หลี่หมิงอวินกำลังทักทายแขกผู้มาร่วมงาน ณ ห้องโถงต้อนรับส่วนหน้า เมื่อเห็นสาวใช้ผู้หนึ่งซึ่งกำลังยืนอยู่บริเวณมุมกำแพงโดยกวักมือเรียกเขาด้วยท่าทีลุกลี้ลุกลน หลี่หมิงอวินจำได้ว่าสาวใช้ผู้นั้นคือหลิงอวิ้นคนที่คอยติดตามเยี่ยซินเอ๋อร์ เขาจึงรู้สึกตงิดใจขึ้นมาเล็กน้อย เยี่ยซินเอ๋อร์เรียกหาเข้าในเวลานี้ด้วยเหตุอันใด
หลี่หมิงอวินครุ่นคิดชั่วครู่ ท้ายที่สุดก็ตัดสินใจเดินเข้าไป
“มีเรื่องอันใด”
หลิงอวิ้นด้วยความหวาดกลัว ท่าทีซึ่งเต็มไปด้วยความกังวลจึงเกิดขึ้นโดยไม่ต้องเสแสร้งแต่อย่างใด “เปี่ยว…เปี่ยวเส้าเหยียเจ้าคะ เปี่ยวเส้าหน่ายนายจู่ๆ ก็ปวดท้อง จนลุกขึ้นยืนมิไหวแล้วเจ้าค่ะ…”
ทันใดนั้นจังหวะหัวใจของหลี่หมิงอวินก็เต้นแรงขึ้น “เปี่ยวซ่าวหน่ายนายอยู่ไหนหรือ”
“อยู่ที่สวนหลังบ้านเจ้าค่ะ เปี่ยวเส้าเหยียรีบไปดูเถอะเจ้าค่ะ เปี่ยวเส้าหน่ายนายสีหน้าซีดเซียวและเหงื่อออกเต็มใบหน้า น่าเป็นห่วงอย่างมากเจ้าค่ะ…”
ด้วยท่าทีซึ่งดูลนลานและเป็นกังวล หลี่หมิงอวินจึงอดคิดมากไม่ได้ “รีบพาข้าไปเร็วเข้า” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนรนใจ
หลี่หมิงอวินเอ่ยถามขึ้นขณะสาวเท้าเดินด้วยความเร็ว “เรียนเชิญหมอมาหรือยัง”
“เปี่ยวซ่าวหน่ายนายมิให้เชิญเจ้าค่ะ เอ่ยว่านางก็เป็นหมอ ทว่านางปวดท้องเสียขนาดนั้นแล้ว…” หลิงอวิ้นตอบภายใต้อาการกระวนกระวาย
หลี่หมิงอวินอดตำหนิไม่ได้ หลินหลันดื้อรั้นเกินไปแล้ว ในเมื่อหมอเจ็บป่วยขึ้นมาก็ต้องให้หมอมาดูอาการสิถึงจะถูก
หลี่หมิงอวินเดินตามหลิงอวิ้นพ้นประตูชั้นรองเข้าไป ระหว่างทางเดินไม่พบเห็นผู้ใดเลยแม้แต่ผู้เดียว น่าประหลาด นางไปอยู่ที่ไหนกันแน่ ทว่าด้วยความที่เขากำลังเป็นห่วงหลินหลัน จึงมองข้ามความสงสัยดังกล่าวที่แวบเข้ามาในสมอง
เมื่อพ้นประตูชั้นรองเดินไปตามระเบียงทางเดินทิศตะวันตกแล้วทะลุผ่านตรอกเส้นหนึ่งเข้าไป เบื้องหน้าก็จะเป็นสวนหลังบ้าน
หลี่หมิงอวินนึกขึ้นมาได้กะทันหัน อาคารซิ่วโหรวของเยี่ยซินเอ๋อร์ก็อยู่ที่บริเวณสวนหลังบ้านเช่นกัน เมื่อตระหนักขึ้นมาได้ สติของเขาก็เริ่มสงบลง
