บทที่ 112: ค่ำคืนที่น่าหวาดหวั่น (1)

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

***หมายเหตุ บทนี้มีการใช้ถ้อยคำและการกระทำที่รุนแรง โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน***

บทที่ 112: ค่ำคืนที่น่าหวาดหวั่น (1)

“แน่ใจนะ?”

“ฉันแน่ใจ!” ชายหนุ่มยกมือขึ้นทุบหน้าอกตัวเอง ยิ่งเขาคิดเรื่องนี้มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกหวาดกลัวมากขึ้นเรื่อย ๆ เสียงฟาดของเข็มขัดหนัง เสียงมีดแทงเข้าไปในเนื้อมนุษย์ และเลือดที่สาดกระเซ็นไปทั่วทุกที่ในเวลากลางคืน จากนั้นยังมีการหายตัวไปอย่างกะทันหันของหลี่เฉิง แล้วยังเรื่องของแมวดำที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนอีก…เขาตัดสินใจเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่าพรุ่งนี้ตนจะไปลาออกจากงานร้านกาแฟซะ ไม่มีทางที่เขาจะใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นได้อีกต่อไปแล้ว!

เขาไม่อยากคุยกับฉินเย่อีกต่อไป ชายหนุ่มจึงกลับหลังหันและเตรียมจะเดินจากไป แต่น่าเสียดายที่คอเสื้อของเขาถูกดึงเอาไว้เสียก่อน

“พี่ชาย….นี่มันก็ใกล้จะหนึ่งทุ่มแล้ว อันตรายมากนะหากคุณเดินเตร็ดเตร่ตามถนนตัวคนเดียวในเวลากลางคืนแบบนี้…ลองดูใบหน้าอันหล่อเหลาของผมสิ คุณแน่ใจหรือว่าตัวเองไม่ได้ตั้งใจถ่วงเวลา จนทำให้ผมต้องเข้าไปที่นั่นในตอนกลางคืนคนเดียวน่ะ?” ชายหนุ่มผมบลอนด์มองฉินเย่ด้วยสีหน้าดูถูก หลังจากที่พูดเรื่องน่ากลัวพวกนั้นไป ไม่มีทางที่เขาจะไปเดินบนถนนเส้นนั้นแน่นอน

ในอีกด้านหนึ่ง ฉินเย่เองก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจเช่นกัน

“…นี้นายหยุดหลงตัวเองก่อน อีกอย่างคำพูดพวกนี้มันอาจจะดูน่าเชื่อถือมากกว่านี้ หากฉันเป็นคนพูดมันออกมาเอง แต่นายไม่รู้ตัวเหรอว่าตัวเองก็เป็นแค่ ‘เด็กข้างบ้าน’ คนหนึ่งเท่านั้นน่ะ? เราสองคนมันคนละระดับกัน เข้าใจไหม?!”

ชายหนุ่มมองหน้าฉินเย่ จากนั้นก็ก้มเปิดหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองเงียบ ๆ

“หาอะไร?”

“…ไม่มีอะไรหรอก ฉันก็แค่ดูว่าข้อหาทำร้ายร่างกายต้องถูกจำคุกเป็นเวลากี่ปีน่ะ”

“…เอาล่ะ วางโทรศัพท์ลงก่อน ไม่เห็นต้องทำอะไรเกินเหตุแบบนั้นเลย…ฉันแค่จะถามว่าเหตุการณ์ที่ว่านี่โด่งดังมากเลยเหรอ?”

