บทที่ 146 ที่พึ่งและผู้ช่วย โดย ProjectZyphon
น้ำตกสายหนึ่งร่วงกระแทกลงบนศีรษะ
เนื่องด้วยอายุที่อยู่ในวัยเลือดลมพลุ่งพล่านของเนื้อหนังมังสาร่างนี้ นอกเหนือจากความตกตะลึงแล้ว เหตุการณ์นี้ยังส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจส่วนหนึ่งของชุยฉานไม่มากก็น้อย บวกกับเพราะอยู่ในบ่อโบราณ ความเร็วในการร่วงดิ่งลงสู่ก้นบ่อจึงถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่อาจเร็วไปมากกว่าปราณกระบี่ ชุยฉานไม่เหลือทางให้ถอยนานแล้ว จึงไม่คิดจะถอยหนี มือข้างหนึ่งของเขาทำมุทราอยู่เบื้องหน้า ฝ่ามืออีกข้างหนึ่งชูขึ้นไปทางปากบ่อแล้วร่ายยันต์คุ้มกันชีวิตชิ้นหนึ่งที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นสมบัติก้นกรุออกมา
เห็นเพียงว่าฝ่ามือที่ขาวสะอาดดุจหยกของเด็กหนุ่มมีกระจกบานหนึ่งปรากฏขึ้น หน้ากระจกเล็กกว่าปากบ่อแค่หนึ่งรอบเล็กๆ เท่านั้น เหนือผิวกระจกแผ่แสงเหลืองขมุกขมัวบางๆ ชั้นหนึ่ง
มีปราณกระบี่สีขาวบางส่วนไหลผ่านริมขอบกระจกลงมาเบื้องล่าง น้ำในบ่อจึงระเหยเหือดหายไปเกลี้ยงในเสี้ยววินาที
กระจกทั้งบานต้านรับปราณกระบี่ส่วนใหญ่เอาไว้ เพียงพุ่งปะทะ ผิวกระจกก็ปลดปล่อยแสงสายฟ้าจ้าแสบตา
เสียงเพล้งดังหนึ่งครั้ง
ร่างของเด็กหนุ่มชุดขาวดิ่งฮวบลงไปด้านล่าง ขณะที่ร่วงลงไปได้ครึ่งจั้งกว่า แขนทั้งแขนก็สั่นสะท้านไม่หยุด จากนั้นจึงถูกปราณกระบี่กดทับจนร่างค่อยๆ งอลง สุดท้ายฝ่ามือก็ค่อยๆ ลดระดับลงจนเท่ากับศีรษะ
ศีรษะของเด็กหนุ่มชุยฉานเริ่มเอียง ต้องเปลี่ยนมาใช้ไหล่แบกกระจกโบราณแทน ขณะเดียวกันมือทั้งสองข้างก็พยายามยันด้านล่างของกระจก ศีรษะเอียงได้ แต่หากกระจกเอียงแล้วปราณกระบี่ราดรดบนร่างเมื่อไหร่ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ใช่แค่เรือนกายไร้ตำหนิที่มีมูลค่าควรเมืองเรือนกายนี้เท่านั้นที่ต้องเผาไหม้ แต่ยังเป็นร่าง “เด็กหนุ่มชุยฉาน” ของตนที่ร่างดับสูญมรรคาสิ้นสลายไปด้วย และบนโลกนี้จะเหลือแค่ชุยฉานราชครูต้าหลีเพียงคนเดียวเท่านั้น
เรือนกายที่เกิดมาก็มีโครงร่างของ “กิ่งทองใบหยก” ชั้นยอด บัดนี้ข้อต่อกระดูกทุกชิ้นล้วนส่งเสียงอื้ออึงเหมือนถั่วเหลืองระเบิดแตก
สีหน้าของเด็กหนุ่มชุยฉานดุดัน ไหล่ถูกด้านล่างของกระจกเสียดสีจนห้อเลือด สีหน้าซีดขาวไร้สีเลือด เรือนกายที่อยู่ก้นบ่อถูกกดลงไปทีละชุ่น ทีละชุ่น แต่เขากลับยังคงกล่าวกลั้วหัวเราะเสียงแหบ “ข้าผู้อาวุโสก็มีวันนี้เหมือนกันหรือ? ซิ่วไฉเฒ่า ฉีจิ้งชุน เจ้าคนสารเลวทั้งสอง พวกเจ้าทำร้ายคนได้ลึกล้ำนัก! คนหนึ่งทำให้ข้าหล่นจากขอบเขตสิบสองสู่ขอบเขตสิบ อีกคนหนึ่งทำให้ข้าหล่นจากขอบเขตสิบสู่ขอบเขตห้า! แน่จริงก็ให้ลูกศิษย์และศิษย์น้องของพวกเจ้าทำให้ข้าชุยฉานกลายเป็นคนธรรมดาไปอย่างสิ้นเชิงเสียเลยสิ! แน่จริงก็มาสิ! ข้าไม่เชื่อหรอกว่าปราณกระบี่ที่เด็กหนุ่มผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสองร่ายใช้จะสามารถทำลายกระจกตราผนึกกองอสนีได้จริงๆ!”
