ตอนที่ 147 กลหมากปริศนา 13 ภาพ

เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

ตอนที่ 147 กลหมากปริศนา 13 ภาพ

‘เดินเล่น ? ’

เยี่ยนจิ่งหงได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักงัน เผยสีหน้าดุดันออกมาทันที

‘เวลานี้ท่านเย่อยู่ที่ชั้นภาพวาดของหอสายลมจันทรา’

‘แต่เจ้ากลับเสนอภาพวาดหัวข้อเทพธิดาบ้าบออะไรนั่นออกมา’

‘นี่เท่ากับต้องการก่อปัญหาชัด ๆ ’

‘อีกทั้งครานี้ท่านบรรพบุรุษยังมาด้วยอีก’

‘หากท่านเย่เกิดมิพอใจ ถึงเวลานั้นท่านบรรพบุรุษโมโหขึ้นมา คนอื่นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จะต้องพลอยถูกลงโทษไปด้วย’

‘แต่เจ้ายังมีแก่ใจมาเดินเล่นที่นี่อีกเยี่ยงนั้นหรือ ? ’

‘นี่เป็นเรื่องที่องค์ชายรองควรจะทำเยี่ยงนั้นหรือ ? ’

“เพี๊ยะ ! ”

เยี่ยนจิ่งหงยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห ดวงตาที่มองมาเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว ก่อนจะยกมือข้างหนึ่งฟาดลงไปบนหน้าของเยี่ยนจิ่งเฟิงอย่างแรง

“เยี่ยนจิ่งหง เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง เจ้ากล้าลงไม้ลงมือกับข้าหรือ ? ! ”

เยี่ยนจิ่งเฟิงมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ท่าทางเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก

ตัวเขามีฐานะสูงส่งเป็นถึงองค์ชายรองของแคว้นต้าเยี่ยน

เพียงแต่โชคร้ายที่เกิดช้ากว่าองค์รัชทายาทเยี่ยนจิ่งหงผู้นี้เพียงแค่มิกี่ชั่วยามก็เท่านั้น

แต่แม้จะเป็นเช่นนั้นเขาก็ยังคิดว่ามิว่าจะเป็นสติปัญญา หรือพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียร ล้วนมิได้ด้อยไปกว่าเยี่ยนจิ่งหงแต่อย่างใด

เช่นนั้นตั้งแต่เล็กจนโต เขาจึงมิเคยยอมรับรัชทายาทองค์นี้เลย

แต่บัดนี้องค์รัชทายาทกลับกล้าตบหน้าเขาต่อหน้าผู้อื่น

คิดว่าเขาเยี่ยนจิ่งเฟิงจะยอมให้ถูกกระทำง่าย ๆ เยี่ยงนั้นหรือ ?

“เพี๊ยะ ! ”

หลังสิ้นเสียงของเยี่ยนจิ่งเฟิง เยี่ยนจิ่งหงก็พลิกฝ่ามือและฟาดลงบนใบหน้าของเยี่ยนจิ่งเฟิงอย่างแรงอีกหนึ่งครั้ง

“เยี่ยนจิ่งหง เจ้าจะบีบให้ข้าประมือกับเจ้าที่นี่จริง ๆ งั้นหรือ ? ! ”

ดวงตาของเยี่ยนจิ่งเฟิงแดงก่ำ ท่าทางเต็มไปด้วยความดุดัน มือทั้งสองข้างถูกกำจนแน่น

“เพี๊ยะ ! ”

สิ้นเสียงนั้นเยี่ยนจิ่งหงก็ยังคงตบลงมาอีกครั้ง

“องค์รัชทายาท ท่านลงไม้ลงมือกับองค์ชายรองต่อหน้าผู้คนเช่นนี้ เกรงว่าจะมิสมควรเท่าไรนะพะยะค่ะ ? ”

ตอนนั้นเองแม้แต่ที่ปรึกษาของเยี่ยนจิ่งเฟิงก็ยังทนมองต่อไปมิได้ จึงจำต้องเอ่ยเตือนขึ้นมา

“หุบปาก ที่นี่มิใช่ที่ที่เจ้าจะมีสิทธิ์พูดอะไรได้ ! ”