หลินหลันป่วย แล้วเหตุใดถึงมิให้หยินหลิ่วหรืออวี้หลงมารายงาน เพราะพวกนางไม่คุ้นเคยกับสถานที่ในจวนเยี่ยเช่นนั้นหรือ ก่อนแยกกันนางก็ยังอาการดีๆ อยู่เลย แยกห่างกันไม่ทันใดก็ป่วยขึ้นมากะทันหันแล้วหรือ มื้อเช้านางกินข้าวต้มอินทผาลัมคู่กับซาลาเปาไส้ผักฝีมือกุ้ยซ่าว ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเกิดอาการท้องเสีย ส่วนเรื่องรอบเดือนของหลินหลันก็มิใช่ช่วงเวลานี้แต่อย่างใด…ตลอดทางเดินมานี่ก็ยังไม่เห็นผู้อื่นเลยสักคน แม้จะเอ่ยว่ากฎระเบียบของจวนเยี่ยมิได้เข้มงวดปานนั้น แต่อย่างไรเรื่องกฎระเบียบก็ยังพอมีให้เห็นอยู่ หน้าประตูของแต่ละเรือนล้วนมีหญิงชราและสาวใช้คอยปฏิบัติหน้าที่อยู่ตลอด ต่อให้วันนี้จะยุ่งวุ่นวายจนกำลังคนอาจไม่เพียงพอ แต่ก็คงไม่ถึงขั้นไม่มีผู้ใดอยู่แถวนี้เลยสักคน…หรือว่านี่เป็นความตั้งใจที่วางไว้เช่นนั้นหรือ
หลี่หมิงอวินมองไปยังหลิงอวิ้นที่เดินนำทางอยู่เบื้องหน้า นางเดินคอตกอยู่ตลอดเวลา และพอนึกถึงสีหน้าเมื่อครู่ที่ดูประหม่าและเป็นกังวลราวกับ…มีอะไรปิดบังอยู่
“หลิงอวิ้น สรุปแล้วเปี่ยวเส้าหน่ายนายอยู่แห่งหนใดกันแน่” หลี่หมิงอวินชะงักฝีก้าวแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอันแสดงให้เห็นถึงความเฉียบขาด
หลิงอวิ้นสะดุ้งเฮือกด้วยความตระหนกตกใจ
“เจ้าน่าจะรู้ดีนะว่าผลของการพูดปดคืออันใด” หลี่หมิงอวินมองไปยังท่าทั้งสองข้างของนางที่สั่นสะท้าน ภายในใจก็กระจ่างแจ้งขึ้นทันที เกรงว่านี่คงเป็นแผนการของเยี่ยซินเอ๋อร์ ดีที่เขารู้เท่าทัน มิเช่นนั้นคง…
หลินหลันซึ่งอยู่ในห้องรับแขกเพื่อช่วยต้อนรับแขกเรื่อทั้งหลาย โดยส่วนมากล้วนเป็นครอบครัวผู้ประกอบกิจการค้าขาย ตระกูลเยี่ยมายังเมืองหลวงได้เพียงสามปีก็สามารถเชื่อมสัมพันธ์ในแวดวงการค้าได้หนาแน่นมั่นคงถึงเพียงนี้และมีแนวโน้มแข็งแกร่งยิ่งๆ ขึ้นในภายภาคหน้า ใช้เงินเป็นใบเบิกทางนี่มันไร้เทียมทานกว่าสิ่งอื่นใดจริงๆ
หญิงชราผู้หนึ่งเข้ามารายงาน “งานเลี้ยงฉลองตระเตรียมเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ ตระกูลเหยียนส่งสุราซิ่งฮวาชุนมาให้จำนวนยี่สิบไห เหล่าเหยียเอ่ยว่าอีกประเดี๋ยวให้นำสุราซิ่งฮวาชุนขึ้นวางบนโต๊ะงานเลี้ยงเจ้าค่ะ”
นางหวังกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นก็ยึดตามความประสงค์ของเหล่าเหยียแล้วกัน ส่วนทานด้านโต๊ะสตรีเอาเป็นสุราดอกสาลี่ขาวและสุราชิงเหมยแล้วกัน เจ้าไปเตรียมไว้ให้เรียบร้อยที อีกประเดี๋ยวมากันพร้อมเพรียงแล้วก็เริ่มงานเลี้ยงได้เลย”
หญิงชราผู้นั้นขานรับภายใต้รอยยิ้มเบิกบานแล้วเดินออกไป
หลินหลันเรียกหยินหลิ่นเข้ามาหา “เจ้าไปหาตงจึ ให้ตงจึบอกเอ้อร์เส้าเหยียว่าอย่าดื่มสุราจนเพลิดเพลินเกินไป” นางกล่าวสั่งการด้วยเสียงกระซิบ
หยินหลิ่วสะกดรอยยิ้มไว้ภายใต้ริมฝีปากที่เม้มเข้าหากันก่อนจะกล่าวออกไป “เจ้าค่ะ ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้”
นางหรงซึ่งอยู่ด้านข้างรีบกล่าวคัดค้าน “บรรดาหนุ่มๆ ดื่มสุรากันทั้งทีก็ต้องดื่มให้เต็มที่ถึงจะรู้สึกสนุกสนาน วันนี้เป็นวันแห่งความสุขที่หาได้ยากนัก น้องสะใภ้ก็ปล่อยให้เขาทำตามใจเถิด”
หลินหลันฉีกยิ้มแสนหวาน “มิใช่ข้าไม่ได้เขาดื่มนะเจ้าคะ เพียงแต่หมิงอวินเขาคออ่อนจริงๆ ดื่มนิดๆ หน่อยๆ ก็เมาจนตัวเองรู้สึกแย่ไปหลายวัน ผู้ที่ดื่มสุราเป็น การได้ดื่มสุราจึงเป็นเรื่องที่ทำให้รู้สึกสนุกสนาน ทว่าสำหรับผู้ที่ดื่มสุราไม่เป็น การดื่มสุราจึงเป็นเรื่องที่สร้างความทุกข์อย่างยิ่งจริงๆ เจ้าค่ะ”
“นี่…เรื่องความสามารถในการดื่มมันก็ฝึกฝนกันได้อยู่ เปี่ยวเกอของเจ้าเดิมที่ก็ดื่มไม่เก่ง แต่หลังจากมาเมืองหลวงแล้วต้องออกไปพบปะสังสรรค์อยู่บ่อยครั้ง เลยดื่มเก่งขึ้นเรื่อยๆ” นางหรงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “วันหน้าวันหลังได้เป็นถึงขุนนางชั้นสูง จะว่าไปเรื่องพบปะสังสรรค์ก็คงมากขึ้นไปด้วย ถึงอย่างไรตอนนี้ก็อยู่ในบ้านคนกันเอง จะดื่มจนเมามายก็หาได้เป็นเรื่องน่ากังวลไม่”
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้มจางๆ “ที่บ้านยังมีท่านย่าอยู่ด้วยเจ้าค่ะ ซึ่งท่านย่าไม่ชอบผู้ที่ดื่มสุราจนเมามาย ขนาดท่านพ่อสามีดื่มหนักไปหน่อยยังถูกตำหนิเลยเจ้าค่ะ”
นางหรงกล่าวเชิงดูหมิ่น “นายหญิงชราที่บ้านเจ้าท่านนั้นก็ใจแคบเกินไปแล้ว”
หยินหลิ่วได้ยินพวกนางต่อปากต่อคำกัน เลยไม่รู้ว่าควรไปบอกกล่าวหรือไม่ “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าค่ะ เช่นนั้น…ยังต้องไปบอกหรือไม่เจ้าคะ” นางเอ่ยถามด้วยเสียงบางเบา
นางหรงรีบเอ่ยขึ้นทันควัน “มิต้องหรอก มิต้องไปหรอก อย่าทำลายความสนุกของบรรดาหนุ่มๆ เลย”
