ตอนที่136 โคตรจะยุ่ง

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ตอนที่136 โคตรจะยุ่ง

กลุ่มบอดี้การ์ดที่คอยเฝ้าคุ้มกันชูซินซูนั้น ทุกคนล้วนแต่ขับรถRolls-Royce Phantomที่ดัดแปลงมาเป็นพิเศษให้สามารถกันกระสุนและระเบิดได้โดยเฉพาะ หลังจากขึ้นรถไปแล้ว เฉินเจียซินก็หันไปถามชูซินซูว่า

“ประธานชู คุณต้องการถอดฉีเล่ยออกจากรายชื่อเลยไหมค่ะ?”

“ถอดออกจากรายชื่อทำไม?”

ชูซินซูยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับพูดต่อทันที

“เขาเป็นผู้ชายที่ดีมากคนหนึ่ง และที่สำคัญที่สุด เขายังเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวที่ไม่เสแสร้งต่อหน้าฉัน และนั่นยิ่งทำให้ฉันสนใจในตัวเขามากเข้าไปใหญ่”

“ถ้าอย่างนั้น…ประธานชูสั่งการให้หน่วยข่าวกรองเสาะหาข้อมูลจำเพาะของเขามาเพิ่มเลยไหมค่ะ?”

“ไม่จำเป็น”

ชูซินซูส่ายหัว

“ไม่ต้องพึ่งพาคนพวกนั้นแล้ว ฉันจะเป็นคนจัดการเอง”

เฉินเจียซินที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับต้องแอบถอนหายใจกับตัวเอง

ประธานชู…คุณกำลังทำเรื่องผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงเลยล่ะ

คุณควรจะไว้วางใจให้หน่วยข่าวกรองของเราเป็นคนหาข่าวให้ เพื่อจะได้ข้อมูลที่ใกล้เคียงกับความจริงมากที่สุด และมีเพียงข้อมูลที่ผ่านการตรวจสอบจากทั้งสามหน่วยงานซึ่งมากไปด้วยบุคคลอัจฉริยะIQสูงเท่านั้น จึงจะสามารถใช้ข้อมูลเหล่านั้นสร้างประโยชน์สูงสุดให้แก่ตัวคุณได้

แต่ประธานชู…คุณเลือกที่จะละทิ้งอัจฉริยะที่มีประสบการณ์ด้านข่าวกรองมาหลายปีพวกนั้นได้ยังไงกัน?

แค่เลือกที่จะเดินเส้นทางนี้ คุณก็เท่ากับแพ้ไปเกือบครึ่งตั้งแต่เริ่มต้นแล้วล่ะ…

หลินชูวโม่รีบวิ่งออกไปส่งชูซินซู และเมื่อเห็นว่ารถตู้คันดำขับได้เคลื่อนออกไปเป็นขบวนยาว เธอก็หันหลังวิ่งกลับเข้าไปในคลินิกอย่างรวดเร็ว

ทันทีที่ขึ้นมาถึงชั้นสอง ก๊วนสาวๆต่างก็แห่มารุมล้อมแทบจะในทันที

“พี่หลิน! ดูท่าผู้หญิงคนนั้นต้องมีฐานะที่น่ากลัวอย่างแน่นอนเลยสินะ!

“ใช่! ขนาดฉันเองยังไม่เคยเห็นRolls-Royce Phantomกับตาตัวเองเลยในชีวิต แค่คันเดียวก็ซื้อตึกแถวนี้ได้ทั้งหลังแล้ว!”

“แล้วเห็นบอดี้การ์ดพวกนั้นรึเปล่า? แต่ละคนน่ากลัวมากจริงๆ! นี่น่ะเหรอชีวิตของพวกคุณหนูที่เกิดมาบนกองเงินกองทอง เป็นแบบนี้เองน่ะเหรอ?”

หลินชูวโม่คลี่ยิ้มพร้อมกับดุไปว่า

“ดูพวกเธอแต่ละคนตอนนี้สิ อย่างกับเด็กน้อยห้าหกขวบได้ของเล่น เป็นไงล่ะ? ทีนี้ได้เห็นรึยังว่า มหาเศรษฐีตัวจริงเสียงจริงเป็นยังไง?”

