 8 หมื่นถึง 1 แสนนายขอรับ”

“เอาตามนั้นเลย เพิ่มจำนวนทหารไปให้ถึง 8 หมื่นนาย จากนั้นจงส่งคำสั่งไปยังนายกองทั้งหมด ให้พวกเขาเฟ้นหาทหารที่เก่งมาให้ได้” ถังหยินออกคำสั่ง

“ขอรับนายท่าน !”

“แล้วก็เขียนจดหมายไปยังหยูเฮอด้วย เขาต้องเป็นคนแรกที่ได้รับข่าวดีนี้เพื่อทำการสนับสนุนด้านเสบียงให้พวกเรา”

“รับทราบ”

“หยวนจี้ เจ้าช่วยข้าเตรียมของขวัญส่งไปให้แม่ทัพอิงปูด้วย เพื่อตอบแทนในสิ่งที่เขาทำ”

หยวนจี้กล่าว “นายท่าน ข้าจัดการเรื่องนี้ให้ท่านเรียบร้อยแล้ว”

ถังหยินพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม

หลังจัดการทุกอย่างเสร็จ ชิวเจิ้นกับหยวนจี้ก็กลับออกไป

จากนั้นถังหยินก็ออกไปหาเจียงโมกับเจียฉี

ในการต่อสู้ที่ผ่านมา เจียงโมกับเจียฉีนั้นได้รับบาดเจ็บจากภายใน และดูเหมือนว่าเจียฉีจะอาการหนักทีเดียว ตอนนี้ทั้งสองนอนอยู่ในห้องรับแขกที่ไม่ใหญ่มากนัก ภายในนั้นมีเตียงวางอยู่ทั้งสองข้างทาง

เมื่อเห็นเจ้านายพวกเขามา ทั้งสี่ก็ตกตะลึงไป ก่อนจะรีบลุกขึ้นคำนับให้ และแม้แต่เจียงโมที่บาดเจ็บเองก็พยายามลุกขึ้นมาด้วยเช่นกัน ดังนั้นชายหนุ่มจึงได้เข้าไปพยุงเอาไว้ และพูดว่า “พักผ่อนเถอะ ไม่ต้องหรอก”

เขามองไปยังเจียงโมและสังเกตว่าไม่มีบาดแผลภายนอก หากแต่อวัยวะภายในนั้นกลับได้รับบาดเจ็บหนักมาก ทำให้ใบหน้าขาวซีดและอ่อนแอ ผิดกับเจียฉีที่ได้รับการรักษาเรียบร้อยแล้ว

ทั้งสองต่อสู้อย่างห้าวหาญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาคับขัน เสี่ยงชีวิตเข้าไปทำลายรถศึกเพื่อยื้อเวลาให้กำลังเสริมมาถึง

ถังหยินครุ่นคิดถึงรางวัลที่จะต้องมอบให้กับทั้งสอง ถ้าเกิดว่าพวกเขาเป็นนายทหารระดับสูง ตามปกติแล้ว ด้วยผลงานในครั้งนี้ก็คงได้เป็นขุนนางแล้ว แต่เจียงโมนั้นเพิ่งจะเข้ากองทัพได้ไม่นานเนี่ยสิ

เมื่อคิดไม่ออก ดังนั้นชายหนุ่มจึงถามออกไป

เฉิงจิน โอชิง เจียฉี กับสหายอีกคนของเขาเริ่มทำตัวไม่ถูก เพราะพวกเขานั้นไม่รู้ต้องการอะไร ทั้ง 4 เพิ่งจะได้เจอหน้ากันและรอดตายจากการต่อสู้มา อีกทั้งยังได้รับบาดเจ็บมาอีก ดังนั้นจึงไม่ทันได้คิด

เมื่อมาคิด ๆ ดู ก็เหมือนกับเจียงโมจะตระหนักถึงอะไรได้ เขารีบพูดขึ้น “นายท่าน ข้าพลาดเองในศึกครั้งนี้ ครั้งหน้าข้าจะ…”