เยี่ยนจิ่งหงแค่นเสียงเย็นออกมา พร้อมกับแผ่ความน่าเกรงขามอันน่าสะพรึงกลัวออกมาด้วยเช่นกัน จากนั้นก็ชี้ไปที่หน้าของเยี่ยนจิ่งเฟิงพร้อมเอ่ยเสียงเข้มว่า “เยี่ยนจิ่งเฟิง ข้าจะบอกเจ้าเอาบุญก็แล้วกัน เวลานี้ท่านบรรพบุรุษอยู่ที่หอสายลมจันทราแห่งนี้ด้วย”

“อีกทั้งยังมีท่านเทพที่น่าจะเป็นท่านเทพฉางชิงแห่งอารามฉางชิงอยู่ด้วย พลังของพวกท่านทั้งสองเป็นเช่นไรนั้น คงมิต้องให้ข้าบรรยายใช่หรือไม่ ? ”

เยี่ยนจิ่งหงทำหน้านิ่ง พร้อมเอ่ยเสียงเย็น “ข้าจะบอกเจ้าอีกอย่างก็แล้วกัน ท่านบรรพบุรุษเป็นคนสั่งให้ข้ามาบอกเจ้าด้วยตัวเอง ! ”

‘ท่านบรรพบุรุษ ? ’

‘ท่านเทพฉางชิง ? ’

‘นี่มัน ! ’

‘นี่มัน ! ’

‘นี่มัน ! ’

‘นี่มันเท่ากับหมิ่นเบื้องสูงชัด ๆ ! ’

เยี่ยนจิ่งเฟิงใบหน้าซีดเผือดจนแทบไร้ซึ่งสีเลือด ก่อนจะแข็งค้างราวกับก้อนหินก็มิปาน

หลังจากที่เขาได้สติ ก็รีบคุกเข่าลงกับพื้นพร้อมกับกอดขาข้างหนึ่งของเยี่ยนจิ่งหงเอาไว้แน่น

“เสด็จพี่ ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้วจริง ๆ ท่านต้องหาวิธีช่วยข้าด้วยนะพะยะค่ะ ! ”

เยี่ยนจิ่งเฟิงน้ำตาไหลรินราวกับสายน้ำ และคร่ำครวญออกมามิหยุด

เยี่ยนจิ่งหงมีท่าทีอ่อนลง หลังจากชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง จึงค่อย ๆ เอ่ยขึ้นว่า “ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ รีบยกเลิกหัวข้อวาดภาพเทพธิดาอะไรนั่นเสีย หรือเปลี่ยนหัวข้อในการวาดเสียและต้องทำเรื่องนี้ให้เงียบเชียบที่สุด”

“อีกอย่างเจ้าควรจะไปขอร้องเสด็จพ่อให้ทรงช่วย เพราะเวลานี้ทำได้เพียงฝากความหวังเอาไว้ที่เสด็จพ่อแล้ว”

เยี่ยนจิ่งหงเอ่ยเพียงเท่านั้นก็ตบที่บ่าของเยี่ยนจิ่งเฟิงเบา ๆ แล้วจึงหมุนกายเดินเข้าไปด้านในหอสายลมจันทราอีกครั้ง

เมื่อเห็นเยี่ยนจิ่งหงจากไปอย่างรีบร้อน ใบหน้าของเยี่ยนจิ่งเฟิงก็เต็มไปด้วยความโศกเศร้าและสิ้นหวัง

‘ครานี้ข้าคงจบเห่จริง ๆ แล้วสินะ’

‘หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ตั้งแต่แรก ก่อนหน้านี้ข้าจะมิทำแบบนี้เลย ! ’

เยี่ยนจิ่งเฟิงคิดถึงตรงนี้ก็หันไปมองบุรุษวัยกลางคนที่อยู่ทางด้านหลัง ก่อนเอ่ยด้วยสีหน้าขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “เป็นเพราะเจ้าที่เสนอความคิดบ้าบอคอแตกนี่ให้ข้า อย่าทำตัวเด่นจะเป็นภัย แสร้งทำเป็นคนโง่งม ตอนนี้เป็นไงจบเห่กันหมดแล้ว ! ”

“องค์… องค์ชาย นี่มัน…”

บุรุษวัยกลางคนท่าทางสุภาพมีสีหน้าซีดเผือดลงทันที เหงื่อเย็นผุดขึ้นตามหน้าผาก

องค์ชายรองผู้นี้หาได้ใจดีอย่างที่แสดงออกมาไม่ ความจริงแล้วกลับเป็นนายที่โหดเหี้ยมเสียยิ่งกว่าอะไร !