หงเจาชี้นิ้วไปทางหลินชูวโม่ทันทีและสวนตอบกลับไปว่า

“แหมม…อีคุณพี่หลินค่ะ พูดแบบนี้ก็ไม่ถูกนะ อย่าเอาแค่พวกเราไปเปรียบเทียบกับเธอสิ ถ้าจำไม่ผิดพี่เองก็แก๊งเดียวกับพวกหนูไม่ใช่เหรอ!”

รอยยิ้มบนใบหน้าของหลินชูวโม่จางอ่อนลงทันใด ดูบิดเบี้ยวผิดรูปไปเล็กน้อย

“ถ้าแกยังล้อฉันอีก เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะโละโซฟาในชั้นนี้ทิ้งให้หมดเลย! อยากนั่งพื้นกันนักใช่ไหม!?”

จู่ๆเสี่ยวอันก็เอ่ยขึ้นด้วยความสงสัยว่า

“เอาน่า เอาน่า อย่าเพิ่งทะเลาะกันเลย ว่าแต่…ทำไมแม่คุณหนูนั่นถึงได้เรียกหาฉีเล่ยล่ะ?”

ได้ยินคำถามแบบนั้นหลินชูวโม่ก็เพิ่งนึกอะไรขึ้นได้เช่นกัน

“เอ๊ะ! แล้วฉีเล่ยล่ะอยู่ที่ไหน?”

เนื่องจากเมื่อครู่เธอกำลังยุ่งอยู่กับการไปส่งชูซินซู จนลืมฉีเล่ยไปเสียสนิท และไม่รู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?

ครืนน!

เสียงกดชักโครกดังขึ้น และทันทีที่ฉีเล่ยเปิดประตูห้องน้ำออกมา เขาก็ถูกหลินชูวโม่ลากตัวขึ้นชั้นสามอย่างรวดเร็ว

เสียงปิดประตูดังปัง หลินชูวโม่จับไหล่ทั้งสองข้างของอีกฝ่ายพร้อมเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าท่าทางตื่นเต้น

“เป็นยังไง? เธอคุยอะไรกับนายบ้าง? ได้ให้บริการตามที่เธอต้องการไหม?”

ฉีเล่ยยังคงนิ่งเฉยไม่ตอบคำถามใดๆอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ตอบกลับเพียงแค่สั้นๆด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

“ก็ไม่มีอะไรมาก”

หลินชูวโม่ทวนคำพูดของเขาด้วยความสงสัย

“ไม่มีอะไรมากมันคืออะไร? หรือว่าเธอคนนั้นสั่งไม่ให้พูด?”

ฉีเล่ยไม่สนใจที่จะตอบคำถามของหญิงสาวเลยแม้แต่น้อย แต่กลับย้อนถามหลินชูวโม่แทน

“เธอมาที่นี่บ่อยไหม?”

หลินชูวโม่ส่ายหน้าไปมา

“นี่เป็นครั้งแรกที่เธอมาที่นี่ และทันทีที่มาถึงเธอก็ขอเปิดสมาชิกระดับSupreme Card ทันที ซึ่งถือเป็นลูกค้าระดับVVIPตัวจริงเสียงจริงเชียวล่ะ ไม่นานหลังเธอสมัครสมาชิกไปแล้ว ดูเหมือนเธอจะสั่งเลขาส่วนตัวให้บอกทางเราโทรเรียกนายมา”

ฉีเล่ยยิ้มบางก่อนจะถามต่อว่า

“แบบนี้คุณคงจะทำกำไรได้ไม่น้อยสินะ?”