ชายหนุ่มเก็บโทรศัพท์ของตัวเอง และกระชากคอเสื้อออกจากมือของอีกฝ่าย “เรื่องนี้ค่อนข้างโด่งดังอยู่เหมือนกัน เมื่อไม่นานมานี้ หลี่เจียนคังเดินทางไปที่ถนนของผู้ล่วงลับแทบจะทุกวัน เขานมัสการพระสงฆ์ นักพรตเต๋ามากมายมาทำพิธีและปัดเป่าบ้านของเขา แต่…ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นทั้งยังมีคนสี่คนหายตัวไปพร้อมกันในคืนเดียวอย่างลึกลับ ผู้คนในถนนของผู้ล่วงลับพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า บ้านนั้นเป็นบ้านที่มีผีร้ายสิงอยู่ แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาพยายามที่จะจัดการกับปัญหานี้ด้วย คงเพราะกังวลว่าจะมีผลต่อชื่อเสียงของตัวเอง”

อย่างนี้นี่เอง…ทุกอย่างเริ่มสมเหตุสมผลแล้ว

ในที่สุดเขาก็ปล่อยให้ชายหนุ่มก็เดินจากไป อาร์ทิสพึมพำเสียงเบาว่า “วิญญาณมรดกสายเลือด”

“นี่คือตัวอย่างที่น่าทึ่งอย่างมาก…เจ้าหนู จงจำบทเรียนครั้งนี้ให้ดี เมื่อทางสำนักเปิดสอนอย่างเป็นทางการ เจ้าจะต้องเปิดชั้นเรียนได้อย่างน่าตกตะลึงแน่ ๆ”

“มันคืออะไร?” ฉินเย่ขมวดคิ้วยุ่ง

“แล้วเจ้าจะรู้เอง….” อาร์ทิสยิ้มเจ้าเล่ห์ “ข้าขอเตือนเจ้าล่วงหน้าเลยนะ แม้ว่าวิญญาณอาฆาตตนนี้จะอยู่แค่ขั้นยมเทพ ทว่าแม้แต่ผู้ที่อยู่ขั้นนักล่าวิญญาณก็ไม่สามารถรับมือกับพวกมันได้โดยง่าย ถ้าเช่นนั้น…เจ้าอาจจะไม่สามารถปิดภารกิจนี้ได้โดยง่ายหรอกนะ…”

หลังจากออกมาจากถนนเทียนซีที่ 4 ฉินเย่เดินหาร้านอินเทอร์เน็ตอยู่ตลอดทั้งวันจนกระทั่งถึงเวลาห้าทุ่มตรง เด็กหนุ่มจึงออกจากร้านและมุ่งหน้าไปยังย่านที่บ้านของหลี่เจียนคัง

ถนนเทียนซีที่ 4 นั้นเปรียบเสมือนกับนรกบนดินเลยก็ว่าได้ เมื่อค่ำคืนมาเยือน ทั่วทั้งท้องถนนถูกปกคลุมไปด้วยบรรยากาศที่น่าขนลุก

สิ่งที่เห็นได้ชัดก็คือเสาโทรศัพท์ที่เห็นในตอนกลางวัน เวลานี้ มันดูคล้ายกับเสาขนาดใหญ่ที่ผูกไว้ด้วยธงอัญเชิญวิญญาณ พื้นที่โดยรอบก็มืดสนิทจนไม่สามารถบอกได้ว่าจะมีร่างของมนุษย์แขวนคอลงมาและกำลังจ้องมองไปยังผู้ที่ผ่านไปมาหรือไม่

ไฟถนนสีเหลืองสลัว ๆ ถูกตั้งอยู่ห่างออกไปประมาณหลายสิบเมตร มีหลอดไฟจำนวนไม่น้อยที่แตกและไม่สามารถส่องแสงสว่างได้ หรือบางดวงก็กะพริบถี่ ๆ คล้ายกับจะดับทั้งยังเสียงอู้อี้ที่ฟังดูน่าขนลุก ราวกับว่าจะมีอะไรบางอย่างกำลังพุ่งออกมาจากความมืดมิดไม่มีผิด

ถังขยะมากมายล้มระเนระนาดอยู่รอบ ๆ เสียงวิ่งไล่ของแมว สุนัขจรจัด และเสียงวิ่งหนีด้วยความตกใจของหนูสกปรก ไม่ได้ช่วยให้จิตใจสงบลงเลยสักนิด มีแต่จะเพิ่มความรู้สึกอึดอัดใจให้กับผู้ที่เดินผ่าน เหมือนเป็นสัญญาณแจ้งเตือนก่อนที่ความสยองของจริงจะมาเยือน