“อีกอย่าง เจ้ารีบคิดหาหัวข้อวาดภาพใหม่ที่เหมาะสมเดี๋ยวนี้ มิฉะนั้นคืนนี้ข้าจะจับเจ้าโยนเข้าไปในกรงสัตว์ซะ ! ”

เยี่ยนจิ่งเฟิงเอ่ยขึ้นพร้อมแววตาโกรธแค้น

…………………………..

อีกด้านหนึ่ง

เย่ฉางชิงอุ้มจิ้งจอกน้อยเอาไว้แนบอก ขณะก้าวเดินผ่านทางด้านหลังของผู้คนภายในห้องโถงอย่างมิรีบร้อน

ความจริงแล้วภาพวาดของคนเหล่านี้ช่างมิเข้าตาเขาเลยจริง ๆ ชนิดที่เรียกว่าขัดหูขัดตาก็ว่าได้

เหมือนกับว่าเทพธิดาในสายตาของพวกเขานั้นมีเพียงแค่ กำลังอาบน้ำอยู่ริมแม่น้ำ บ้างก็กำลังดื่มสุราและขับร้อง บ้างก็วิ่งวุ่นอยู่ภายในป่า

ส่วนอารมณ์หรือแนวความคิดลึกซึ้งนั้น ราวกับมิมีสิ่งเหล่านี้อยู่ในหัวของพวกเขาเลย

ในที่สุดเย่ฉางชิงก็เข้าใจว่าเหตุใดผู้อาวุโสเหล่านั้น จึงได้ให้ความเคารพเขาถึงเพียงนั้น

นับตั้งแต่ที่เขาก้าวเข้ามาในหอสายลมจันทรา ได้พบนักเขียนพู่กันหวางม่อ รวมถึงเหล่าผู้ที่ชื่นชอบอักษรพู่กันที่ชั้นหนึ่ง

จนมาชั้นภาพวาดที่กำลังแข่งกันวาดภาพตามหัวข้ออยู่นี้

สิ่งเหล่านี้เพียงพอที่จะอธิบายได้แล้วว่าผู้คนในโลกเซียนแห่งนี้ มิว่าจะเป็นความรู้ในด้านอักษรพู่กันหรือภาพวาดล้วนแต่อ่อนด้อยยิ่งนัก

ส่วนเขาที่ทะลุมาจากอีกโลกหนึ่งนั้น ได้ศึกษาอักษรพู่กันและภาพวาดมาตั้งแต่เด็ก

ทั้งยังผ่านการตั้งใจฝึกฝนมาหลายปี จึงทำให้ความแตกฉานในด้านนี้ของเขา อยู่ในระดับที่คนบนโลกเซียนแห่งนี้มิอาจจะจินตนาการได้

ถึงขนาดเกิดนิมิตขึ้นระหว่างที่เขียนอักษรพู่กันและวาดภาพด้วยซ้ำไป

เย่ฉางชิงคิดถึงตรงนี้ก็อดที่จะยินดีขึ้นมามิได้

เพราะนี่หมายความว่าในภายภาคหน้า หากเขาออกจากตระกูลเยี่ยนแล้ว ก็จะสามารถประสบความสำเร็จอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้ได้ด้วยตัวเอง

และตอนนั้นเองเยี่ยนปิงซินก็ได้เดินมายืนข้าง ๆ เย่ฉางชิง แล้วเอ่ยถามเบาๆ ว่า “ท่านเย่ ภาพวาดของพวกเขาเป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ ? ”

เย่ฉางชิงยิ้มออกมาน้อย ๆ แล้วถามกลับไปว่า “คุณหนูเยี่ยน ที่ชั้นสามของหอสายลมจันทราคืออะไรงั้นหรือ ? ”

“เรียนท่านเย่ เป็นชั้นหมากล้อมเจ้าค่ะ”

เยี่ยนปิงซินนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับอย่างรวดเร็ว “ที่ชั้นหมากล้อมมีภาพกลหมากปริศนาทั้งหมด 13 ภาพ หอสายลมจันทราได้มาจากแดนลับโบราณแห่งหนึ่งเจ้าค่ะ”

“ว่ากันว่าเดิมทีนั้นมีอยู่ 14 ภาพ ทว่าได้มียอดฝีมือด้านหมากล้อมท่านหนึ่งใช้เวลาถึง 10 ปีในที่สุดก็สามารถแก้กลหมากปริศนาได้ 1 ภาพ จากนั้นก็เข้าสู่เต๋าด้วยวิถีหมากล้อม…”