หลินหลันอึดอัดใจ เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ เหตุใดนางหรงต้องเป็นเดือดเป็นร้อนถึงเพียงนี้ด้วย
“เช่นนั้นก็ปล่อยเขาไปเถิด คิดๆ ดูแล้วเอ้อร์เส้าเหยียก็รู้จักประมาณตนเองอยู่เช่นกัน” หลินหลันเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
นางหรงมีสีหน้าผ่อนคลายลงแล้วกล่าวขึ้นด้วยยิ้ม “นั่นสิๆ อีกทั้งยังมีพี่ชายของพวกเจ้าอยู่ด้วย ผู้ใดกล้าชนแก้วกับหมิงอวิน เขาคงต้องออกรับแทนให้อย่างแน่นอน”
นางหวังซึ่งอยู่อีกมุมเอ่ยเรียกนางหรง นางหรงจึงกล่าวขอตัวแล้วแยกออกไป
หลินหลันกวักมือแสดงสัญญาณให้หยินหลิ่วแนบหูเข้ามาใกล้ๆ “เจ้าไปบอกตงจึให้คอยติดตามเอ้อร์เส้าเหยียทุกฝีก้าว”
หยินหลิ่วตกตะลึง นี่มิใช่ว่าเคยสั่งการไว้นานแล้วหรอกหรือ
หลินหลันเข้าใจดีว่านางคงสงสัย จึงกล่าวเสริม “เพื่อจะได้ระมัดระวังให้มากยิ่งขึ้น เจ้าช่วยไปกำชับอีกที”
เมื่อครู่เห็นท่าทีของเยี่ยซินเอ๋อร์ ซึ่งแสดงออกอย่างชัดเจนว่านางยังคงไม่ยอมตัดใจ จึงจำเป็นต้องป้องกันไว้ก่อน
หยินหลิ่วพยักหน้าแล้วหันหลังให้เดินไปจากห้องรับรองแขก
หลินหลันหันไปมองทางด้านนางหรงตามสัญชาตญาณบางอย่าง จึงเห็นว่านางหรงกำลังจ้องมองไปที่หยินหลิ่วที่กำลังเดินออกไปด้วยสีหน้ากระวนกระวายใจ
หลินหลันรู้สึกตงิดใจอย่างบอกไม่ถูก หรืออาจเป็นเพราะอาศัยในตระกูลหลี่นานเกินไป เลยสัญชาติญาณอ่อนไหวเป็นพิเศษจนมักจะรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่างทว่าพูดไม่ออกบอกไม่ถูกเสียนี่
นัยน์ตาทั้งสองข้างเยี่ยซินเอ๋อร์เต็มไปด้วยความหวัง นางเฝ้ารออย่างใจจดจ่อ ทั้งหมดได้วางแผนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ที่เหลือก็แค่รอให้เหยื่อหลุดเข้ากรง ขอเพียงแค่เรื่องราวดำเนินไปถึงขั้นที่วางไว้ เปี่ยวเกอไม่มีเหตุผลที่จะไม่แต่งงานกับนาง อย่างน้อยๆ ได้เป็นภรรยาในระดับเท่าเทียมกันก็ยังดี ส่วนหลินหลัน ไว้นางค่อยคิดหาวิธีกำจัดออกไปอีกที
“นังสาวใช้โง่เง่าผู้นี้ กับอีแค่เรียกคนมาอะไรจะนานเนปานนี้นะ” เยี่ยซินเอ๋อร์กัดฟันแน่นแล้วกรนด่าออกมา