“มีแต่คนบ้าเท่านั้นที่ยังยืนยันจะอาศัยอยู่ที่นี่ได้…” ฉินเย่เอ่ยออกมาขณะที่มองไปรอบ ๆ และพบว่ามีบ้านเพียงไม่กี่หลังเท่านั้นที่เปิดไฟอยู่

“เฮอะ…หากดูจากสถานะทางการเงินของเจ้า เจ้าเองก็อาศัยอยู่ในสถานที่แบบนี้เหมือนกันมิใช่รึ? เจ้ามีสิทธิ์อะไรไปพูดถึงผู้อื่นเช่นนั้นกัน? เจ้าคิดหรือว่าทุกคนมีกินมีใช้กันทุกบ้านน่ะ? แม้แต่เมืองที่ใหญ่ที่สุดเองก็มีสลัมปะปนอยู่ด้วยเช่นกัน” อาร์ทิสเอ่ยออกมาอย่างเหยียดหยาม

“…นี่ท่านดูถูกร้านชีวิตหลังความตายของข้ามากเลยนะ หรือท่านจะบอกว่าธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับชีวิตหลังความตายไม่นับว่าเป็นการค้าอย่างหนึ่ง? ข้ายอมรับว่าตำแหน่งที่ตั้งร้านของข้าจะอยู่ในละแวกที่ค่อนข้างมืดมนไปเสียหน่อย แต่ไม่ได้ดูย่ำแย่เท่าถนนเส้นนี้อย่างแน่นอน!”

“เหอะ ๆ…ข้าละเกลียดความมั่นอกมั่นใจของเจ้าจริง ๆ เจ้ายังมีอารมณ์มาพูดเรื่องพวกนี้ทั้ง ๆ ที่อยู่ภายในอาณาเขตของวิญญาณชนิดพิเศษได้อย่างไร? ลืมไปแล้วหรือว่าความรู้สึกตอนที่ตนต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบให้กับหลินฮั่นนั้นเป็นเช่นไร?”

“ตลกน่า!” ฉินเย่แสยะยิ้มอย่างดูถูก “ตอนนั้นพวกข้าเพียงแลกเปลี่ยนคำชี้แนะกันเท่านั้น และข้าก็ยังไม่ได้ลงมือเต็มที่ด้วยซ้ำ เข้าใจไหม? ทำความเข้าใจใหม่เสียด้วยนะ…ท่านเอางานยมทูตไปเปรียบเทียบกับ การแข่งขันของพวกมนุษย์ได้ยังไง?”

“ข้าไม่สนว่าอีกฝ่ายจะเป็นวิญญาณที่แข็งแกร่งมากเพียงใด หากมันกล้ามาท้าทายข้า ข้าจะแสดงให้มันเห็นเองว่าผู้ใดกันแน่ที่เป็นใหญ่ที่สุด! ข้าคือราชันย์แห่งภูตผีทั้งปวง! ข้าคือหลานชายของนูราริเฮียง! [1]”

ความมั่นใจของเขาพุ่งสูงเต็มปรอท…

อาร์ทิสเดาะลิ้นและส่ายศีรษะ ขณะมองฉินเย่เดินเข้าไปใกล้ร้านกาแฟหมายเลข 4 มากขึ้นเรื่อย ๆ หลี่เจียนคังยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ฉินเย่เดินเข้าไปรับกุญแจมาจากอีกฝ่ายก่อนจะมุ่งหน้าตรงไปที่บ้านผีสิง

บ้านของหลี่เจียนคังตั้งอยู่นอกมหาวิทยาลัยอันฮุ่ย และจากตรงนี้ มันสามารถมองเห็นประตูทางตอนเหนือของมหาวิทยาลัยที่ถูกล็อก ตลอดจนอาคารบางส่วนของวิทยาเขตได้อย่างชัดเจน รวมถึงหอพักของเหล่านักศึกษาที่ยังคงเปิดไฟอยู่ประปราย บ้านสองชั้นตรงหน้าดูผ่านกาลเวลามาหลายปี มันตั้งอยู่ในจุดที่ไฟถนนไม่อาจส่องถึง ราวกับถูกขับไล่ให้ไปตั้งอยู่ในมุมร้างไม่มีผิด