เยี่ยนปิงซินเอ่ยถึงตรงนี้ดวงตาพลันเปล่งประกาย แล้วเอ่ยต่อว่า “ใช่แล้ว เทพหมากคนปัจจุบันที่เข้าสู่เต๋าด้วยวิถีหมากล้อม ก็เคยมีความเกี่ยวข้องกับกลหมากปริศนาเหล่านี้เช่นกันเจ้าค่ะ กล่าวกันว่าเขาเคยยืมกลหมากปริศนาภาพหนึ่งไปจากที่นี่ ใช้เวลาหลายร้อยปีก็มิอาจเข้าใจได้ สุดท้ายจึงได้ส่งกลหมากปริศนากลับคืนมาเจ้าค่ะ”

‘กลหมากปริศนา 13 ภาพ ? ’

‘เทพหมากคนปัจจุบันเข้าสู่เต๋าด้วยวิถีหมากล้อม’

‘ก็หมายความว่าเพียงแค่สามารถแก้กลหมากปริศนา 13 ภาพ ภาพใดภาพหนึ่งในนี้ได้ ก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะสามารถเข้าสู่เต๋าด้วยวิถีหมากล้อม และกลายเป็นผู้แข็งแกร่งได้น่ะสิ’

ทันใดนั้นแม้เย่ฉางชิงจะมิได้แสดงสีหน้าใด ๆ ออกมา แต่ภายในใจกลับสั่นไหวตั้งนานแล้ว

‘ที่แท้ทางสายนี้ก็เป็นไปได้จริง ๆ ด้วย ! ’

‘เช่นนั้นก็หมายความว่าวันนี้ข้าก็มีโอกาสเข้าสู่เต๋าด้วยวิถีหมากล้อม และกลายเป็นผู้แข็งแกร่งในโลกเซียนแห่งนี้ได้น่ะสิ’

‘ตื่นเต้น ! ’

‘น่าตื่นเต้นจริง ๆ ! ’

เย่ฉางชิงดวงตาเป็นประกาย พร้อมเอ่ยอย่างสนใจว่า “คุณหนูเยี่ยน เช่นนั้นพวกเราขึ้นไปที่ชั้นหมากล้อมกันเถอะ”

เยี่ยนปิงซินพยักหน้ารับ พร้อมถามว่า “ท่านเย่ แล้วภาพวาดของพวกเขาเป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ ? ”

สีหน้าของเย่ฉางชิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย เพียงแค่ส่ายหน้าออกมาเบา ๆ ก่อนจะเดินตรงไปทางบันได

เยี่ยนปิงซินชะงักเล็กน้อย ภายในใจก็คิดขึ้นว่า ‘ท่านเย่ดูเหมือนมิค่อยพอใจสักเท่าไรเลย เยี่ยนจิ่งเฟิงช่างเหลวไหลจริง ๆ ’

มินานเยี่ยนปิงซินก็รีบเดินตามเย่ฉางชิงไปทันที

หลังจากเย่ฉางชิงและเยี่ยนปิงซินเดินไปทางบันไดแล้ว

เยี่ยนจิ่งหงก็ปรากฏตัวยังชั้นภาพวาดด้วยท่าทางรีบร้อน

“ท่านบรรพบุรุษ ข้าเจอเยี่ยนจิ่งเฟิงแล้ว…”

ขณะที่เยี่ยนจิ่งหงรายงานอย่างหวั่นเกรงอยู่นั้น

“มิรู้ว่าวันนี้ท่านเย่จะสามารถแก้กลหมากปริศนาได้กี่ภาพกันนะ”

เยี่ยนเทียนซานพึมพำออกมาเล็กน้อย ก่อนจะปรายตามองเยี่ยนจิ่งหงแล้วเอ่ยด้วยเสียงทรงอำนาจว่า “เรื่องนี้ให้เยี่ยนหยางเหนียนมาอธิบายให้ข้าฟังทีหลังด้วย”

สิ้นเสียง เยี่ยนเทียนซานก็เดินไปทางบันไดอย่างมีความสุข

“ห๊ะ ! ”

เยี่ยนจิ่งหงตกตะลึงจนทำอะไรมิถูกขึ้นมาทันที