ถังหยินหัวเราะออกมาเพื่อตัดบท และตบบ่าของเขา “ข้าไม่โทษเจ้าหรอก กลับกัน ข้าคิดว่าการที่เจ้าบุกเดี่ยวเข้าไปแบบนี้ ถือได้ว่ามีความกล้ามากทีเดียว ข้าแค่คิดว่าจะมอบรางวัลอะไรให้เจ้าก็เท่านั้นเอง” เขามองไปยังเฉิงจิน โอชิง เจียฉี คนพวกนี้ต่างก็เป็นผู้ใช้ศาสตร์มืดเช่นเดียวกับเขา ดังนั้นการเก็บคนพวกนี้ไว้ใกล้ตัวจึงเป็นเรื่องที่ดี “ข้ามีความคิดดี ๆ แต่ไม่รู้ว่าจะเหมาะไหมนะ”

“พูดมาเถอะนายท่าน”

“พวกเจ้าไม่ต้องเข้าร่วมกองทัพ แต่ข้าจะให้พวกเจ้าจัดตั้งกองกำลังของตัวเอง มีหน้าที่จัดการดูแลเกี่ยวกับการข่าวสาร ลอบสังหาร และช่วยเหลือกองทัพเฟิง คิดว่าไง ?”

การมีหน้าที่ ย่อมดีกว่าไม่มีอะไรเลยอยู่แล้ว “พวกเราน้อมรับคำสั่งขอรับ”

เฉิงจินกลอกตา “ถ้างั้นพวกเราก็…”

“รับคำสั่งจากข้าโดยตรง !”

ได้ยินแบบนั้น ทั้ง 4 คนก็ดีใจมาก พากันยิ้มออกมา เพราะการได้รับคำสั่งจากถังหยินโดยตรง และไม่ต้องอยู่ใต้พวกผู้ใช้พลังแสงนั้นเป็นเรื่องที่ดี “ถ้างั้นแล้วชื่อล่ะขอรับ ?”

ถังหยินไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดี แต่ก็นึกขึ้นมาได้ “เอาเป็น ‘ศรทมิฬ’ ก็แล้วกัน มันหมายถึงว่าพวกเจ้านั้นเป็นผู้ใช้ศาสตร์มืดที่ไปไหนมาไหนและอันตรายดั่งลูกศร !”

ทั้งสี่ตอบรับพร้อมกัน “ยอดเลยนายท่าน !”

ถังหยินกล่าวต่อ “เฉิงจิน เจ้าเป็นหัวหน้าหน่วยไปก่อน ส่วนเจียงโมก็ให้เป็นรองหัวหน้า และถ้าหากมีคนที่จะเข้าร่วมกลุ่มอีก ข้าจะให้พวกเขาอยู่ภายใต้การดูแลของเจ้า”

“ไม่มีปัญหาขอรับ” พวกเขายอมรับมัน พร้อมกับคิดไปถึงช่วงเวลาในอนาคต ที่ถ้าหามีพวกผู้ใช้ศาสตร์มืดมารวมตัวกันมากกว่านี้ มันจะเป็นยังกันนะ !

เจียงโมนั้นตื่นเต้นมาก เพราะเขาไม่โดนด่า แถมยังได้เป็นถึงรองหัวหน้าหน่วยอีก

ในเวลานี้เอง เจียฉีก็ได้พูดขึ้น “นายท่าน ถ้างั้นเรื่องเบี้ยเลี้ยง…” เป็นคำถามที่ตรงไปตรงมามาก แต่มันก็นับว่าถูกต้อง เพราะยังไงเสียพวกเขาก็ไม่คิดจะทำงานให้ใครฟรี ๆ อยู่แล้ว

ถังหยินตอบกลับไป “เพราะถือว่าทำงานให้กับกองทัพ ดังนั้นแล้วเบี้ยเลี้ยงของพวกเจ้านั้นก็เอาตามที่กฎหมายระบุเอาไว้นั่นแหละ”

เจียฉีไม่สนใจเรื่องจำนวนอยู่แล้ว แต่ถ้ายิ่งได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้นไม่ใช่หรือ ?