ฉินเย่เปิดประตูและเปิดไฟ ทว่าในบ้านกลับไม่สามารถใช้ไฟได้

“เขาจะต้องค้างค่าไฟแน่ ๆ” ฉินเย่ยักไหล่ หลี่เจียนคังเคยบอกว่ามันผ่านมานานมากแล้วที่เขากลับมาที่บ้านหลังนี้ครั้งล่าสุด ดูเหมือนว่ามันจะเป็นเช่นนั้นจริง ๆ

แต่ความมืดไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อเขาเลยสักนิด

ฮัสกี้เพียงตัวเดียวที่ซ่อนตัวอยู่ในฝูงหมาป่าตัวนี้มีความสามารถในการมองเห็นในที่มืด มันคงน่าผิดหวังมาก หากยมบาลคนหนึ่งไม่สามารถทำเรื่องแค่นี้ได้

เขากวาดสายตาไปรอบ ๆ

มันเป็นห้องที่ค่อนข้างกว้างที่มีขนาดประมาณ 100 ตารางเมตร บันไดที่นำไปสู่ชั้นสองถูกซ่อนไว้ที่มุมหนึ่งของบ้าน และชั้นสองของบ้าน…ก็น่าจะเป็นจุดที่เกิดเหตุมาตุฆาตขึ้น

เฟอร์นิเจอร์โดยรอบดูเก่าและล้าสมัย กระทั่งพื้นของบ้านหลังนี้ก็ไม่ได้ถูกปูด้วยกระเบื้องแต่อย่างใด ภาพวาดของพระพุทธเจ้าถูกแขวนไว้ข้างผนัง โซฟาถูกคลุมไว้ด้วยผ้าสีฟ้า ในขณะที่โต๊ะเต็มไปด้วยฝุ่นหนา แต่ก็ไม่มีร่องรอยว่ามีโศกนาฏกรรมอันน่าสะพรึงกลัวนั่นปรากฏให้เห็นเลยสักนิด

“ถ้าเช่นนั้น…เราก็อย่ามัวเสียเวลากันเลยดีไหม?” ฉินเย่เลียริมฝีปากของตนอย่างตื่นเต้น ดวงตาของเขาเริ่มเปลี่ยนสีไปในพลัน

รูม่านตาสีขาวเล็ก ๆ พลันปรากฏขึ้นที่กลางนัยน์ตาสีดำสนิท นี่ก็คือดวงตาของนักล่าวิญญาณ!

ตราบใดที่วิญญาณพวกนั้นมีพลังเทียบเท่าหรือต่ำกว่าขั้นนักล่าวิญญาณ พวกมันจะไม่สามารถรอดพ้นไปจากสายตาคู่นี้ได้

ไม่นานมานี้ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ค่อยจะราบรื่นนักสำหรับเขา เนื่องจากการกระทำของเจ้าโง่หลินฮั่นที่สร้างความรำคาญให้เขา และโจวเซียนหลงเองก็จับตาดูเขาทุกฝีก้าว ทั้งอีกฝ่ายยังเหมือนจะรู้สึกดีใจทุกครั้งที่เห็นเขาตกที่นั่งลำบาก

หรือแม้แต่รากฐานของยมโลกก็ยังไม่เสถียร…มันถึงเวลาแล้วที่วิญญาณทุกดวงจะได้รับรู้กันเสียทีว่าผู้ใดกันแน่ที่เป็นเจ้าเหนือหัวที่แท้จริงของพวกมัน!

บาปกรรมที่ไม่ได้รับการสะสาง มันผู้นั้นจะต้องลงไปรับกรรมในนรกตามสิ่งที่ตนกระทำไว้อย่างสาสม!

อย่างไรก็ตาม….