หนึ่งกระบี่ที่เซียนกระบี่พสุธาปล่อยออกมา พลังอำนาจสะท้านฟ้า ผุดจากพื้นดิน ส่องสว่างพร่านภา
เนื่องด้วยการปล่อยกระบี่ครั้งนี้ของเฉินผิงอันเป็นการปล่อยลงไปในบ่อน้ำจึงไม่สะดุดตานัก ทว่าทางน้ำที่เชื่อมโยงกับก้นบ่อกับแม่น้ำใหญ่กลับได้รับหายนะครั้งใหญ่แล้ว แม้แต่จวนมหาวารีที่อยู่ห่างไกลออกไปก็ยังถูกลูกหลง โชคชะตาเริ่มสั่นคลอนไปด้วย
เดิมทีบุรุษชุดดำผู้เป็นเทพวารีแม่น้ำหันสือนึกว่าหายนะที่ได้รับในคืนนี้จะนำพาโชคดีมาให้ในภายหลัง เวลานี้จึงกำลังดื่มเหล้าฉลองอยู่กับบัณฑิตสุยปินพ่อเฒ่าลำคลองและคางคกสกัดนทีเทพลำคลอง ผลกลับกลายเป็นว่าจู่ๆ หายนะนี้ก็หล่นมาจากฟากฟ้า จนอักษรทองสามคำบนป้าย “จวนมหาวารี” เริ่มเกิดรอยแตกร้าวลามไปหลายเส้น ทำเอาบุรุษชุดดำรีบทะยานมาอยู่หน้าประตูใหญ่ ยื่นมือไปประคองสองมุมของกรอบป้าย หลีกเลี่ยงไม่ให้กรอบป้ายอักษรทองต้องแตกพัง จนเป็นเหตุให้โชคชะตาแห่งแม่น้ำบนร่างของตนต้องไหลหายไปทั้งอย่างนี้
ก้นบ่อ เด็กหนุ่มหล่อเหลาผู้มีไฝแดงกลางหว่างคิ้วใช้ไหล่ยันกระจก ใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด “เฉินผิงอัน! หากครั้งนี้เจ้าฆ่าข้าไม่สำเร็จ ต่อให้ข้าชุยฉานต้องทุ่มครึ่งชีวิตที่เหลืออยู่ก็จะต้องขึ้นไปปลิดชีพเจ้ากับมือตัวเองให้ได้! ข้าจะดึงวิญญาณของเจ้าออกมาทีละนิด ให้เจ้าอยู่ไม่สู้ตายนานนับร้อยปี!”