เขารีบโค้งคำนับ “เป็นพระคุณอย่างยิ่งนายท่าน”

ถังหยินมองทั้งสี่และกล่าว “พักผ่อนให้สบายเถอะ ถ้ามีอะไรก็เรียกข้าได้”

“ขอรับนายท่าน”

ตามความคิดของถังหยิน เขานั้นต้องการให้หน่วยศรทมิฬเป็นดั่งที่พึ่งพิงของเหล่าผู้ใช้ศาสตร์มืด แต่เขาก็ไม่คิดเลยแม้แต่น้อย ว่าในอนาคตนั้น หน่วยงานนี้ในอนาคตจะสามารถจัดการงานได้ทุกอย่าง ทั้งในและนอกแคว้น !

เพียงวันแรกของการเกณฑ์ทหาร ก็มีคนจำนวนมากเข้ามาร่วม ซึ่งนี่มันก็เป็นสิ่งที่ทำให้ถังหยินและแม่ทัพคนอื่น ๆ รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย

ชายหนุ่มไม่อยากอยู่นิ่งเฉย ดังนั้นเขาจึงเรียกกู่เยว่มา และทำการถ่ายทอดกลศึกแบบที่เขาเคยใช้ในครั้งที่แล้ว ในการต่อกรกับพวกมอร์ฟีส

มันไม่ใช่ศาสตร์ที่ยากมากนัก ดังนั้นถังหยินจึงสามารถสอนให้กู่เยว่เข้าใจมันได้อย่างง่ายดาย

กู่เยว่นั้นฉลาดพอตัว เขาสามารถจดจำมันได้อย่างรวดเร็ว และนำมันไปใช้ฝึกทั้งกองทัพได้ เพราะมันไม่ใช่แค่เพียงกลยุทธ์ที่เอาไว้จัดการกองทหารม้าเกราะหนักได้เท่านั้น แต่มันยังเป็นวิชาที่ใช้เอาตัวรอดได้ด้วย !

ระหว่างการฝึก พวกเขาก็ได้ลองเอาเกราะของพวกเชลยมาทดสอบดู เพื่อให้เตรียมรับมือกับของจริง ทำให้พวกเขาสามารถหาจุดอ่อนของมันได้ง่ายกว่าเดิมขึ้นเยอะเลยทีเดียว

วันนั้นเอง หลีเทียน และอัยเจียได้เข้ามาหาถังหยินพร้อมกับชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง

เมื่อหลีเทียนเข้ามา เขาได้หยิบกระดาษออกมาวางไว้บนโต๊ะ “นี่คือแผนที่ที่ข้ากับอัยเจียช่วยกันวาดขึ้นมาขอรับ”

ถังหยินสนใจมันอย่างมาก

แผนที่นี้เหมือนกับแผนที่หนังแกะที่เขาได้มา ต่างกันแค่เพียงมันถูกเขียนโดยภาษาที่เขารู้จักแล้วในคราวนี้

“นี่คือแผนที่รัฐเบสซ่าใช่ไหม ?”

“ขอรับ ข้าหาคนมาแปลได้แล้ว”

“ใคร ?”

“เขา !” หลีเทียนชี้ไปยังชายคนที่พามาด้วย

ถังหยินหันไปมองตามและเห็นชายคนนี้ เขาดูผอมแห้งและการแต่งกายก็ไม่ต่างอะไรจากขอทานเลยแม้แต่น้อย

“เจ้าคือ”

ชายคนนั้นคุกเข่าและพูดขึ้น “ข้าคือ จางชวน ขอรับนายท่าน”