ในตอนนี้ทั่วทั้งบ้านถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบ…

เป็นเวลากว่าสามนาทีเต็ม ฉินเย่มองไปรอบ ๆ ด้วยสายตาระแวดระวัง เขาหลับตาลงและลืมตาขึ้นอีกครั้ง จากนั้นจึงสำรวจทั่วทั้งห้องอย่างละเอียดอีกครั้ง

“ไม่มีอย่างนั้นเหรอ?” เขาอ้าปากค้าง “เป็นไปได้ยังไง?”

“นั่นสิ…เป็นไปได้ยังไง?” อาร์ทิสยิ้มกริ่มอย่างมีความสุขเมื่อเห็นความทุกข์ของเขา “เหตุใดยมทูตอย่างเจ้าจึงไม่สามารถระบุตำแหน่งของวิญญาณตนนั้นได้?”

ฉินเย่เหลือบสายตาไปมองนกกระเรียนกระดาษที่เกาะอยู่บนไหล่ของตน “ท่านรู้อยู่แล้วว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นสินะ?”

“จงอย่าประมาทภูตผี” อาร์ทิสเอ่ยเสียงเรียบ “สิ่งที่เจ้าได้เห็นมาจนถึงตอนนี้เป็นเพียงเศษส่วนเล็ก ๆ ของยอดภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น เช่นเดียวกับมนุษย์ที่มีหน้าตาไม่เหมือนกัน ภูตผีเองก็มีหลายร้อยชนิดเช่นกัน ครั้งหนึ่งยมโลกเคยแบ่งจำแนกภูตผีเป็นชนิดต่าง ๆ หรือเรียกเต็ม ๆ ว่า ‘ระบบจดบันทึกและจำแนกประเภทของวิญญาณ’ ภูตผีประเภทที่หนึ่งไปจนถึงประเภทที่ 99 อาจจะไม่สามารถสังหารเจ้าได้ แต่ภูตผีประภูตสุดท้ายนี้อาจจะเป็นสาเหตุการตายของเจ้าก็เป็นได้”

“วิญญาณแม่ลูก วิญญาณแห่งฝันร้าย วิญญาณมรดกสายเลือด วิญญาณแห่งการปลดปล่อย วิญญาณแมงมุม…ทั้งหมดล้วนเป็นอันตรายอย่างน่าเหลือเชื่อ เจ้า…ควรประสบกับมันด้วยตัวเอง…เดี๋ยวก่อน…นั่นเจ้ากำลังจะทำอะไร?! หยุดเดี๋ยวนี้!! ศักดิ์ศรีในฐานะยมทูตของเจ้ามันหายไปอยู่ที่ใดกัน?!!”

ฉินเย่ที่กำลังจะเปิดประตูออกไปชะงักไปทันที เด็กหนุ่มหันกลับไปพูดกับอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มแห้ง ๆ “คือว่า…จู่ ๆ ข้าก็รู้สึกว่าอยากจะปัสสาวะขึ้นมาน่ะ เพราะฉะนั้นข้าขอตัวก่อน….”

อาร์ทิสสูดหายใจเข้าลึก ๆ นกกระเรียนกระดาษสั่นเทาอย่างรุนแรงด้วยโทสะ “เจ้าคือยมทูต!! ด้วยคำพิพากษาจากนรก เหล่าวิญญาณทั้งปวงจงสูญสิ้น! เจ้าคิดว่าคำเหล่านี้ไร้ซึ่งความหมายอย่างนั้นหรือ?!! ในอดีต วิญญาณแทบจะทุกตนล้วนต้องหลบหนีไปยังปลายสุดมุมโลกเมื่อพวกมันได้ยินคำประกาศนี้! แต่แค่เจ้าเผชิญหน้ากับวิญญาณมรดกสายเลือด เจ้าก็จะหลบหนีปัญหาแล้วแบบนี้น่ะหรือ?!”