ในที่สุดหลิงอวิ้นก็มาถึงด้วยสีหน้าหวาดกลัว “เปี่ยวเส้าเหยียเดินมาได้ครึ่งทางแล้วดันเอ่ยขึ้นมาว่าเปี่ยวเส้าหน่ายนายเป็นหมอ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรไปเจ้าค่ะ”
เยี่ยซินเอ๋อร์เดือดดาลหลิงอวิ้น เอื้อมมือออกไปคว้าอะไรบางอย่างแล้วเขวี้ยงไปทางหลิงอวิ้น “ไม่ได้เรื่อง ไปตายเสีย…”
หลิงอวิ้นที่กำลังก้มหน้าจึงไม่ทันได้ระวัง ส่งผลให้ถูกเขวี้ยงใส่เต็มเปา ทันใดนั้นความเจ็บปวดก็แล่นเข้าไปที่บริเวณหน้าผากของตน ตามมาด้วยเสียงเครื่องเคลือบร่วงหล่นแตกกระจาย หลิงอวิ้นเงยหน้าขึ้นด้วยอาการตื่นตกใจและสัมผัสได้ถึงความอุ่นที่ไหลลงมาตามหน้าผากจนเข้าตา ปรากฏเป็นสีแดงสด ทันใดนั้นหลิงอวิ้นรู้สึกได้ถึงอาการมึนงงก่อนจะล้มลงไปกองบนพื้นอย่างช้าๆ
เยี่ยซินเอ๋อร์ด้วยอารมณ์โมโหชั่ววูบจึงไม่อาจควบคุมอารมณ์ได้ เมื่อเห็นหลิงอวิ้นล้มลงไปนอนกองบนพื้นท่ามกลางโลหิตสีแดงสด ความโกรธเมื่อครู่จึงถูกอาการตื่นตระหนกเข้ามาแทนที่ นางเข้าไปประคองหลินอวิ้นที่นอนกองอยู่บนพื้นด้วยความตื่นตกใจพร้อมกับหัวใจดวงน้อยที่ดำดิ่งลงเสมือนจมไปสู่ห้วงเหวลึก…
“หลิงอวิ้น…” ทันทีที่หลิงอินขึ้นไปบนอาคารก็เห็นหลิงอวิ้นนอนจมกองเลือด บนพื้นมีเพียงเศษกล่องซึ่งทำจากกระเบื้องแตกกระจาย หลิงอินตื่นตระหนกจนหน้าซีด พุ่งเข้าไปแย่งหลิงอวิ้นมากอดเอาไว้แล้วตะโกนร้องเรียงสุดเสียง “หลิงอวิ้น…หลิ้งอวิ้น…เจ้าฟื้นสิ…”
เมื่อครู่หลิงอวิ้นมาหานาง พูดด้วยคำพูดแปลกประหลาดบางอย่าง โดยเอ่ยว่าวันหลังหากนางไม่อยู่ในบ้านนี้แล้ว ไม่ต้องคิดถึงนางและทางที่ดีกระทำผิดอะไรเล็กๆ น้อยๆ เพื่อจะได้ออกไปจากที่นี่ ต่อให้ถูกลงโทษไปเป็นสาวใช้ระดับสามข้างก็ยังดี… นางยิ่งคิดยิ่งรู้สึกผิดปกติ วันนี้มีคำสั่งลงมาไม่ให้พวกนางเข้ามายังอาคารซิ่วโหรว นางรู้สึกไม่วางใจอย่างยิ่งจึงแอบวิ่งมาดู หลังจากนั้นก็ได้ยินเพียงเสียง ‘เพล่ง’ ดังขึ้น ตามมาด้วยเสียง ‘โอ้ย’ เมื่อได้ยินดังกล่าวนางจึงรีบแอบขึ้นมาด้วยจิตใจตื่นตระหนก แล้วก็ได้เห็นภาพโศกนาฏกรรมในขณะนี้อยู่เบื้องหน้า
“หลิงอวิ้นทำผิดอะไรหรือเจ้าคะ ท่านถึงต้องลงมือถึงขั้นนี้” หลิงอินกล่าวทั้งน้ำตาด้วยความเศร้าเสียใจและโกรธเคือง นางกับหลิงอวิ้นคอยปรนนิบัติมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย ใบหน้าที่ดูอ่อนโยนเรียบร้อยนั่นเป็นเพียงการแสดงให้ผู้อื่นเห็นเท่านั้น เพราะความเป็นจริงมันแตกต่างออกไปราวฟ้ากับเหว