ตอนที่อยู่ในเมืองเล็ก คนแซ่ชุยเคยขโมยกลอนคู่บนกำแพงบ้านของซ่งจี๋ซิน ภายหลังเฉินผิงอันไปที่เรือนด้านหลังของร้านยาตระกูลหยาง เคยพูดถึงคำเรียกขานอย่างซิ่วหู่และอาจารย์อา แต่ผู้เฒ่ากลับไม่ได้พูดอะไร เฉินผิงอันจึงไม่ได้ซักไซ้ แค่คิดไปว่าหยางเหล่าโถวไม่เคยได้ยิน หรือไม่ก็ไม่สนใจอย่างสิ้นเชิง
เพราะก่อนหน้านี้ตอนอยู่ใต้ซุ้มประตูหิน เด็กหนุ่มผู้มีไฝแดงกลางหว่างคิ้วเคยแนะนำชื่อแซ่ของตัวเอง ตอนนั้นเด็กหนุ่มพูดชื่อที่มีสองพยางค์ ตัวเขาเองยังบอกด้วยว่าตัวอักษรที่สองของชื่อตัวเองค่อนข้างจะเข้าใจยากและไม่ค่อยมีคนใช้ ดังนั้นเฉินผิงอันจึงแน่ใจแค่ตัวอักษรเดียวคือคำว่าชุยเท่านั้น
ภายหลังเฉินผิงอันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ แม่นางหนิงเคยพูดถึงโดยบังเอิญว่า ต้าหลีมีคนผู้หนึ่งที่ใช้ฉายาว่าซิ่วหู่ เล่นหมากล้อมเก่งมาก เป็นบุคคลเดียวที่ทำให้นักเล่นหมากล้อมของต้าสุยมองเป็นศัตรูตัวฉกาจได้
เฉินผิงอันเคยถามพวกหลี่เป่าผิงสามคนว่าเคยได้ยินชื่อ “ซิ่วหู่” หรือไม่ เด็กทั้งสามที่เติบโตขึ้นมาในเมืองเล็กเหมือนกับเขาต่างก็ส่ายหน้าบอกว่าไม่รู้จัก ภายหลังเฉินผิงอันยังเคยถามคำถามนี้กับเทพหยิน เห็นได้ชัดว่าเทพหยินรู้คำตอบ แต่กลับบอกว่าตนมีกฎให้ต้องรักษา ไม่อาจพูดได้ หากละเมิดข้อสัญญาเหล่านั้นจะต้องโดนทัณฑ์สายฟ้าทำให้จิตวิญญาณของเขาแหลกสลาย เฉินผิงอันย่อมไม่คิดจะสร้างความลำบากใจให้ผู้อื่นจึงวางคำถามนี้ไว้ก่อนชั่วคราว
เฉินผิงอันสังเกตท่าทีที่เทพหยินมีต่อเด็กหนุ่มแซ่ชุยซึ่งตั้งแต่ต้นจนจบมีเพียงความห่างเหินแต่นิ่งเฉย อย่างน้อยก็ไม่ได้มองเด็กหนุ่มชุดขาวเป็นศัตรู เฉินผิงอันจึงพอจะวางใจได้บ้าง รู้สึกว่าไม่ว่าจะเป็นชุยตงซานก็ดี นักเล่นหมากล้อมซิ่วหู่ก็ช่าง ไม่ว่าเขาจะมีเจตนาอะไรต่อตนเอง สุดท้ายแล้วก็เป็นเพียงแค่ “การเข่นฆ่าระหว่างคนสองคน” เท่านั้น ต่อให้ตน “เล่นหมากล้อม” แพ้ อย่างมากก็แค่เรียกปราณกระบี่ออกมาสู้ให้พินาศวอดวายกันไปทั้งคู่ หากปราณกระบี่หนึ่งเส้นยังไม่พอก็ใช้อีกเส้น และหากใช้ปราณกระบี่หมดสองเส้นแล้วก็ยังสังหารเด็กหนุ่มชุดขาวไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นเฉินผิงอันก็ได้แต่ยอมเชื่อฟังลิขิตสวรรค์
แต่หลังจากที่เฉินผิงอันมองเส้นทางนั้นบนแผนที่ออก ความกระวนกระวายในใจก็ยิ่งทบทวี หวาดกลัวอย่างยิ่งว่าเส้นทางที่เริ่มต้นจากที่ว่าการอำเภอเส้นนี้ แท้จริงแล้วยังมีต้นกำเนิดที่ห่างไกลไปยิ่งกว่านั้น มีแผนการชั่วร้ายที่เฉินผิงอันไม่อาจจินตนาการได้ถึงซุกซ่อนอยู่ ยกตัวอย่างเช่นอาจารย์ฉีที่อยู่ดีๆ ก็จากโลกนี้ไป หลังจากนั้นท่านหม่าของโรงเรียนก็ตายเฉียบพลันระหว่างที่พาพวกหลี่เป่าผิงเดินทางไปยังสำนักศึกษาซานหยา ส่วนเขาเฉินผิงอันกลับกลายเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดของเมืองเล็ก ได้ครอบครองภูเขาถึงห้าลูกในท้ายที่สุด!