“อะไรที่เรียกว่าหลบหนีปัญหากัน? ท่านอย่าไร้สาระหน่อยเลย สิ่งนี้เรียกว่ายุทธวิธีถอยไปตั้งหลักต่างหาก ท่านไม่เคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า ‘จงหลีกเลี่ยงการต่อสู้ที่เจ้าไม่ได้เตรียมตัวมา’ หรืออย่างไร?”

“ข้าล่ะอยากจะ…” นกกระเรียนกระดาษบินตรงไปที่หน้าผากของฉินเย่ “จิตวิญญาณแห่งความกล้าหาญของเจ้าหายไปไหนหมด?! เจ้าไม่อยากเป็นใหญ่แล้วหรืออย่างไร?! ไม่ใช่ว่าเจ้าอยากจะให้ภูตผีทุกตนกลัวเจ้าอย่างนั้นเหรอ?! ไม่ใช่ว่าเจ้าต้องการจะเป็นราชันย์แห่งภูตผีทั้งปวงหรอกหรือ?!!”

“ชู่ววว…เบา ๆ หน่อยสิ ข้าไม่อยากให้ภูตผีพวกนั้นได้ยินคำพูดที่น่าอับอายพวกนั้นออกมาจากปากของท่านนะ…มนุษย์ต่างก็มีความฝัน แต่ความฝันพวกนี้จะต้องไม่ห่างไกลจากความเป็นจริงมากจนเกินไปเช่นกัน…จะว่าไป ทำไมประตูนี้ถึงไม่เปิดกัน?”

ฉึก!!

ทันใดนั้นเสียงบางอย่างก็ดังก้องไปทั่ว ฉินเย่รีบชักมือกลับทันที

ฉึก!!

ก่อนที่เขาจะตั้งตัวได้ เสียงดังกล่าวก็ดังขึ้นอีกครั้ง

เงียบสนิท

ความมืดที่ปกคลุมโดยรอบดูเหมือนจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย แสงจันทร์สลัว ๆ ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาด้านในของบ้านอย่างน่าขนลุก แสงของมันสาดไปที่โต๊ะและเก้าอี้ภายในห้อง ทำให้พวกมันดูเหมือนกำลังค่อย ๆ อ้าปากออก บนหน้าต่างดูเหมือนกับมีดวงตาลึกลับคู่หนึ่งกำลังจ้องเขม็งมาที่เขา

เสียงดังกล่าวดูเหมือนกำลังเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ มันคล้ายกับว่าอะไรบางอย่างกำลังแทงประตูด้านหน้าอย่างบ้าคลั่ง!

ฉึก! ฉึก!!

เสียงนั้นก็คือเสียงมีดที่กำลังฟันลงอะไรบางอย่าง

“เวรเอ๊ย…” ฉินเย่กัดฟันกรอดและส่องดูจากตาแมว

ฉึก!!

บานประตูสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ฉินเย่มองไม่เห็นอะไรเลยสักนิด

มีเพียงไฟถนนสลัว ๆ ที่อยู่ห่างออกไป เขาก้มดูหน้าจอโทรศัพท์ของตนเองทันที

เที่ยงคืน 24.00 น.

วิญญาณอาฆาตกำลังจะมาแล้ว!

“ให้ตายเถอะ…” ฉินเย่ถอยออกห่างจากประตูโดยอัตโนมัติ ตัวที่กำลังแทงประตูอยู่คือตัวอะไร? ไม่ใช่สิ…ตัวที่ข่วนและฟันประตูอยู่คืออะไรกันแน่? อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะตั้งสติได้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัวอย่างรุนแรงอย่างที่ไม่ได้สัมผัสมานานมากแล้ว ความรู้สึกดังกล่าวแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างอย่างรวดเร็วจนภายในหัวของเขาตื้อไปหมด ขนลุกชันทั่วทั้งร่างอย่างไม่สามารถควบคุมได้!

และขณะที่เขากำลังถอยห่างออกมา…ทันใดนั้นเขาก็ชนเข้ากับ…ร่างของมนุษย์!

แต่ร่างนั้นกลับเย็นชืดราวกับน้ำแข็ง!!

