ชิงหยาได้ส่งฉินมู่ออกจากหมู่บ้านมังกรเล็กๆ ก่อนที่จะใช้ปราณชีวิตของนางห่อหุ้มรังมังกรแท้เพื่อส่งมันออกไปหนึ่งพันลี้ข้างกายเด็กหนุ่มผู้นั้น ขณะที่ทำเช่นนี้ นางก็ถามผู้เฒ่าชิงหวง “บรรพชนเฒ่า ทำไมท่านถึงส่งพี่ฉินออกไปเร็วขนาดนั้น ไม่ใช่ว่าเขาคือทายาทของจักรพรรดิก่อตั้งหรอกหรือ”
ชาวบ้านคนอื่นๆ ก็สงสัยใคร่รู้และเข้ามามุงล้อมเพื่อรอฟังคำตอบ “บรรพชนเฒ่าเคยกล่าวมิใช่หรือว่าครั้งหนึ่งท่านและจักรพรรดิก่อตั้งเคยสาบานร่วมเป็นร่วมตายกัน ดังนั้นจะไล่พี่ฉินออกไปนั้นนับว่าไม่มีเหตุผลเลยจริงๆ”
ผู้เฒ่าชิงหวงถลึงตาจ้องพวกเขา “ข้าไม่มีเหตุผลตรงไหน ก่อนหน้านั้น จักรพรรดิก่อตั้งและข้าได้สาบานว่าจะเป็นตายร่วมกัน แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นข้าที่ต้องคอยรับเคราะห์กรรมส่วนเขาก็เก็บเกี่ยวผลประโชน์จากความบอบช้ำของผู้อื่น! จักรพรรดิก่อตั้งได้พาครอบครัวของเขาไปยังหมู่บ้านไร้กังวล และโยนความวินาศสันตะโรนี้เอาไว้ให้พวกเราขณะที่ตัวเขาเองไปมีชีวิตสบายโดยไม่ต้องกังวลอะไร เขาอยากให้ข้าเก็บกวาดขี้ของเขาอย่างงั้นหรือ ฝันไปเถอะ!”
ชิงหยาและคนอื่นๆ หันไปมองกันและกันอย่างหนักใจ
ผู้เฒ่าชิงหวงยิ่งโมโหมากขึ้นทุกคำที่เขาพูด “ไม่เคยเห็นข้าพูดคำหยาบคายหรืออย่างไร ข้านั้นเป็นยอดฝีมือที่โด่งดังที่สุดด้านคำหยาบคายในสภาสวรรค์จักรพรรดิก่อตั้ง ครั้งหนึ่งข้าถึงกับด่าทอเทพเจ้าวัวตนหนึ่งจนแค้นใจตาย! จักรพรรดิก่อตั้งทิ้งความฉิบหายวายป่วงนี้เอาไว้และสหายเต๋ามากมายก็กำลังรอให้เขากลับมา แต่แล้วอย่างไรต่อ”
เขาหันกลับไปยังแหจับปลาและเดินออกไปจากหมู่บ้านด้วยสุ้มเสียงโกรธขึ้ง “จนบัดนี้เขาก็ยังไม่เสนอหน้าออกมา มีหัวใจของพี่น้องพวกข้ากี่คนแล้วที่กลายเป็นเย็นชืด ฉินมู่ผู้นี้เป็นลูกหลานรุ่นที่หนึ่งร้อยเจ็ด แต่ขนนกหงส์ไฟที่ร่วงลงมา ก็ด้อยค่าเสียยิ่งกว่าแม่ไก่มังกร”
“นามของทายาทรุ่นที่หนึ่งร้อยเจ็ดนั้นเป็นเพียงคำเรียกหา มีทายาทรุ่นที่หนึ่งร้อยเจ็ดของจักรพรรดิคนไหนบ้างที่ยังเป็นองค์ชาย ทายาทที่ห่างไกลจากมังกรแท้ขนาดนี้ ด้อยเสียยิ่งกว่างูเล็กๆ ตัวหนึ่ง! หากว่าจักรพรรดิก่อตั้งหมายจะร้องขอข้าให้ลงจากภูเขา เขาจะต้องออกมาจากหมู่บ้านไร้กังวลเพื่อทำสิ่งนี้ด้วยตนเอง ไม่เช่นนั้น ต่อให้องค์ชายรัชทายาทมา ข้าก็จะไม่สนใจ!”