เมื่อได้ยินแบบนั้น สีหน้าท่าทางของหลินชูวโมพลันแปรเปลี่ยนไปทันที เธอส่งยิ้มแปลกๆให้กับเขาก่อนจะตอบไปว่า

“แน่นอนอยู่แล้ว!” หลินชูวโม่ตอบกลับทันที เธอจ้องหน้าฉีเล่ยพร้อมกับพูดหว่านล้อมชายหนุ่มว่า

“ฉีเล่ย นายไม่ต้องห่วงนะ รับรองว่าฉันจะให้ส่วนแบ่งนายอย่างยุติธรรมที่สุด ขอเพียงแค่นายช่วยฉันดูแลลูกค้าคนนี้ให้ดีก็พอ แล้วถ้านายต้อง…”

“ถ้านายต้องการเสียสละพลีร่างกาย พี่สาวคนนี้ก็ไม่ว่าหรอกนะจ๊ะ”

“…”

“อ่อ ยังมีอีกอย่าง ผู้หญิงคนนั้นยังชมให้ฉันฟังว่านายเป็นหมอที่มีทักษะทางการแพทย์ดีมาก แล้วก่อนที่เธอจะขึ้นรถไป เธอยังบอกฉันอีกว่า ครั้งหน้าจะมาใช้บริการที่นี่อีกอย่างแน่นอน นี่ๆ บอกหน่อยได้ไหมว่าผู้หญิงคนนั้นป่วยเป็นอะไรกันแน่? เป็นโรคร้ายแรงรึเปล่า? ถ้ามันร้ายแรงจริง เดี๋ยวให้พี่สาวคนนี้ช่วยอีกแรงได้นะ ก็อย่างว่าแหละ คนรวยๆล้วนกลัวตายกันหมดแหละ โดยเฉพาะพวกมหาเศรษฐีแบบเธอคนนั้น พวกเราควรจะใช้ประโยชน์จากความกลัวของคนพวกนี้ทำเงินเข้ากระเป๋านะ นายคิดว่ายังไง?”

ฉีเล่ยครุ่นคิดอยู่สักครู่ก่อนจะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า

“แต่เธอเป็นโรคที่ค่อนข้างหนักมากเลยนะ”

“เหรอๆเธอเป็นโรคอะไร?”

“โรคประสาท”

ทันทีที่ได้ยินหลินชูวโม่คิดว่าฉีเล่ยล้อเล่น จึงตอบติดตลกกลับไปว่า

“ฮ่าฮ่า…นายคงไม่ได้บอกกับเธอไปแบบนั้นใช่ไหม?”

“…”

ฉีเล่ยได้แต่ปั้นหน้าขรึมไม่ตอบ

“ใช่ไหม…?”

“ผมบอกเธอไปแบบนั้น”

สีหน้าของหลินชูวโม่ถึงกับซีดเผือดลงในทันที

“เอาจริงดิ?”

“….”

นัยน์ตาคู่สวยของหลินชูวโม่ที่เป็นประกายอยู่นั้นถึงกับหม่นลงในทันที หญิงสาวทิ้งร่างลงบนโซฟาอย่างไร้เรี่ยวแรง ปากก็พึมพำออกไปว่า

“ตายแล้ว… เธอเป็นถึงลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของฉันในปีนี้เลยนะ…”

“นอกจากจะเป็นโรคประสาทแล้ว ผมก็ไม่ตรวจพบความผิดปกติใดๆภายในร่างกายเธอเลยจริงๆ แล้วจะให้ผมตอบเธอไปว่ายังไงล่ะ?”

หลินชูวโม่ยกมือขึ้นเท้าศีรษะไว้อย่างหมดเรี่ยวหมดแรง เธอเหลือบมองไปที่ฉีเล่ยแวบหนึ่งก่อนเอ่ยถามต่อว่า

“หมายความว่ายังไง?”

ฉีเล่ยจึงได้เล่ากระบวนการวินิจฉัยทั้งหมดให้เธอฟังว่า

“ตอนแรกผมก็ลองสังเกตดูสีหน้าของเธอ ฟังน้ำเสียง สอบถามถึงอาการเจ็บป่วย รวมไปถึงจับชีพจร แต่กลับพบว่าเธอไม่ได้มีปัญหาทางร่ายกายอะไรเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเธอกลับมีสุขภาพที่แข็งแรงมาก แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังบีบบังคับจะให้ผมรักษาเธอด้วยการปรับสมดุลร่างกายให้ได้ ซึ่งคุณเองก็น่าจะรู้ การปรับสมดุลร่างกายของแพทย์แผนจีนจะต้องมีการสัมผัสส่วนลับเพศหญิง ในเมื่อไม่ได้ป่วยอะไร แล้วทำไมต้องให้ปรับสมดุล?”