คืนนี้ก่อนที่จะเข้าไปในบ่อน้ำ ตอนอยู่ในห้องของเขา เด็กหนุ่มชุดขาวแซ่ชุยเป็นคนพูดถึงตราประทับ “ใต้หล้ารับวสันต์” (เทียนเซี่ยอิ๋งชุน) กับปากตัวเอง และในมือเฉินผิงอันก็มีตราประทับ “สงบใจสมปรารถนา” (จิ้งซินเต๋ออี้) ที่อาจารย์ฉีมอบให้อยู่ชิ้นหนึ่งพอดี (ตราประทับทั้งสองมีคำว่าจิ้งและชุนเหมือนชื่อของฉีจิ้งชุน)
จะต้องเกี่ยวข้องกับอาจารย์ฉี
จะต้องเกี่ยวข้องกับพวกหลี่เป่าผิงสามคนแน่นอน!
ไม่แน่ว่าอาจเป็นสถานการณ์ที่ต้องมีคนตาย
ตอนที่อยู่ในเมืองเล็ก เฉินผิงอันก็เคยได้สัมผัสกับความโหดเหี้ยมไร้ปราณีของผู้ฝึกตนกับตัวเองมาแล้ว
เฉินผิงอันไม่อาจจินตนาการได้ว่าหากหลี่เป่าผิงที่น่ารัก หลี่ไหวเด็กขี้ขลาดและหลินโส่วอีที่ฉลาดเฉลียวตายอยู่ตรงหน้าตัวเอง โดยที่ตัวเองไม่มีเรี่ยวแรงให้ช่วยเหลือ ถึงเวลานั้นในใจของตนจะรู้สึกผิดและเจ็บแค้นมากแค่ไหน?
เวลาที่เฉินผิงอันเล่นหมากล้อม เขาวางหมากทั้งช้าทั้งไม่คล่องแคล่ว ไม่คู่ควรแม้แต่จะเป็นคนถือรองเท้าให้หลินโส่วอีเลยด้วยซ้ำ
แม้ว่าสุดท้ายแล้วเขาจะไม่สามารถจัดระเบียบต้นสายปลายเหตุได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ในเมื่อรู้ถึงผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ไม่อาจปล่อยให้ซิ่วหู่ผู้มีฝีมือในการเล่นหมากล้อมที่ร้ายกาจวางแผนทีละก้าวอีกต่อไป ถึงเวลาที่คนผู้นี้รวบแห เฉินผิงอันกลัวว่าต่อให้เขาจะมีปราณกระบี่สองเส้นก็ยังไม่อาจเปลี่ยนแปลงจุดจบได้
หากอีกฝ่ายวางแผนคาดหวังกับสิ่งของที่เขาเฉินผิงอันได้ครอบครอง หรือมหามรรคาที่เลื่อนลอยจับต้องไม่ได้ของหลินโส่วอี เฉินผิงอันไม่มีทางตัดสินใจลงมือชิงความได้เปรียบอย่างรุนแรงเช่นนี้!
เวลานี้หลังจากที่เฉินผิงอันปล่อยปราณกระบี่ออกไปเส้นหนึ่ง ช่องโพรงอันเป็นที่พักพิงของปราณกระบี่เส้นนั้นก็ว่างเปล่า ไม่เหลืออะไรสักอย่าง ดังนั้นลมปราณที่ฟูมฟักออกมาจากเรือนกายจึงฉวยโอกาสลอดตามช่องว่างกรูกันเข้าไปภายในอย่างบ้าคลั่ง พาให้เลือดลมในช่องโพรงใกล้เคียงสั่นสะเทือนรุนแรงตามไปด้วย จนเป็นเหตุให้เฉินผิงอันรู้สึกราวหับใจถูกบีบเค้น เจ็บปวดจนเด็กหนุ่มเซล้มลงไปนั่งบนปากบ่อ ต้องรีบหอบหายใจ
เนื่องจากถูกกระจกโบราณบานนั้นขัดขวาง แสงปราณกระบี่จึงคงอยู่ในบ่อเป็นนานไม่ยอมสลายไป
เฉินผิงอันจ้องเขม็งไปยังก้นบ่อแล้วรีบปรับลมหายใจ พยายามจะกระตุ้นกำลังของตัวเอง ล้มเหลว ทดลองอีกครั้ง ทำแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมา
ดวงตาสองข้างของเด็กหนุ่มแดงก่ำ หูสองฝั่งได้ยินเพียงเสียงอื้ออึง หัวใจเต้นกระหน่ำรัวแรงราวรัวกลอง เส้นชีพจรทั้งหมดในร่างกายคล้ายแม่น้ำลำธารหลายเส้นที่หลังจากผ่านพายุฝนกระหน่ำก็พากันห้อตะบึงเชี่ยวกราก เด็กหนุ่มที่เหลือเพียงความคิดเดียวลุกขึ้นยืนโงนเงน บอกกับตัวเองในใจว่า “เอาใหม่ ต้องทำซ้ำอีกรอบ ต้องให้ปราณกระบี่เส้นสุดท้ายเตรียมพร้อมรออยู่ในช่องโพรง ไม่อย่างนั้นหากคนผู้นั้นเหลือเรี่ยวแรงให้เอาคืน เขาจะต้องทำร้ายทุกคนแน่! ข้าเคยรับปากอาจารย์ฉีว่าจะไม่ให้เกิดเรื่องกับพวกเขาเด็ดขาด ข้าจะต้องรักษาคำพูด…”
เด็กหนุ่มรองเท้าแตะที่จิตสำนึกพร่าเลือนอาศัยความดึงดันนี้ลุกขึ้นยืนโงนเงนก่อน จากนั้นเท้าข้างหนึ่งก็ก้าวเหยียบขึ้นไปบนปากบ่อ แล้วก้าวอีกข้างตามไปติดๆ
ไม่ว่าร่างท่อนบนของเด็กหนุ่มจะส่ายโอนเอนอย่างไร เท้าสองข้างของเฉินผิงอันก็ปักตรึงอย่างมั่นคงอยู่บนปากบ่อน้ำ
น่าเสียดายที่ไม่มีใครได้เห็นภาพเหตุการณ์นี้
นิ้วมือสองข้างที่สั่นสะท้านของเด็กหนุ่มประกบกันเป็นกระบี่ แล้วชี้ไปยังก้นบ่อ
……
ทางฝั่งตะวันตกของแจกันสมบัติทวีป ริมชายฝั่งแห่งหนึ่งของมหาสมุทรใหญ่มีซิ่วไฉยากจนคนหนึ่งกำลังจะคิดว่าจะไปจากแจกันสมบัติทวีป กลับคืนไปยังทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางที่ห่างไกล หลังจากสัมผัสได้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในมุมหนึ่ง เขาก็กล่าวอย่างจนใจว่า “เจ้าเด็กคนนี่ ยิ่งอายุน้อยก็ยิ่งรนหาที่ตาย สั่งสอนไม่เข้มงวดคือความผิดของอาจารย์ ช่างเถอะๆ อึเองก็ให้เขาเช็ดก้นเองก็แล้วกัน”
“ขอข้าดูหน่อยสิว่าที่ไหน ทิศเหนือแคว้นหวงถิง ยังไม่ถึงต้าสุย เอ๊ะ? อยู่ใกล้กับแม่น้ำเส้นนั้นมากเลย ดีมากๆ ก่อนหน้านี้ไปที่หน้าผาฟ้าผ่าพอดี ประหยัดเวลาไปได้เยอะเลย”
“ความสามารถเยอะ ฝีมือสูงก็ไม่ใช่เรื่องดี เวลาที่ต้องเลือกจะเป็นปัญหามาก ขอให้ข้าคิดดูหน่อย อืม ใช้วิชาย่อพื้นที่เป็นหนึ่งชุ่นของลัทธิเต๋าก็แล้วกัน”
ซิ่วไฉเฒ่าเขย่าสัมภาระที่สะพายอยู่ด้านหลัง ถอนหายใจแล้วยื่นปลายเท้าออกไปกวาดกองทรายไว้เบื้องหน้าตัวเองพลางท่องคาถา จากนั้นจึงใช้เท้าเหยียบกองทรายขนาดเล็กให้ราบ
เวลาเดียวกันนั้นร่างของผู้เฒ่าก็หายวับไป
พริบตาเดียวผู้เฒ่าก็โซเซมาปรากฏตัวอยู่บนหน้าผาใหญ่อันเป็นซากปรักหักพังของแคว้นสู่โบราณซึ่งเขียน “ถ้อยคำกล่าวเตือนเจียวและหลงจากราชาแห่งสวรรค์” เอาไว้ เท้าสองข้างของเขาทยอยกันเหยียบลงบนยอดเขาเบาๆ พอยืนอย่างมั่นคงแล้วก็ทอดสายตามองไปไกล สีหน้าเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ กล่าวอย่างปลงอนิจจัง “ไม่มีเนื้อหนังมังสานี้เป็นภาระน่าจะดีกว่านี้”