ทุกคนเดินตามเขาไปและมาถึงบ่อน้ำหนาวแห่งหนึ่ง
ผู้อาวุโสชิงหวงเหวี่ยงแหลงไปในน้ำ แต่เขาไม่ดึงมันขึ้นแม้ว่าจะผ่านไปสักพัก หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็กล่าว “ฉินมู่ผู้นี้มีฝีมือความสามารถอยู่บ้าง แต่มันก็ยังไม่เพียงพอ ห่างไกลจากคำว่าเพียงพอยิ่งนัก…จุดประสงค์ที่เขามาที่นี่ก็เพื่อรับเอาป้ายประกาศิตกลับไปและเรียนรู้วิชามังกรบรรพกาลบรมปริศนา และข้าก็ให้เขาทั้งสองอย่าง สายเลือดของพวกเรามังกรเขียวมิได้ติดค้างเขาแต่อย่างใด พวกเรามิได้ติดค้างตระกูลฉินอีกต่อไป…”
ชิงหยาและคนอื่นๆ ไม่ปริปาก แต่ชายวัยกลางคนกระแอมไอหนึ่งที “บรรพชนเฒ่า หากท่านไม่ดึงแหขึ้น ปลาทั้งหมดก็คงจะหนีไป”
ผู้เฒ่าชิงหวงยังคงพึมพำกับตนเอง “ฉินมู่ผู้นี้คือคนหนุ่มที่ชมชอบก่อเรื่องวุ่นวาย ข้านั้นแม่นยำในการตัดสินนิสัยใจคอของผู้คน และไม่เคยมองใครผิดพลาด อารมณ์ของเขานั้นคล้ายคลึงกับจักรพรรดิก่อตั้งในครั้งกระโน้น พวกเขาทั้งคู่ไม่อาจนั่งนิ่งๆ ได้และชมชอบที่จะก่อเรื่องวุ่นวาย และยุ่มย่ามกับสิ่งต่างๆ ข้ากังวลว่าหากพวกเจ้าติดตามเขาไป พวกเจ้าก็จะตกอยู่ในอันตราย พวกเราได้อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้มาสองหมื่นปี และแม้ว่าชีวิตจะจืดชืด แต่พวกเราก็อาศัยอยู่อย่างสงบสุข…”
“บรรพชนเฒ่า ปลามันหนีออกไปหมดแล้วจริงๆ!” ชิงหยากล่าวอย่างกระวนกระวาย
“แม้ว่าเจ้าหมอนั่น จักรพรรดิก่อตั้งจะน่าชัง และข้าก็ต้องคอยแต่กังวลชีวิตน้อยๆ ของเขาเวลาที่อยู่ใกล้กับเขา ข้าก็คิดถึงช่วงเวลานั้น เมื่อข้าย้อนระลึกไป หัวใจของข้าก็อบอุ่น และดวงตาของข้าก็รื้นชุ่มขึ้นมา…”
ชิงหยากระโดดลงไปในบ่อน้ำหนาวด้วยเสียงตูมและนำเอาปลาสีแดงฉานตัวใหญ่ขึ้นมาหลังจากนั้นเพียงครู่เดียว
ผู้เฒ่าชิงหยายังคงไม่หยุดพึมพำกับตนเอง “ทำไมข้าจะต้องคิดถึงวันเวลาพวกนั้นด้วย หรือว่าข้ากลายเป็นแก่เฒ่าแล้ว…ไม่ ข้าปล่อยให้พวกเจ้าออกไปจากหมู่บ้านไม่ได้ ฉินมู่ผู้นี้มีดวงตาสอดส่ายไปมา และข้ามองปราดแรกก็เห็นว่าในหัวเขาเต็มไปด้วยกลเม็ดร้ายๆ!”