หลินชูวโม่เลิกคิ้วทั้งสองข้างขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับร้องถามออกไปว่า

“นี่นายไม่สงสัยเลยเหรอว่า เป็นเพราะเธอจงใจจะยั่วยวนนายก็เลยหลอกให้นายทำเรื่องแบบนั้น?”

ฉีเล่ยเบะปากพร้อมตอบกลับไปทันที

“ใครจะไปรู้ว่าตรรกะของพวกคนรวยว่าเขาคิดกันยังไง? ผมค่อนข้างเสียใจนะ ที่ทักษะการแพทย์ของผมจะต้องมาแปดเปื้อนกับตัณหาของคนๆหนึ่งแบบนี้ และผมก็โกรธมากอีกด้วยที่เธอกล้าลบหลู่ความสามารถของผม”

หลินชูวโม่ไม่ได้ปริปากตอบฉีเล่ยไปทันที ตรงกันข้างเธอกลับจับจ้องอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกประหลาดใจยิ่งกว่าอะไร

ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่น เวลาเจอลูกค้าสาวสวยแบบนี้ อย่าว่าแต่จะสัมผัสของลับผู้หญิงเลย แม้แต่เลียให้ยังยินดีด้วยซ้ำ

หลินชูวโม่แอบคิดกับตัวเองว่า บางทีสิ่งที่สามารถดึงดูดความสนใจของฉีเล่ยได้ อาจเป็นสิ่งที่คนธรรมดาไม่มีทางเข้าใจได้ ส่วนบางสิ่งที่ผู้คนโดยส่วนใหญ่สนใจกัน เขากลับทำตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง

หลินชูวโม่อึ้งอยู่สักพัก แต่หลังจากที่ได้สติก็รีบพูดขึ้นว่า

“ครั้งแรกที่ผู้หญิงคนนั้นมาถามหานาย ฉันเองก็ถามเหตุผลไปเหมือนกันนะ แต่อีกฝ่ายให้คำตอบแค่ว่า เพราะเคยได้ยินคำเล่าลือเกี่ยวกับทักษะทางการแพทย์ของนาย ก็เลยอยากจะมาลองดูด้วยตัวเองสักครั้ง นั้นแหละก็เลยเป็นสาเหตุที่ฉันต้องโทรเรียกนายมาด่วน แต่คิดไม่ถึงจริงๆว่า จุดประสงค์ที่แท้จริงของเธอจะเป็นเรื่องอย่างว่า…”

หลินชูวโม่จงใจหยุดชะงักเว้นจังหวะในการพูด ก่อนจะเอ่ยต่อว่า

“ผู้หญิงคนนี้ช่างเจ้าเล่ห์มากจริงๆ ครั้งหน้าถ้านายต้องพบเจอเธออีกครั้งก็ต้องระวังตัวให้ดีล่ะ แต่ถ้ามีอะไรไม่สบายใจก็มาปรึกษาหรือมาระบายกับฉันได้ ถือซะว่าฉันเป็นพี่สาวของนายแท้ๆคนหนึ่งแล้วกัน”

“ไม่ ผมไม่จะมาเจอเธออีกแล้ว”

จะบ้ารึเปล่า?

ไปบ้านเธอแค่ครั้งเดียว ก็โดนปู่ของเธอบังคับให้แต่งงาน ถ้าไม่แต่งกับหลานสาวของเขา ก็ขู่จะขังไว้ในบ้านตลอดชีวิต

คนแบบนี้เจอแค่ครั้งเดียวยังไม่พออีกรึไง?