มีใครอีกคนอยู่ในบ้าน!

ขนของเขาลุกชัน เขาได้ตรวจดูรอบ ๆ แล้วตอนที่เข้ามาในบ้านครั้งแรก และเขาก็มั่นใจว่ามันไม่มีใครอื่นนอกจากเขา แต่แล้วจู่ ๆ ใครบางคนก็มายืนอยู่ด้านหลังของเขาในห้องที่ว่างเปล่า!

โดยปราศจากความลังเล เขาดึงกระบี่ปีศาจออกมาจากฝักและเหวี่ยงมันไปด้านหลังพร้อมกับหมุนตัวกลับไปมอง แต่….

ด้านหลังของเขาไม่มีใครทั้งนั้น

มันยังคงเป็นแสงจันทร์ที่ส่องแสงสลัว และความมืดที่ทำให้รู้สึกหายใจไม่ออกเช่นเดิม ไม่มีสิ่งใดอื่นอยู่ตรงนั้น

แหมะ…เม็ดเหงื่อไหลลงจากบริเวณหน้าผากของเขา

เด็กหนุ่มสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะเดินไปเปิดประตูหน้า และเขาก็พบว่าด้านนอกนั้นว่างเปล่า

อย่างไรก็ตาม เขาเห็นรอยฟันหลายรอยปรากฏทั่วบานประตู

“รอยพวกนี้…เกิดจากมีดทำครัว” เขาค่อย ๆ ลูบนิ้วไปตามรอยตรงหน้าขณะที่ดวงตาเป็นประกายขึ้น “ในกรณีของการทำมาตุฆาต หลี่เฉิงได้สังหารแม่ของตัวเองด้วยมีดทำครัว….”

ซ่า…ทันใดนั้น ฉินเย่ก็ได้ยินเสียงของก๊อกน้ำในห้องครัวถูกเปิดขึ้น ในเวลาเดียวกัน เขาก็ได้ยินเสียงแหบพร่าของหญิงวัยกลางคนดังขึ้น “เฉิงเฉิง มาช่วยแม่ล้างผักเดี๋ยวนี้…นะ นี่ลูก…ลูกสูบบุหรี่อีกแล้วอย่างนั้นเหรอ?!!”

“เลิกยุ่งกับผมสักที!” เสียงของเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งดังขึ้น ราวกับมันดังก้องอยู่ในหู

ฉินเย่มองไปรอบ ๆ อย่างระแวดระวัง ทั้งหมดนี้มันแปลกเกินไปแล้ว มันเหมือนกับเขาได้มาเห็นภาพเหตุการณ์ในคืนนั้นถูกฉายซ้ำอีกครั้งต่อหน้าของเขา แต่เขาผู้ที่เป็นยมทูต กลับไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไรด้วย!

“นี่ต้องให้แม่พูดอีกกี่ครั้ง?! ลูกไม่สนใจคำพูดแม่แล้วใช่ไหม? ได้ แม่จะตีแกให้ตายเลย!!” เสียงของหญิงวัยกลางคนดังขึ้นกว่าเดิม ตามมาด้วยเสียงของเข็มขัดหนังที่ฟาดกระทบกับเนื้อ

เพี๊ยะ เพี๊ยะ เพี๊ยะ…

เด็กชายตะโกนกลับด้วยความโกรธที่รุนแรงไม่แพ้กัน “ไปตายซะ!! ถ้ามึงกล้าตีกูอีกครั้ง!! กูฆ่ามึงแน่!!”

“นี่ลูกย้อนแม่อย่างนั้นเหรอ? ละ แล้ว…กล้าดีอย่างไรมาพูดคำพวกนี้กับพ่อแม่?! นี่ลูกไม่รู้จะหลาบจำเลยใช่ไหม?!”

“เออใช่!! และกู… กูจะแทงมึงให้ตายด้วย!!”

[1] นี่อ้างอิงมาจากมังงะที่โด่งดังของญี่ปุ่นเรื่อง ‘นูระ หลานจอมภูต’