เยี่ยซินเอ๋อร์กระวนกระวายใจจนสติกระเจิง นางกล่าวด้วยเสียงพึมพำ “นาง…นางทำงานไม่ได้เรื่อง ข้าก็ไม่ได้ตั้งใจจะเขวี้ยงให้โดนนาง เพียงแต่นางไม่ยอมหลบไปเอง…”
“หลิงอวิ้น เจ้าฟื้นขึ้นมาสิ” หลิงอินเขย่าร่างของหลิงอวิ้นพลางร้องเรียก ดวงตาทั้งสองข้างของหลิงอวิ้นยังคงปิดสนิทและไร้การตอบสนองใดๆ
“เจ้าหยุดตะโกนได้แล้ว…” เยี่ยซินเอ๋อร์ร้อนใจ ใช้มือปิดปากหลิงอินแล้วกล่าวด้วยความหวาดกลัว “วันนี้เป็นวันอันใด เจ้าเองก็รู้ดี หากให้นายท่านรู้เรื่องเข้า ผลลัพธ์จะไปตกอยู่ที่เจ้า เพราะฉะนั้นรีบปาดน้ำตาเสียแล้วแอบไปเรียนเชิญหมอมา”
หยินหลิ่วออกไปไม่นานนักก็กลับมาแล้วเอ่ยกระซิบกระซาบข้างใบหูหลินหลัน “เอ้อร์เส้าเหยียเอ่ยว่า เขาพอรู้อยู่แล้วเจ้าค่ะ เมื่อครู่นี้มีคนมารายงายว่าเอ้อร์เส้าหน่ายนายป่วยขึ้นมากะทันหัน ให้เอ้อร์เส้าหน่ายนายดูแลตนเองให้ดีๆ ด้วยเจ้าค่ะ หลังงานเลี้ยงสิ้นเสร็จแล้วจะกลับบ้านกันทันทีเจ้าค่ะ”
หลินหลันตะลึงงันไปชั่วขณะก่อนจะกลับคืนสู่อาการสงบดั่งเดิม ในที่สุดก็มีบางอย่างซึ่งผิดปกติเกิดขึ้นจนได้ หลอกลวงว่านางป่วยเพื่อหลอกล่อหมิงอวินไปไหนหรือ ไม่ต้องเอ่ยก็เห็นได้ชัดว่าที่นางหรงไม่ให้นางส่งหยินหลิ่วไปบอกกล่าว รวมไปถึงที่นางหรงมีสีหน้ากระวนกระวายใจอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเห็นหยินหลิ่วเดินออกไปแล้ว คงเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยสินะ คาดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่านางหรงพี่สะใภ้ผู้นี้จะรับบทบาทได้แยบยลป่านนี้ ถึงขั้นช่วยน้องสาวของสามีตนเองหลอกล่อบุรุษให้ติดกับดัก คิดว่าคนประเภทนี้จะมีเพียงคนในตระกูลหลี่เท่านั้นเสียอีก คาดไม่ถึงว่าตระกูลเยี่ยก็มีคนประเภทนี้ปรากฏตัวขึ้นมาด้วยเช่นกัน เรื่องดังกล่าวนี้นางจะต้องเอาผิดกับการขาดความรู้สึกผิดชอบชั่วดีและความโง่เขลาอย่างที่สุด ต้องมอบบทเรียนอันลึกซึ้งและต้องไม่ปล่อยให้นางทำลายชื่อเสียงของตระกูลเยี่ยเด็ดขาด
“เจ้าช่วยไปอีกรอบ ถามให้ชัดเจนว่าเอ้อร์เส้าเหยียรู้เท่าทันได้อย่างไร” หลินหลันกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เจ้าค่ะ” หยินหลิ่วออกไปอีกครั้ง