ชาวบ้านแห่งหมู่บ้านมังกรพ่นไฟออกไปเพื่อย่างปลาหลังจากที่ทิ้งผู้เฒ่าชิงหยาไว้ข้างๆ บ่อน้ำ หลังจากที่พวกเขาอยู่ห่างออกมาสักระยะหนึ่ง ชิงหยาก็กล่าว “ข้าคิดว่าพี่ฉินมีเครื่องหน้าอันประณีตและดูค่อนข้างหล่อเหลา ด้วยดวงตากลมโตและใสกระจ่างของเขา เขาดูไม่เหมือนคนชั่วร้ายเลย…”
“อย่าพูดมากไป บรรพชนเฒ่ากำลังก่อศึกระหว่างมนุษย์และสวรรค์ ยิ่งไปกว่านั้น บรรพชนเฒ่าตั้งแต่เกิดขึ้นมาก็ด่าทอผู้คนจนกลายเป็นผีสาง เขาจะมีเรื่องชมคนอื่นงอกเงยออกมาจากปากได้อย่างไร” ชายวัยกลางคนผู้นั้นกล่าวด้วยเสียงต่ำ
“ท่านลุงเอี๋ยน บรรพชนเฒ่าเคยด่าทอเทพเจ้าวัวจนแค้นใจตายจริงๆ น่ะหรือ” พวกคนหนุ่มสาวถามด้วยความสงสัยใคร่รู้
ชายวัยกลางคนชิงเอี๋ยนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพยักหน้า เขากระซิบ “เขาเป็นเทพเที่ยงแท้ตนหนึ่ง ถูกด่าทอมาตลอดสามวันสองคืน คำผรุสวาทของบรรพชนเฒ่าออกจากปากมาไม่ซ้ำกันสักประโยค เทพวัวนั้นปากก็สู้ไม่ได้ ฝีมือก็สู้ไม่ได้ จึงคั่งแค้นใจตายไปแบบนั้น เล่ากันว่าเขากระอักเลือดออกมาเป็นแม่น้ำ ร้องโหยหวนอยู่สามวันก่อนที่จะหมดลมหายใจ…”
ผู้คนทั้งหลายตกตะลึง หันหัวไปมอง ผู้เฒ่าชิงหวงยังคงยืนอยู่ริมบ่อน้ำหนาวจมอยู่ในภวังค์และพึมพำความคิดออกมาข้างนอก “เจ้าเด็กแสบผู้นี้ยังมีสันดานมาร สันดานมารอันลึกล้ำ ขนาดภูติบดียังต้องสยบเขาเอาไว้ ภูติบดีจะสยบก็แต่สิ่งชั่วร้ายอันใหญ่หลวงเท่านั้น ดังนั้นเขาย่อมไม่ใช่ตัวดีอันใด…แต่ทว่าเจ้าเด็กนี่เรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้ไวฉมัง และยังมีความคิดของตนเองเป็นอย่างยิ่ง นับว่าเป็นผู้เปี่ยมความสามารถที่หาได้ยาก แต่ชอบก่อเรื่องวุ่นวายมากเกินไป ไม่ช้าก็คงจะก่อเรื่องจนตัวตาย…”
คนหนุ่มสาวแห่งหมู่บ้านมังกรกินปลาย่าง ชิงหยาถามด้วยความสงสัย “นี่บรรพชนเฒ่ากำลังชื่นชมหรือด่าทอพี่ฉินกันแน่?”