หน้าผาทั้งแถบส่ายไหวเสียงดังครืนครั่น น้ำในแม่น้ำสายใหญ่ก็ยิ่งเหมือนผ้าต่วนที่วางปูไว้บนโต๊ะซึ่งถูกคนกระชากแล้วสะบัดแรงๆ หลายที แม่น้ำในบริเวณใกล้เคียงจะต้องมีคลื่นลูกใหญ่สูงเท่าตึกหลายใหญ่โถมตัวขึ้นมาทุกๆ ระยะห่างสิบกว่าจั้ง
ผู้เฒ่าไม่ต้องการให้ชายฝั่งสองด้านต้องถูกทำลายลงเพราะเหตุนี้ จึงรีบยื่นมือออกไปแล้วกดลงเบื้องล่าง
น้ำในแม่น้ำที่เหมือนมีมังกรคะนองน้ำอาละวาดสงบลงในเสี้ยววินาที
เวลานี้ผู้เฒ่าถึงได้ค้นพบว่าตรงตำแหน่งที่อยู่ริมขอบสุดของหน้าผามีชาวขงจื๊อหนึ่งผู้เฒ่าหนึ่งเด็กที่ท่าทางเหมือนนักท่องเที่ยวกำลังเบิกตากว้างมองมายังตน ซิ่วไฉเฒ่าจึงได้แต่ยิ้มอย่างเก้อกระดาก “พระจันทร์ไม่เลว พระจันทร์ไม่เลว ข้าไม่รบกวนการชื่นชมทัศนียภาพของพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้าคิดซะว่าข้าไม่ได้มาก็แล้วกัน”
จากนั้นซิ่วไฉเฒ่าก็มองไปยังทิศไกลแล้วพยักหน้า “ตรงนั้นเอง ยังดีที่ไม่ไกลมาก”
ซิ่วไฉเฒ่าเตรียมจะยกเท้าก้าวออกไป พื้นรองเท้าห่างจากพื้นแค่เสี้ยวเดียว ทว่ากลับหยุดค้างอยู่ตรงนั้น สีหน้าของซิ่วไฉเฒ่าพลันเคร่งเครียด “เอ๊ะ?”
บนเส้นวงกลมห่างออกไปประมาณสิบลี้โดยมีหน้าผาใหญ่ริมแม่น้ำแห่งนี้เป็นจุดศูนย์กลาง ปราณกระบี่เส้นแล้วเส้นเล่าปรากฎขึ้นกลางอากาศว่างเปล่า มากมายนับร้อยนับพัน ก่อนจะรวมตัวกันกลายมาเป็นค่ายกลกระบี่ทรงกลมขนาดใหญ่ยักษ์ที่น่าครั่นคร้าม
ผู้ที่สัมผัสโดนปราณกระบี่ต้องแหลกสลายกลายเป็นจุลแน่นอน
นี่ก็คือความรู้สึกแรกของชุยหมิงหวงแห่งสำนักศึกษากวานหู
บ่อสายฟ้าไม่อาจข้ามผ่าน
นี่คือความคิดที่ผุดขึ้นมาในสมองของผู้เฒ่าที่หวนกลับจากทางช้างเผือกมายังโลกมนุษย์
จากนั้นคนทั้งสองก็มองหน้ากัน ต่างก็ยิ้มขื่นและตะลึงสงสัย
ล้วนบอกกันว่าเทพเซียนตีกันคนธรรมดาเดือดร้อน ทว่าพวกเขาสองคนถือเป็นเทพเซียนบนภูเขาตัวจริงเสียงจริงแล้ว แล้วที่รู้สึกในตอนนี้มันคืออะไรกัน?
ซิ่วไฉเฒ่าถอนหายใจ รู้สึกปวดหัวจี๊ดขึ้นมา พึมพำกับตัวเองว่า “ทำอะไรของเจ้าเนี่ย”
มีเสียงหัวเราะพรืดของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้นมา “ทำไม อนุญาตให้แค่พวกเจ้ามีผู้ช่วยมีที่พึ่งได้เท่านั้น ไม่อนุญาตให้ผิงอันน้อยของข้ามีได้มั่งหรือ?”
—–