หลินหลันชายตามองไปยังนางหรง ขณะนั้นนางหรงเผยรอยยิ้มซึ่งดูไม่เป็นธรรมชาติพร้อมกับนัยน์ตาที่กำลังเปล่งประกายอย่างมีนัยยะ หลินหลันเองก็ส่งรอยยิ้มจางๆ ให้นางขณะจ้องมอง ดูนางหรงที่กำลังกระวนกระวายใจด้วยอยากส่งสาวใช้ไปสอดส่งทางซิ่วโหรวแต่ก็มิกล้าเรียก
ดีที่เวลานี้มีสาวใช้เข้ามารายงานว่างานเลี้ยงตระเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้ว
นางหวังจึงสั่งการให้เริ่มงานเลี้ยงทันที
นางหรงออกไปเรียนเชิญแขกเพื่อให้เข้าสู่ลานจัดงานเลี้ยง ขณะเดียวกันสายตาของหลินหลันจับจ้องไปที่นางไม่วางตา ดูสิว่านางจะแสดงไปได้ถึงไหนเชียว
ชั่วครู่ถัดมาหยินหลิ่วเขามารายงาน “เอ้อร์เส้าเหยียเอ่ยว่า ควรเตือนท่านป้าสะใภ้เสียหน่อยเจ้าค่ะ วันนี้คนเข้าออกจำนวนมาก อย่างไรก็อย่าลืมจัดคนคอยเฝ้าประตูไว้ เพื่อจะป้องกันผู้มีประสงค์ไม่ดีถือโอกาสในช่วงนี้ได้”
หลินหลันพยักหน้าอย่างเข้าใจในความหมายที่ต้องการสื่อ “เอาล่ะ เจ้าก็ไปหาอะไรทานหน่อยเถอะ”
บรรดาสาวใช้ส่วนมากมาคอยปรนนิบัติในงานเลี้ยงด้วยเช่นกัน
นางหรงและบรรดาสหายร่วมโต๊ะพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน เมื่อเหลือบไปเห็นหลินหลันที่อยู่ด้านข้างกำลังนั่งหน้าตาเหม่อลอยจึงกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม “หลินหลัน ทานตามสบาย มิต้องเกรงใจไป เจ้าก็ถือว่าเป็นเจ้าภาพงานนี้ด้วยเช่นกัน”
หลินหลันฝืนยิ้มออกไปแล้วหยิบตะเกียบขึ้นมา ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยขึ้นด้วยเสียงกระซิบ “เมื่อครู่สาวใช้ของข้าผ่านเข้าออกประตูชั้นรองไปมาหลายครา ล้วนไม่เห็นคนคอยเฝ้าอยู่เลยเจ้าค่ะ วันนี้แขกเรื่อมากมายเช่นนี้ หากมีผู้ที่คิดไม่ซื่อขึ้นมาสักคน…”
นางหรงเผยสีหน้าตื่นตระหนกขึ้นทันใด นางกวักมือเรียกสาวใช้ที่อยู่ด้านข้างให้เอี้ยวหูลงมาแล้วกล่าวสั่งการด้วยเสียงกระซิบ “ไปตรวจสอบดูทีสิว่าประตูชั้นรองวันนี้ผู้ใดเป็นคนเฝ้า แล้วรีบมารายงานข้า”
นางหรงซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะอีกตัวเห็นผู้เป็นแม่สามีเผยสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย จึงเผยอาการลุกลี้ลุกลนขึ้นทันใด