ผู้เฒ่าชิงหวงที่ยังคงอยู่ในศึกระหว่างมนุษย์กับสวรรค์ก็พึมพำ “ข้าไม่อาจให้ผู้เยาว์ทั้งหลายมาปล่อยปละรกร้างอยู่กับเฒ่ากระดูกผุอย่างข้าที่นี่ บางทีปล่อยให้พวกเขาออกไปจากหมู่บ้านก็อาจจะไม่ใช่เรื่องแย่…”
ทุกคนกินปลาจนเสร็จ เหลือก็แต่ก้าง
ผู้เฒ่าชิงหวงหลุดพ้นออกมาจากศึกระหว่างมนุษย์กับสวรรค์ในที่สุด เขาสลัดน้ำออกจากแห เตรียมที่จะลากแหเข้ามา กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ชิงเอี๋ยน พวกเข้ากินปลาย่างกันเถอะวันนี้ หลังจากที่กินเสร็จแล้ว ข้าอนุญาตให้พวกเจ้าออกไปข้างนอก ท่องเที่ยวไปรอบๆ แดนโบราณวินาศ”
ชิงหยาและคนอื่นๆ โห่ร้องยินดี และกระจัดกระจายออกไปทุกทิศทาง
ผู้เฒ่าชิงหวงอ้าปากค้าง จากนั้นก็ส่ายหัว
เจียงเหมี่ยวแปลงร่างเป็นมนุษย์ ด้วยรูปลักษณ์ที่คล้ายคลึงกับฉินอวี้ และฝึกปรือวิชามังกรบรรพกาลบรมปริศนากับฉินมู่ ร่ายรำทักษะเทวะมากมาย ฝึกฝนขัดเกลาตนเองอย่างไม่หยุดยั้ง พากเพียรเป็นอย่างยิ่ง
ฉินมู่เดินไปพลางขับเคลื่อนวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะ วิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะโคจรไปหนึ่งรอบ แปดสุรเสียงมังกรบรรพกาลก็สร้างเสียงมังกรคำรามอย่างไม่หยุดยั้ง ช่วยนวดเฟ้นขัดเกลาตนเองอย่างต่อเนื่อง
พวกเขาเดินทางไปยังสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณด้วยความเร็วที่ไม่ชักช้า
ฉินมู่ได้หลอมปรุงยาเทพชีวาธาตุน้ำให้แก่เจียงเหมี่ยวหลายหม้อ ให้ตอนที่เขาเหนื่อยล้าจากากรฝึกปรือก็ฟื้นฟูพลังแรงกลับมา เจียงเหมี่ยวไม่เลือกกิน ยาชีวาเทพธาตุน้ำรสชาติไม่ค่อยดีนัก แต่มันสอดคล้องกับปราณชีวิตของเขา ดังนั้นเขาจึงกินมันอย่างตั้งอกตั้งใจ กล่าวชมฝีมือปรุงยาของฉินมู่อย่างไม่หยุดปาก
ฉินมู่หวนนึกถึงกิเลนมังกร ลอบทอดถอนใจ แต่ในตอนนั้นเอง เขาก็ชะงักเท้า หันไปมองทางหนึ่ง เจียงเหมี่ยวก้รีบหยุดเคลื่อนที่และกล่าวอย่างฉงนใจ “ทำไมหรือจ้าวลัทธิ”
ฉินมู่เผยสีหน้าครุ่นคิด และกล่าว “เมื่อครู่นี้ข้ารู้สึกราวกับว่ามีบางสิ่งเข้ามาใกล้ แต่เมื่อมองดูให้ดีๆ แล้ว กลับไม่เห็นอะไรสักอย่าง แปลกจริง หรือว่าข้าจะเข้าใจผิด…”
เขาย่างเท้าต่อไป และเมื่อทั้งคู่เดินไปไกล ดอกโบตั๋นยาดอกหนึ่งก็ลอยขึ้นมาราวกับควันสีคราม ก่อนที่จะแปรเปลี่ยนเป็นผานกงสั่ว อันมีขาเป็นกวาง
“ไอ้เด็กนี่สัมผัสถึงข้าได้ วรยุทธของข้ารุดหน้าไปอย่างมากอยู่ชัดๆ แต่จู่ๆ ก็ถูกเขาตรวจจับได้ วรยุทธของไอ้เด็กนี่เพิ่มพูนมาไม่ช้าเลยสักนิด ข้างๆ เขายังมีปีศาจน้อยอีกคนดูเหมือนจะเป็นเผ่ามังกร ไอ้เด็กนี่มันเหยียบขี้หมาให้โชคที่ไหนถึงได้มังกรแท้มาช่วยเสริมส่ง…หรือว่าไอ้เด็กนี่มันลักพาตัวมังกรแท้ไปขาย! มีคนมา!”
ผานกงสั่วเพิ่งคิดถึงตรงนี้ ทันใดหูเขาก็กระดิก ร่างแกว่งไปมา แปรเปลี่ยนเป็นต้นไม้ใหญ่ บนลำต้นงอกเงยดวงตาสองดวง กลอกไปกลอกมา
ฟิ้ววว
มังกรเขียวกลุ่มหนึ่งขี่ลมและเมฆมา ทำให้เขามองไปก็ได้แต่อ้าปากค้าง มังกรเขียวเหล่านี้ตัวที่สั้นที่สุดก็สองร้อยวา พวกเขาเหาะเหินมาด้วยความเร็วสูง เห็นได้ชัดว่ากำลังติดตามร่องรอยของฉินมู่
ฟิ้ววว!