ต่อให้สุดท้ายเขาจะเห็นด้วยกับข้อตกลงของตาแก่นั่นและยอมรับปากที่จะแต่งงานกับหลานสาวของเขา แล้วยังไงล่ะ? ผิวเผินอาจะดูเป็นเรื่องที่ดีไปหมด แต่เนื้อในก็ไม่ต่างอะไรกับ สามีที่หนีเมียตัวเองไปแต่งงานใหม่เพื่ออนาคตที่ดีกว่า

มันไม่ทุเรศเกินไปหน่อยเหรอ?

เหอะ ส่วนเรื่องที่ว่า เขายังจะมาหาเธออีกหรือไม่นั้น?

จะมาให้โง่เหรอ?

หลินชูวโม่เอ่ยถามต่อด้วยความสงสัย

“แต่นายก็เพิ่งทำเรื่องที่ไม่ควรทำกับผู้มีอำนาจอิทธิพลระดับประเทศไปเองนะ แค่เห็นรถกับกลุ่มบอดี้การ์ดที่ตามผู้หญิงคนนั้นมาก็น่าจะรู้แล้วไม่ใช่เหรอว่า นั่นน่ะมหาเศรษฐีที่แท้จริง! แล้วนายดันไปด่าเธอว่าเป็นโรคประสาทอีก มีเหรอที่อีกฝ่ายจะทนอยู่เฉยๆได้?”

ฉีเล่ยตอบกลับด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

“ผมไม่ได้ด่าเธอนะครับ โรคประสาทถือเป็นอาการป่วยชนิดหนึ่งที่ผู้คนโดยส่วนใหญ่ชอบตีความไปแบบผิดๆ คุณหลิน ผมขอถามคุณกลับบ้าง ถ้าเธอไม่ได้มีเงินถุงเงินถังแบบนี้ แถมยังเป็นโรคประสาทอีก คุณยังจะดูแลเอาอกเอาใจเธอดีขนาดนี้อยู่อีกไหม? เลิกคิดเรื่องเงินไปสักนาทีสองนาทีบ้างก็ได้”

หลินชูวโม่ยกมือป้องปากพลางหัวเราะคิกคัก

“นายนี่มันปากร้ายจริงๆ แต่ฉันเองก็ไม่มีข้อแก้ตัวเหมือนกัน ทำได้แค่พยายามทำใจยอมรับ”

ฉีเล่ยยักไหล่ตอบไปว่า

“ผมแค่พูดไปตามความจริง ดูเหมือนผมจะไม่สามารถทำตัวเป็นแม่เหล็กดูดเงินให้คุณได้จริงๆ เสียใจด้วย”

ดวงตาสีพีชของหลินชูวโม่หม่นสลดลงเล็กน้อย เธอส่ายหน้าไปมาพร้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่คล้ายกำลังทำใจปล่อยวาง แต่สุดท้ายก็ยังไม่ลดละความพยายาม หันไปเกลี้ยกล่อมฉีเล่ยต่อ

“แต่ดูเหมือนเธอจะชื่นชมในฝีมือทางการแพทย์ของนายจริงๆนะ แถมยังบอกอีกว่า ถ้ามีโอกาสเธอจะกลับมาให้นายรักษาต่อ ดูท่านายอาจจะกำลังมาถูกทางแล้ว นายเป็นคนบอกเองไม่ใช่เหรอว่า เธอเป็นโรคทางประสาท อาจจะเป็นซึมเศร้าหรือมีปมภายในใจอะไรแบบนี้ก็ได้นะ”

“….”

ฉีเล่ยถึงกับต้องทรุดลงนั่ง ถ้าคราวหน้าชูซินซูมาหาเขาอีก ก็อย่าหวังว่าจะติดต่อหาตัวเขาพบเลย

ตอนนี้ฉันปกติสุขดีอยู่แล้ว ทำไมต้องหาปัญหาให้กับตัวเองอีก?

อยากเข้ารับการรักษากับฉันอีกงั้นเหรอ? ฉันไม่ได้ว่างขนาดนั้น อีกอย่างฉันก็ทั้งเบื่อแล้วก็รำคาญเธอจะตายอยู่แล้ว!

และที่สำคัญฉันเองก็โคตรจะยุ่งเลย

เพราะฉันมีธุระต้องเล่นหมากล้อมกับอาวุโสหลี่!