ลมรุนแรงพัดเข้ามา และมังกรเขียวสิบกว่าตัวก็หยุดลงในบริเวณใกล้ๆ กับผานกงสั่ว มังกรตัวที่สั้นที่สุดสลัดร่างของตนเองและแปรเปลี่ยนเป็นเด็กสาวในชุดเขียว นางตรวจตราดูรอบๆ และกล่าว “เขาเพิ่งไปจากที่นี่ ดังนั้นคงยังไปได้ไม่ไกล! ไม่นานพวกเราก็จะตามทันเขา!”
ทันใดนั้นมังกรตัวที่ใหญ่ที่สุดก็เลื้อยพันรอบต้นไม้ที่เป็นผานกงสั่วและจ้องไปที่เขา “ต้นไม้นี้มีอะไรแปลกๆ”
ผานกงสั่วไม่กล้าเสียมารยาทและรีบเผยร่างที่แท้จริงของตน เขาแย้มยิ้มอย่างขอโทษขอโพย “ผู้อาวุโสมังกรทั้งหลาย หรือว่าพวกท่านอาจจะกำลังไล่ตามเด็กหนุ่มที่เรียกว่าฉินมู่ ผู้เยาว์นี้เห็นว่าเจ้าเด็กที่ดูโจรผู้ร้ายคนนี้หลบหนีไปยังทิศนั้น เขายังลักพาตัวเด็กหนุ่มมังกรน้อยไปด้วยคนหนึ่ง”
“เจ้าเห็นเขา?” ชิงหยาประหลาดใจแกมยินดี นางรีบถามต่อ “เขาไปที่ไหนแล้ว”
“ผู้เยาว์สามารถนำทางให้แก่ผู้อาวุโสทั้งหลายได้ เจ้าหมอนั่นจะไม่มีทางหนีรอดอย่างแน่นอน!” ผานกงสั่วกล่าวอย่างผ่าเผย
ทุกคนลิงโลดและยิ้มให้แก่เขา “หากว่าเจ้าสามารถนำพวกเราไปหาเขาได้ ก็จะช่วยลดความลำบากในการสะกดรอยเขา”
ผานกงสั่วรับคำอย่างสุภาพ และกระโดดหย็องแหย็งไปข้างหน้าเพื่อนำทาง เขากล่าว “ไอ้เด็กนี่มันลื่นเหมือนปลาไหลและวิ่งเร็วเหลือเกิน แต่ทว่า เขาไม่มีทางหลบหนีไปจากข้าได้ ทุกท่านโปรดตามข้ามา!”
มังกรเขียวมากมายแปลงร่างเป็นชายหนุ่มและหญิงสาวพร้อมทั้งชายวัยกลางคนชิงเอี๋ยน พวกเขาติดตามผานกงสั่วที่กำลังสะกดรอยฉินมู่
…
ความเร็วของฉินมู่และเจียงเหมี่ยวค่อนข้างไว และไม่นานพวกเขาก็สามารถเห็นกลุ่มแสงพวยพุ่งขึ้นมาจากสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณ ทั้งสองคนเร่งความเร็วขึ้นและไปถึงเมืองนั้น ฉินมู่รวบรวมสมุนไพรจำนวนหนึ่งและกล่าว “เมื่อพวกเรากลับไปที่สวรรค์ไท่หวง เจ้าก็จะต้องติดตามฉินอวี้ไป ในเมื่อข้าสัญญากับเขาว่าจะยืมตัวเจ้าเพียงไม่กี่วันเท่านั้น”
เจียงเหมี่ยวมองไปที่เขาด้วยสีหน้ายุ่งยาก “ในอดีต สติปัญญาของข้ายังไม่ถูกปลุกขึ้นมา ดังนั้นข้าจึงติดตามเขา แต่ตอนนี้ข้าจะทำเหมือนเดิมไปรัดพันรอบตัวเขาอีกได้อย่างไร จ้าวลัทธิ ท่านไปคุยกับเขาให้หน่อยไม่ได้หรือ ข้ายังติดค้างบุญคุณของเขาอยู่ ดังนั้นให้ข้าไปพูดเองคงไม่ง่าย”
ฉินมู่ขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้ายืมมังกรน้อยไปจากเขาและบัดนี้ข้าคืนบุรุษคนหนึ่งให้แก่เขา ข้าเองก็น้ำท่วมปากกับเรื่องนี้ เจ้าบอกเขาเองเถอะ”
เจียงเหมี่ยวขมวดคิ้ว
พวกเขามาถึงสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณ แต่เจียงเหมี่ยวอิดออด เดินเตร่ไปเตร่มาไม่ยอมเข้าไปสักที ฉินมู่ยิ้มให้แก่เขา “เมื่อพวกเราไปถึงสวรรค์ไท่หวง ข้าจะถามให้พวกเจ้าทั้งสองเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน แบบนี้เป็นอย่างไร”
เจียงเหมี่ยวค่อยสบายใจขึ้นมา และเขาแย้มยิ้มกลับไปยังฉินมู่ “ถ้าเช่นนั้น ก็คงต้องรบกวนท่านแล้ว จ้าวลัทธิ”
ทั้งสองคนกำลังจะเข้าไปในสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณ ทันใดนั้นผานกงสั่วก็กระโดดหย็องแหย็งเข้ามาอย่างผลุนผลัน เขาหัวเราะด้วยเสียงอันดัง “จ้าวลัทธิ โลกมันกลมอะไรอย่างนี้ หลังจากที่จากกันมาเจ้าคงสบายดีสินะ?”
ฉินมู่ตาเป็นประกาย และเขาก็ยิ้มเช่นกัน “ที่แท้ก็เป็นผู้สูงศักดิ์ เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่าตอนที่เจ้ายืนอยู่ข้างหลังข้าและพยายามทำอันตรายข้า ข้าบอกเจ้าว่าอย่างไรในตอนนั้น ครั้งหน้าที่ข้าพบเจ้า ข้าจะเด็ดหัวเจ้า ข้าให้เจ้าเลือกว่าจะตายแบบไหน”
“เจ้าจบเห่แล้ว แต่ก็ยังโม้ว่าจะเด็ดหัวข้าอีกหรือ” ผานกงสั่วยิ้มหยันแก่เขา “ดูสิว่าใครอยู่ข้างหลังข้า”
ชิงเอี๋ยน ชิงหยา และยอดยุทธทั้งหลายแห่งหมู่บ้านมังกรเดินออกมา ชิงหยาโบกมือแก่ฉินมู่ด้วยความตื่นเต้น และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่ฉิน บรรพชนเฒ่าอนุญาตให้พวกเราออกจากหมู่บ้าน!”
ฉินมู่ทั้งประหลาดใจแกมยินดี เขารีบกล่าว “ผู้เฒ่าชิงหวงอนุญาตให้พวกเจ้าออกจากหมู่บ้านเพื่อแสวงประสบการณ์หรือ จะว่าไปแล้ว ลัทธินักบุญสวรรค์ของข้าก็กำลังต้องการกำลังคน…”
ผานกงสั่วอึ้งจนอ้าปากค้าง จากนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นสะพรึงกลัว เขาอดไม่ได้ที่จะอุทานในใจ เจ้าหมอนี่ไม่ได้ลักพาตัวมังกรเยาว์แค่ตัวเดียว แต่จับมาเป็นฝูง! นี่บัดซบแล้ว บัดซบจริงๆ…ไม่มีเวลาจะเสียแล้ว ข้าต้องรีบหนี!
ขณะที่เขากำลังจะเผ่น ชายวัยกลางคนก็ปรากฏข้างหลังเขา
มือใหญ่ของชิงเอี๋ยนกดลงไปบนบ่าของเขา ขณะที่ก้มลงมายิ้มให้ “พี่ฉิน สหายเต๋าน้อยผู้นี้น่าจะเป็นเพื่อนของเจ้า ใช่หรือไม่ ต้องขอบคุณเขาที่พวกเราสามารถหาตัวเจ้าได้เร็วขนาดนี้”
ฉินมู่มองไปที่เขาด้วยรอยยิ้มที่ไม่เชิงยิ้ม “ข้าต้องขอบคุณผู้สูงศักดิ์จริงๆ นั่นแหละ! พี่เอี๋ยน จับตัวเขาไว้ เจ้าหมอนี่มันหนีเก่งอย่างกับเทพยดา!”
……………….